หนุ่มตัวโตแอบเมาท์ว่า เธอไปโผล่ในผลงานหนังสั้นที่ร่วมแสดงในนิทรรศการทุนศิลป์ พีระศรี ของปีนี้ เลยเกิดอาการใคร่รู้ใคร่ดูขึ้นมา แล้วนี่เธอจะกลายเป็นเซเลบไปแล้วเหรอเนี่ย จะได้ไปคุยโม้กับชาวบ้านเขาได้ว่ารู้จักดาราแล้วเว้ยเฮ้ย

ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ไม่อ่านโพยที่เขาแจก ไม่อ่านกระทั่ง Wall Text หน้าห้องฉาย คืออยากไปชมโดยไร้คอนเซปต์นำทาง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าศิลปินชื่ออะไร และก็ผิดคาด ฉันดูจนจบ นั่งดูจนขึ้นเครดิต แล้วก็เห็นว่าเธอโผล่มายังไงตอนไหน แหม แหม ไปเล่นบทนักศึกษาสถาปัตย์หรือคะ

ขอบอกว่าปกติแล้วเป็นคนความอดทนต่ำกับบรรดาผลงานวิดีโอที่ยืดเยื้อ ซ้ำมักปล่อยให้ผู้ชมขาแข็งเมื่อยไม่รู้จะหย่อนก้นตรงไหน บางนิทรรศการยิ่งแล้วใหญ่ มีจอยั้วเยี้ยห้องแล้วห้องเล่า ขอบายค่ะ

เดินดูทุกงาน จนมาถึงห้องฉายหนังเรื่องนั้นที่มีเธอเป็นนักแสดง รู้ไหมว่าโซนนี้มักเป็นโซนรั้งท้ายที่งานดีมักดับ หรือไม่ดับแต่ก็มักไม่ดี ก็แปลกดีเหมือนกัน แต่อย่างที่บอก คราวนี้ผิดคาดแฮะ แบบที่เรามักพูดกันว่า ‘งานเอาพื้นที่อยู่’ (สำนวนกอดปล้ำยังไงยังงั้น) กรอบที่ล้อมจอวางเอียงได้เท่ เส้นสายเรขาคณิตของห้องขนาดย่อมดูมีราศีขึ้นมา ที่สำคัญสำหรับคนขี้เมื่อยอย่างฉัน คือมีที่นั่งให้ดูโดยไม่ต้องตีตั๋ว สบายเฉิบ คนน้อย แอร์เย็น

แล้วก็เพลินไปกับลีลา ท่วงท่า ทำนอง หรือคำคุณศัพท์ทั้งหลายที่บ่งบอกคุณภาพของหนัง

เสียงท่องกฎเกณฑ์ห้าหกข้อ ว่าด้วยแนวทางการไม่แปลงรูปปั้นรูปสลักให้กลายเป็นรูปเคารพ ฟังแล้วคุ้นๆ เหมือนได้ยิน/ อ่านมาจากไหน ข้อหนึ่งจบ ตัดตามด้วยฉากเล็กฉากน้อยที่ไม่ปะติดปะต่อ ตามต่อด้วยข้อสองจนครบจบ ต้องไม่วางกระถางธูป ไม่มีพื้นที่ให้คุกเข่าอะไรประมาณนี้ คุ้นแต่ยังไม่รู้ว่าเป็น Déjà Vu ได้ยังไง มีอะไรบางอย่างในเสียงท่องนั่น พอฟังไปหลายข้อ ยิ่งเหมือนบทสวดที่กล่าวพร้อมกันเป็นหมู่ มันล้อกันอย่างดีกับเนื้อหาการต้านทำรูปสักการะ หรือผลงานที่ส่อแววให้สักการะได้

ในเสียงสวดท่องนั้น เป็นทั้งมนต์ เป็นทั้งอาขยาน เป็นทั้งการท่องจำ

Idolatry หมายถึงการบูชารูปเคารพ หรือการคลั่งไคล้หลงใหลอย่างหลับหูหลับตาอย่างงมงาย เธอคงรู้นะว่ามันไม่ได้หมายความแค่วัตถุ ก็แหมมันมีคำว่า Idol อยู่ด้วย คน คน คน คนก็ปะปนไปในการเคารพสักการะเทิดทูน และเป็นเช่นนี้ในทุกแวดวง ทุกระดับของพีระมิด ยิ่งในประเทศเราที่เอะอะก็สร้างอนุสาวรีย์เตือนความจำ ทั้งๆ ที่บุคคลนั้นอาจทำดีแบบทั่วๆ ไป หรือบางทีก็ไม่เคยมีตัวตน

เธอจำสมัยเรียนได้ไหม มีภาพศตวรรษที่ 17 แสดงฉากชาวฮีบรูบูชาวัวทองคำ โมเสสลงมาจากเขาซีนายพร้อมศิลาบัญญัติ 10 ประการ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำลายทั้งวัวทองคำและศิลาชุดแรก อยากเขียนถึงภาพนี้จัง ลองหาดูหนังเก่าปี 1956 The Ten Commandments ฉากที่สักการะรูปเคารพเถิดเทิงบันเทิงได้ใจมาก

