ออเดรย์ เฮปเบิร์นใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กที่เบลเยียม เนเธอแลนด์ และอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ความเป็นอยู่ของเธอไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและขาดสารอาหาร แต่หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป ชีวิตของเธอก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ออเดรย์ได้ทุนการศึกษาและโยกย้ายมาเรียนในโรงเรียนบัลเลต์ที่ลอนดอน และเริ่มต้นอาชีพนางแบบในเวลาต่อมา จนกระทั่งเข้ามามีบทบาททางด้านการแสดง ที่ทำให้เธอทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด และเปล่งประกายอย่างสง่างาม

บทบาทเจ้าหญิงแอนน์ใน Roman Holiday ทำให้เธอได้รับการขนานนามว่าเจ้าหญิงฮอลลีวูดด้วยดวงตากลมโต คิ้วคมเข้ม ใบหน้าเรียวเล็ก และรอยยิ้มชวนพิศ แม้ว่าออเดรย์จะจากโลกนี้ไปแล้วตั้งแต่ปี 1993 แต่ความงามและสถานะแฟชั่นไอคอนของเธอยังคงเป็นที่กล่าวขานอยู่เสมอ รวมถึงบทบาทในภาพยนตร์คลาสสิกหลายเรื่องนี้

Roman Holiday (1953)
‘เจ้าหญิงผู้โหยหาอิสระ’

ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ผลงานการกำกับฯ ของวิลเลียม ไวเลอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของฮอลลีวูดในช่วงทศวรรษที่ 1930, 1940 และ 1960 และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งแรงผลักให้นักแสดงหลายคนกลายเป็นดาวเช่น  ลอเรนซ์ โอลิวีเอร์ (Wuthering Heights – 1939) โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ (The Heiress – 1949) และบาร์บรา สไตรแซนด์ (Funny Girl – 1968)

สำหรับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทีมนักเขียนถึงสามคน และ ดาลตัน ทรัมโบ ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เนื่องจากเขาถูกขึ้นบัญชีดำของฮอลลีวูด เขาจึงไม่ได้รับเครดิตในเรื่องนี้ จนอีกหลายสิบปีให้หลัง เดิมทีพาราเมาท์ พิกเจอร์สฺต้องการถ่ายทำเรื่องนี้ในฮอลลีวูด ซึ่งวิลเลียมยืนกรานปฏิเสธว่าต้องถ่ายทำในสถานที่จริงเท่านั้น แม้ว่าทางบริษัทจะตอบตกลง แต่ก็แลกมาด้วยทุนสร้างที่ลดต่ำลง

Roman Holiday เป็นเรื่องราวความรักที่สิ้นหวังระหว่างเจ้าหญิงกับสามัญชน เจ้าหญิงแอนน์ มกุฎราชกุมารีจากประเทศหนึ่งในยุโรปมีภารกิจต้องเดินทางมาเยือนกรุงโรม เธอรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่สนุกเอาเสียเลยกับหมายกำหนดการแน่นขนัด ที่ทำให้เธอแทบไม่ได้ใช้ชีวิตของเธอจริงๆ ดังนั้น ในกลางดึกคืนหนึ่งแอนน์จึงลักลอบออกจากสถานทูต โดยที่ไม่รู้เลยว่ายากล่อมประสาทที่เธอกินเข้าไปกำลังจะออกฤทธิ์

ผลที่ตามมาคือแอนน์ฟุบหลับอยู่ในที่สาธารณะ แต่โชคยังดีอยู่บ้างที่นักข่าว โจ แบรดลีย์ มาพบเข้า เขาเลยพาเธอไปนอนที่อพาร์ตเมนต์ วันรุ่งขึ้นโจได้รู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร เขาเลยหัวหมอคิดว่าจะทำสกู๊ปใหญ่เกี่ยวกับเจ้าหญิงแอนน์ เพราะถ้าเขาเก็บบันทึกภาพในชีวิตประจำวันของเธอได้ มันจะขายได้ราคามากทีเดียว โจจึงพาแอนน์ตระเวนเที่ยวทั่วโรม พร้อมแอบสัมภาษณ์และถ่ายรูป แต่กลายเป็นว่าช่วงเวลาอันรื่นรมย์นั้นกลับทำให้ทั้งสองตกหลุมรักกัน 

แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากฝันกลางวัน ที่เขาและเธอต้องตื่นกลับมาพบความจริง และแยกจากกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคน

Sabrina (1954)
‘หญิงสาวที่ไม่ต่างอะไรจากก้อนหินริมทาง’

ผลงานชิ้นสุดท้ายของผู้กำกับฯ บิลลี่ ไวล์เดอร์ ที่ทำงานร่วมกันกับพาราเมาท์ พิกเจอร์สฺ ก่อนจะยุติการทำงานร่วมกันอย่างเด็ดขาด เนื่องจากทางบริษัทเข้ามาก้าวก่ายมากจนเกินไป ทำให้ภาพยนตร์เวอร์ชั่นที่เข้าฉายที่เยอรมนี ผิดแผกไปจากความต้องการของไวล์เดอร์

ไวล์เดอร์เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ก่อนที่บททั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ ทำให้วันหนึ่งเขาต้องขอให้ ออเดรย์ เฮปเบิร์น แกล้งป่วย เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาขึ้นอีกสักระยะในการเขียนบทให้จบทันเวลา และในระหว่างการถ่ายทำนี้เองที่ทำให้ความรักเกิดขึ้นในกองถ่าย ออเดรย์ตกหลุมรักกับวิลเลียม โฮลเดน ชายที่อายุห่างจากเธอเกือบสิบปีและมีภรรยาแล้ว แม้ว่าในเวลาต่อมาโฮลเดนจะหย่าขาดขาดภรรยา แต่เขาก็ไม่ได้ครองรักอย่างสมหวังกับออเดรย์ เพราะเขาทำหมันแล้ว ขณะที่ออเดรย์ต้องการมีลูก

หากในเรื่อง Roman Holiday ออเดรย์ เป็นเปรียบเป็นดอกฟ้าในเรื่องนี้เธอก็เปรียบได้กับหมาวัดด้วยบทของซาบรีนา แฟร์ไชลด์ลูกสาวคนขับรถของครอบครัวลาร์ราบี เธอตกหลุมรักเดวิด ลาร์ราบีมาตลอดชีวิต แต่เขาไม่เคยเหลียวแลแม้แต่ชายตามอง ซาบรีน่านั้นคลั่งรักถึงขนาดลงมือฆ่าตัวตาย แต่ก็รอดชีวิตมาได้

ในเวลาต่อมา ซาบรีน่ามีโอกาสไปเรียนทำอาหารที่ฝรั่งเศส เธอจากบ้านไปนานสองปี และกลับมาในฐานะหญิงสาวเปี่ยมเสน่ห์ ขนาดเดวิดที่ไม่เคยสนใจเธอยังต้องเปลี่ยนใจ แต่ปัญหาอยู่ที่เดวิดมีคู่หมั้นแล้ว และเป็นการหมั้นหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว ดังนั้น ไลนัส ลาร์ราบี พี่ชายของเดวิดจึงเข้ามาขัดขวางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แม้ว่าจะวางแผนการไว้อย่างดิบดี แต่ใครจะรู้ได้ว่าความใกล้ชิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นั่นจึงทำให้ทั้งสามคนเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในใจ แล้วความรักครั้งนี้จะลงเอยในรูปแบบไหน?

Breakfast at Tiffany’s (1961)
‘สาวสังคมมากด้วยความทะเยอทะยาน’

นอกจากใบหน้าที่งดงามของออเดรย์ อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันใน Breakfast at Tiffany’s ก็คือ Little Black Dress ชุดเดรสสีดำที่เธอสวมใส่ และกลายเป็นลุคคลาสสิกที่ถูกจดจำตลอดกาลของเธอ ซึ่งในเวลาต่อมาเดรสตัวนี้ผ่านการประมูลไปในราคาประมาณแปดแสนเหรียญ ทำให้มันกลายเป็นของที่ระลึกจากภาพยนตร์ที่มีราคาแพงเป็นอันดับสอง

