สิ่งที่ต้องยอมรับคือ บรรยากาศชี้ว่า บ่ายวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองอันดับ 1 ที่ได้รับเสียงในการเลือกตั้ง 141 เสียง พรรคการเมืองที่มีคนเลือกมากที่สุดด้วยคะแนนเสียง 14 ล้านเสียง โดยให้เหตุผลว่า พรรคการเมืองนี้ ‘ล้มล้างการปกครอง’ และพรรคการเมืองนี้กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ไม่ใช่เพียงเรื่องของ ‘พรรคการเมือง’ แต่ยังหมายรวมถึงตัว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในเวลานั้น ว่ามีทัศนคติ ‘สนับสนุน’ การยกเลิกมาตรา 112 ซึ่ง ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’

ด้วยเหตุผลที่ว่า พรรคการเมืองนี้ สนับสนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพรรคการเมืองนี้สนับสนุนขบวนการที่ต้องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ถ้าก่อนหน้ามีคนถามว่า ‘ก้าวไกล’ จะถูกยุบไหม ผมจะบอกว่า ถ้ายุบพรรคด้วยเหตุผลนี้ถือเป็นเรื่อง ‘ตลก’ เกินไป เพราะการแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในนโยบายหาเสียงของพรรค ทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่าพรรคก้าวไกลจะยื่นแก้ไขมาตรา 112 ในสภาฯ ด้วยสาเหตุสำคัญคือ การเคลื่อนไหว ‘ดันเพดาน’ ตลอดปลายปีที่ผ่านมา

และแน่นอนว่า ในการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากที่สุด เรื่องมาตรา 112 ก็ถูกพูดถึงกันโดยสันติทุกวงสนทนา หลายพรรคการเมืองถึงกับพูดตรงกันว่าต้องแก้ไข

ขณะที่หากเรื่องนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องจะ ‘ตลก’ ไปกันใหญ่ เรื่องแรกคือการแก้กฎหมายและการยกเลิกกฎหมายถือเป็นเรื่องพื้นฐานทางนิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่สำคัญคือร่างกฎหมายและแก้ไขกฎหมาย ส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่า มีปัญหาในการบังคับใช้ทั้งเรื่องโทษที่สูงเกินจริงและมีหลายมาตรฐาน

ในตำรากฎหมายของบางประเทศ พวกเขาเรียกกฎหมาย ‘หมิ่นพระมหากษัตริย์’ ว่า Draconian Laws ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่ ‘โหดร้ายทารุณ’ เป็นการกำหนดโทษรุนแรงสำหรับการกระทำผิดที่ไม่ร้ายแรงด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกัน ในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ ‘รอยัลลิสต์’ หลายคนยังรู้สึกว่า ควรมีคณะกรรมการพิจารณาโทษตามมาตรา 112 เพราะหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ มีแต่จะเสียหายกับองคาพยพของชนชั้นนำ และเรื่องใหญ่กว่าคือเสียแม้กระทั่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์เอง

แล้วทำไมต้อง ‘ยุบ’ ก้าวไกล? คำตอบไม่ใช่เรื่อง ‘กฎหมาย’ ไม่ใช่เรื่องกระบวนการพิจารณาคดี หากแต่เป็นเรื่องการเมือง

เป็นเรื่องการเมืองว่าด้วยการแสดงอำนาจว่า อยากให้พรรคการเมืองประเทศนี้อยู่ภายใต้ ‘การควบคุม’ จากผู้มีอำนาจ ต้องไม่มีพรรคไหนออกนอกลู่นอกทาง ทุกพรรคการเมืองต้องดำรงตัวเสมือน ‘เด็กดี’ คนหนึ่ง และด้วยโจทย์นี้ ไม่ว่าพรรคการเมืองจะได้ 1 ล้านเสียง 14 ล้านเสียง หรือ 50 ล้านเสียง ถ้าเป็นพรรคที่ออกนอกลู่หน่อย ตั้งคำถามมากๆ เข้า ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกยุบ

กับอีกสาเหตุคือ ชนชั้นนำของประเทศนี้กลัวสิ่งที่ทั้ง ‘มองเห็น’ และ ‘มองไม่เห็น’ มากเกินไป

สิ่งที่มองเห็นคือ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพรรคก้าวไกล ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้โครงสร้างเดิมของประเทศนี้หวาดหวั่น เพราะการเดินของก้าวไกล ล้วนเป็นการเดินไปด้วยกันกับขบวนการต่อสู้ ขบวนการคนรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโต นับตั้งแต่ยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 เป็นต้นมา

ภาพของมวลชนที่เห็นตรงกัน สะท้อนผ่านทั้งบนท้องถนนและผ่านคะแนนเสียงเลือกตั้ง ล้วนทำให้อำนาจนำใดก็แล้วแต่ที่เคยแข็งแรงมาก รู้สึกสั่นคลอนได้ง่าย

แต่สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือ พวกเขากังวลหากปล่อยให้มวลชนเดินหน้าในลักษณะนี้ต่อไป ทั้งขานอกสภาฯ และขาในสภาฯ อะไรจะเกิดขึ้น

เพราะถ้าพรรคก้าวไกลสามารถดึงดูดคนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายถึงอำนาจนำที่โดน ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ มากกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกทำลาย

และนั่นทำให้ภาพการเมืองที่หลายคนไม่เคยได้เห็น ไม่คิดว่าจะได้เห็น ได้เห็นกันชัดแจ้งในปัจจุบันนี้

แต่เรื่องการ ‘ยุบพรรค’ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกคนล้วนรู้ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้

ไม่ว่าจะการยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 การยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตยเมื่อปี 2551 ยุบพรรคไทยรักษาชาติเมื่อปี 2562 หรือยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2563 ก็ไม่ทำให้คะแนนนิยมในกลุ่มการเมืองใดลดลง

การยุบพรรคทำได้เพียงหยุดเวลา เป็นแท็กติกทางการเมือง ทำให้บางพรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้นในระยะสั้น แต่เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบประชาธิปไตยในระยะยาว

การยุบพรรคอาจเป็นเครื่องมือ ‘หยุด’ การเมืองในชั่วขณะ หยุดการเติบโต ทำให้คนที่ไม่ชอบหน้าหายไปจากการเมืองได้นานหลายปี แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือ ทำให้ระบบการเมืองนั้นแย่ลง ผ่านการ Abuse เสียงของประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ให้กลายเป็นคน ‘ไร้สิทธิไร้เสียง’ ไปโดยฉับพลัน

และสิ่งที่รู้กันคือ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีการลงหลักปักฐานกับระบอบประชาธิปไตยและมีระบอบรัฐสภาที่เข้มแข็ง แทบไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น

ฉะนั้น จุดยืนสำคัญก็คือต้องไม่ยอมให้การยุบพรรคเกิดขึ้น

หากการยุบพรรคนั้นเกิดโดยคำตัดสินไม่เป็นเหตุผล เป็นเรื่องของการเมืองมากกว่ากฎหมาย มากกว่าหลักการ ก็ควรต้องหยุดวงจรการยุบพรรคได้แล้ว

เพราะถ้ายุบพรรควันนี้ได้ วันต่อไป ‘พวกเขา’ อยากรักษาอำนาจไว้ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะทำต่อไปได้เรื่อยๆ

อย่าปล่อยให้การยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ประชาชนชินชา เพราะถ้ายุบพรรคก้าวไกลได้ วันหน้าอาจยุบพรรคการเมืองไหนอีก ด้วยเหตุผลอะไรอีกก็ได้ ภายใต้โครงสร้างทางการเมืองแบบนี้ 

อย่ายอมให้เสียงของประชาชนถูกทำลายด้วยวิธีนี้อีกเลย

Tags: ,