ไม่รู้เราจะปรามจะห้าม Idolatry ได้ไง เพราะผ้าสีผืนเดียวพันต้นไม้ก็ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังไม่พอ วัฒนธรรมเราโอบกอดสำนวน ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ หรือประโยคยอดฮิตเวลาที่สื่อเสนอเรื่องงมงาย แต่ต้องมียันต์ออกจากปากว่า ‘โปรดชม/ ฟัง/ ดูด้วยวิจารณญาณ’

เธอว่าวิจารณญาณมันสั่นคลอนไม่ได้เหรอ หากถูกกรอกหูกรอกตาวันแล้ววันเล่า ช่องโน้นก็เป็น ช่องนี้ก็เป็นด้วย 

มีบ่อยหรือถมถืดไปที่ความเชื่อความงมงายไม่ได้ Fetishistic คือไม่ได้ผูกติดกับวัตถุเป็นรูปธรรม ลมฝนดินเถ้าอากาศธาตุยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะได้เลย ประสาอะไรเมื่อสร้างงานขึ้นมาแล้วคนที่หลงไหลก็จะพลอยพาลกราบไหว้ และต่อให้ไม่สร้างอะไร (ตามคำแนะข้อสุดท้าย) ผู้ที่เชื่อก็อาจคุกเข่าอยู่ในใจยังได้ ไม่มีกระถางธูปหรือ? ก็ปักไว้ในจิต จริตมีไว้ทำไมหากไม่ได้มีไว้เพื่อเอาไปสลายในศรัทธา

‘โลคอลเซนเซชันส์’ พอมันเกินเลยจุดโลคอล มันจะเปรอะเลอะเทอะไปเป็นอื่น ดับธูปก็ไม่จบกลบกลิ่นควัน ปลดผ้าพันรอบต้นก็ไม่พ้น ถอนรูปออกก็ถอดไม่เกลี้ยง คือพอมันระโยงระยางทั้งความเชื่อ การเมือง วัฒนธรรม สังคม ขนบประเพณี (และอีกคำโหลชุดใหญ่ที่มักยกมาเป็นกุรุสเพื่อวิชาการ วิชาการ วิชาการ โอยยยยยย) มันจะลากยาวเป็นห่วงแหหรือแพที่ผูกขึ้นด้วยเส้นสายล่องหน

รุ่นน้องเธอคนหนึ่งเขียนงานสารนิพนธ์เรื่อง สู่สาธารณ์แห่งศิลปะ คือเมื่อผลงานแสดงให้เห็นการปลดเปลื้องความศักดิ์สิทธิ์ของนานาสรรพสิ่งทั้งคนทั้งของโดยรื้อถอนสลายมลายทำลายกระทบคุณค่าการเทิดทูนตามกันมา ไม่เว้นแม้แต่งานศิลปะเอง มันย้อนแย้งก็ตรงนี้ (มีอะไรบ้างในศิลปะที่ไม่ย้อนแย้ง อะไรๆ ก็มักแย้งย้อนจนเป็นคำเกร่อๆ เวลาไม่รู้จะหาทางออกอธิบายยังไง เธอว่าไหมแพรว) หรือจะบอกว่ามันเข้าตัวก็ตรงนี้ เนื่องจากเลี่ยงไม่พ้นที่มันจะกระเทือนเนื้อตัวของศิลปะเอง ทั้งๆ ที่มันก็ยังคงต้องการการยอมรับในปฏิบัติการหักล้างของมัน

บดสวดที่เป็นเสมือนคู่มือหรือ Kit ป้องกันการสักการะไม่ได้หมายมุ่งจะปกป้องหรือทำตามอะไร ออกจะไม่ใช่คำแนะนำจากหนัง และ ‘คำ’ ที่แทรกขึ้นเต็มจอมาเป็นระยะคือชื่อผลงาน ‘โลคอลเซนเซชันส์’ แปลไงดี สัมผัสพื้นถิ่น? สัมผัสเฉพาะถิ่น? สัมผัสท้องถิ่น? สัมผัสเฉพาะจุด?

มีสัมผัสร้อน-เย็นจากฉากเป่าแก้วและน้ำในแอ่ง/ หนองบึง มีสัมผัสจับลำต้นไม้อายุยาว มีสัมผัสจากเสียงในฉากเตรียมดนตรี มีสัมผัสจากหิมะเทียมที่เธอโผล่มาหลังจากฉากที่เธอเล่นบทนักศึกษาสถาปัตย์ (?) ขีดเขียนอะไรไม่รู้บนโต๊ะกับกลุ่มเพื่อน

มีภาพเล็กภาพน้อยตัดสลับไปมากับเสียงท่องจำห้าหกข้อนั่นโผล่มาแผ่วๆ เหมือนภาพ จนท.เข็นถังขยะ หรือ รปภ.ถ่ายจากระยะไกล