ตอนที่ ทรูแมน คาโพที ขายลิขสิทธิ์หนังสือเรื่องนี้ให้กับพาราเมาท์ พิกเจอร์สฺ เขาต้องการให้ แมริลิน มอนโร มารับบท ฮอลลี โกไลต์ลี แต่มอนโรได้รับคำแนะนำไม่ให้รับบทนี้ เพราะจะทำลายภาพลักษณ์สุดเซ็กซี่ของเธอ ในที่สุดบทมาตกที่ออเดรย์ และเธอก็ได้รับค่าตัวสูงถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นเหรียญ ทำให้ออเดรย์เป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดในเวลานั้น

การปรากฏตัวของฮอลลี โกไลต์ลี คือเช้าวันหนึ่ง ช่วงเวลาที่มหานครนิวยอร์กยังเวียบวงบ เธอในชุดเดรสสีดำ มีถุงกระดาษอาหารเช้าในมือ และหยุดมองเข้าไปในร้าน Tiffany & Co. ก่อนจะเดินกลับไปยังที่พักของเธอ 

ฮอลลีเป็นหญิงสาวที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวกับแมวไม่มีชื่อ เธอรักสนุก ชื่นชอบปาร์ตี้ และมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเธอเป็นใครกันแน่ ฮอลลีใช้ชีวิตแบบไม่ลงหลักปักฐาน เธอเหมือนคนที่พร้อมจะโบยบินไปสู่แห่งหนใหม่ๆ ตลอดเวลา และใช้ชีวิตด้วยความคาดหวังว่าวันหนึ่ง เธอจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร

แม้จะดูแก่นกล้า แต่แท้จริงฮอลลีก็ช่างเดียงสา เธอพานพบกับผู้ชายมากหน้าหลายตา รวมถึงพอล นักเขียนหนุ่มไส้แห้งที่ไม่อาจครองใจเธอได้ เพราะสิ่งที่ฮอลลีไขว่คว้านั้นคือความมั่งคั่งสุขสบายในบั้นปลายชีวิต แต่พอลก็ทำให้ความทะเยอทะยานของเธอกลายเป็นความสับสน ว่าจริงๆ แล้วเธอต้องการอะไรกันแน่ เพียงแค่เงินทองนั้นใช่คำตอบของชีวิตจริงหรือ? เธอต้องการหนีจากสิ่งใด? และอะไรคือความมั่นคงที่แท้จริงสำหรับเธอ? มีแต่ฮอลลีเท่านั้นที่จะให้คำตอบตัวเองได้

Charade (1963)
‘สาวม่ายผู้โชคร้าย’

ภาพยนตร์เรื่องนี้มักจะถูกเรียกว่าหนังฮิตช์ค็อกที่ดีที่สุด ซึ่งฮิตช์ค็อกไม่ได้ทำเพราะมีกลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกถึงราชาเขย่าขวัญผู้นี้ แต่แท้จริงเป็นผลงานของ สแตนลีย์ โดเนน ที่เขากล่าวไว้ว่าผมอยากสร้างหนังที่คล้ายๆ กับหนังเรื่องโปรดอย่าง North by Northwest (ภาพยนตร์ของฮิตช์ค็อก) มาโดยตลอด

ก่อนที่จะมาเป็น Charade นักเขียนบทสองคน ได้แก่ ปีเตอร์ สโตน และมาร์ก เบห์ม ส่งบทเรื่อง The Unsuspecting Wife ไปเสนอตามสตูดิโอต่างๆ ถึงเจ็ดแห่ง แต่ไม่มีได้รับการตอบรับแต่อย่างใด หลังจากนั้นปีเตอร์จึงดัดแปลงบทเป็นนวนิยาย และได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Redbook ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนมีสตูดิโอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นภาพยนตร์

เรื่องราวของเรจิน่า หญิงสาวที่ตัดสินใจว่าจะหย่าร้างกับสามีทันทีเมื่อเธอกลับไปถึงปารีส แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อกลับไปพบว่าอพาร์ตเมนต์ของเธอไม่หลงเหลืออะไรเลย หนำซ้ำสามียังถูกฆาตกรรมอีก

เรจิน่าถูกเรียกตัวมาสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องของสามี แต่เธอก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ซึ่งนั่นนำมาสู่โชคร้าย เธอถูกชายแปลกหน้าหลายคนไล่ล่า แต่ละคนต่างมีความต้องการบางอย่าง และพวกเขาคาดว่าเรจิน่าคือผู้กุมความลับทั้งหมด ทุกคนเข้าหาเธอโดยที่ไม่เปิดเผยตัวจริง เรจิน่าไม่รู้แล้วว่าเธอควรเชื่อใจใครได้ แม้แต่กับผู้ชายที่เธอตกหลุมรักในเวลาต่อมา เขาจะเป็นคนที่ปกป้องเธอจริงๆ ไหม หรือเขาก็แค่อีกคนหนึ่งที่กำลังใช้เธอเป็นเครื่องมือ?

My Fair Lady (1964)
‘สาวขายดอกไม้ริมทาง

ภาพยนตร์มิวสิคัลที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงบรอดเวย์ชื่อเดียวกัน ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในการแสดงเรื่องนี้ ออเดรย์ใช้เวลาฝึกร้องเพลงนานพอสมควร แต่สุดท้ายเพลงที่เราได้ยินในภาพยนตร์ก็ไม่ใช่เสียงของเธอทั้งหมด ออเดรย์ยอมรับในภายหลังว่า เธอจะไม่มีวันยอมรับบท เอไลซา ดูลิตเติล หากเธอรู้ว่าโปรดิวเซอร์ แจ็ค แอล. วอร์เนอร์ ตั้งใจจะพากย์เสียงร้องเพลงของเธอเกือบทั้งหมด และหลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ปรากฏตัวในภาพยนตร์มิวสิคัลเรื่องอื่น เว้นแต่ในภาพยนตร์เรื่องนั้นใช้เสียงร้องเพลงของเธอเอง

บทของเอไลซาฉบับละครเวทีนั้น รับบทนำโดย จูลี แอนดรูส์ แต่ในขณะนั้นเธอยังไม่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมานัก วอร์เนอร์จึงเปลี่ยนให้ออเดรย์รับบทแทน (แต่เหมือนฟ้าจะเปิดทางให้จูลี เพราะเธอไปปรากฏตัวในเรื่อง Mary Poppins แทน ที่ส่งให้เธอได้รับรางวัลออสการ์ดาราแสดงนำ)

My Fair Lady หรือบุษบาริมทางมีฉากหลังอยู่ในกรุงลอนดอน ศาสตราจารย์เฮนรี ฮิกกินส์ เป็นนักภาษาศาสตร์ที่เชื่อว่าสำเนียงและน้ำเสียงของคนคนหนึ่งส่งผลเป็นอย่างมากในการกำหนดโอกาสทางสังคมของคนคนนั้น วันหนึ่งเขาได้พบกับ เอไลซา ดูลิตเติล สาวค็อกนีย์ที่เร่ขายดอกไม้ตามริมทาง เธอทั้งเปิ่น มอมแมม และสำเนียงภาษาที่ฟังดูห่างไกลจากคำว่าผู้ดีอังกฤษ เฮนรีดูแคลนเธอโดยไม่ปิดบัง ดังนั้นเอไลซาเลยบุกไปถึงบ้านเขา เพื่อจ้างเขาสอนภาษาให้เธอ

เฮนรีปฏิเสธเธออย่างไม่ไว้หน้า แต่เขาดันโดนเพื่อนท้าทายว่าถ้าสามารถแปลงโฉมและสำเนียงเอไลซาให้กลายเป็นเจ้าหญิง โดยพาไปออกงานของชนชั้นสูงที่จะจัดขึ้นในอีกหลายเดือนข้างหน้าได้ เพื่อนของเขาจะจ่ายเงินค่าเรียนภาษาทั้งหมดให้เอง เฮนรีได้ยินแบบนั้นก็นึกสนุกและตอบตกลง การพนันขันแข่งในครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร? แต่ที่สนุกนักก็คือที่สิ่งที่เอไลซาต้องเผชิญหลังจากนั้นต่างหาก

Tags: ,