จะว่าไปก็ไม่มีอะไรยืดจนต้องสักการะเป็นรูปเคารพ

ทุกอย่างขาดตอน ไม่ต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ใช่ทำเท่ ก็เจ้าบทสวดนั่นแหละที่ร้อยทุกอย่างเข้าด้วยกัน โลคอลเซนเซชันส์ จึงวกมาหมายถึงสัมผัสการรับรู้จากผู้ชมที่ร้อยเรื่องขึ้นมาเอง ‘เฉพาะจุด’ หรือ ‘เฉพาะตน’ Local จึงไม่ต่างจาก Personal

หนังไม่ได้หวือหวา หรือวางท่านิ่งเงียบเฉย ไม่อาจบอกว่า Purely Visual เพราะแม้ทุกองค์ประกอบ แต่ละช็อต เหมือนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ทว่าการตัดต่อ โทนทุ้ม สี (ขาวดำ) ทำให้ Sensation ผุดขึ้นพร้อมการหาความหมาย

แพรว เธอรู้ไหมว่าหนุ่มนั่นบอกว่าเธอโผล่ในฉาก ‘สเก็ต’ ฉันก็ใจจดใจจ่อรอว่าเมื่อไหร่เธอจะเล่นสเก็ตเสียที เห็นแต่เธอ ‘สเก็ตช์’ ภาพร่างอะไรไม่รู้ หรือว่าไอ้หนุ่มนั่นออกเสียงเพี้ยน (โลคอลเซนเซชันส์) ไม่ได้เพี้ยนแค่ต้องรอตอนท้ายหน่อย แล้วจึงเห็นเธอไปโผล่ในลานหิมะเทียม

แล้วท้ายสุดชื่ออาจารย์ชาตรี ก็ปรากฏในช่วงเครดิต

แล้วฉันก็เห็นชื่อศิลปินใน Wall Text ตรงทางเข้า

ตุลพบ แสนเจริญ

แล้วฉันก็ค้นเจอข่าวใน The Momentum ที่บอกเล่าการได้รับรางวัลโน่นนี่

เขาจะกลายเป็น Idol ไหมเนี่ย?

ป.ล. อัคคลิมาเตะ อุนโดเนะ

ทำท่าจะจบ บังเอิญหนุ่มมีสามีแล้วคนหนึ่งดันมาบอกว่าศิลปินมีงานแสดงที่ Storage ด้วยในช่วงเวลาเดียวกัน เลยตามไปดูเหมือนเป็น FC ยังไงยังงั้น

งานชื่ออังกฤษ Acclimate Undone แต่ขอถอดเสียงแบบญี่ปุ่นหรือเกาหลีว่า ‘อัคคลิมาเตะ อุนโดเนะ’ …แพรว เธอว่าฉันดัดจริตไหม ก็มันเป็นโลคอลเซนเซชันส์นิ หมายถึงรู้สึกส่วนตัว รู้สึกเฉพาะจุด เลยจะเพี้ยนไปเป็นอื่น

คราวนี้ก็เช่นกัน ไปดูแบบปลี้ๆ เปล่าๆ ไม่มีอะไรในหัวไปก่อน ยกเว้นชื่อศิลปินและชื่อสถานที่ เลยเจอดี เปล่าไม่ใช่ผีหลอกแม้จะเป็นแกลเลอรีในซอกที่ต้องควานหา และแม้จะเป็นมุมจัดงานที่ไม่ได้แปลกอะไรไปแล้วในปัจจุบัน

เจอดี เพราะห้องแสดงเปลือยโปร่งโล่งได้ใจสอดคล้องไปกับโครงสร้างปูนเปลือยและอาคารเท่ๆ แบบอินเทรนด์สมัยใหม่ นึกในใจ เอ หรืองานจบไปแล้ว เก็บกลับแล้ว เดินมาตัวเปล่า เลยได้ความว่างเปล่า

เปล่า งานยังแสดง เด็กสาวเฝ้างานบอกว่า “ก็นี่ล่ะค่ะงาน” พลางชี้พื้น ชี้ผนัง บอกภาพในโพย และมุมที่วางให้ฟังหูฟัง 4 นาที 

ห้องแสดงโล่งโล้นโกร๋นเหลือเฟือให้วางกระถางธูปเสียจริง

แพรว เธอรู้ไหม ฉันนึกถึงอะไร นึกถึงเรื่องของ บก.ฝรั่งหญิงวารสารศิลปะแนวหน้าฉบับหนึ่ง เล่าไว้ในตำรางานร่วมสมัยว่า ครั้งหนึ่งเคยได้รับการ์ดเชิญไปงานเปิดนิทรรศการร่วมสมัย ไปถึงไม่มีใคร เจอห้องโล่ง (คงจะมีอีกหลายครั้ง) และงานแนว Conceptual แบบนี้ก็ใช่จะหายาก แกลเลอรีไทยเจอแบบนี้อยู่เป็นครั้งคราว เคยได้ยินใช่ไหมว่า เวลางานยาก เวทีร่วมสมัยจะถูก ‘ทัวร์ลง’ แบบเบาะๆ ว่าสงวนไว้กับบรรดาผู้ถูก Initiated แล้ว และพลอยกีดกันชาวบ้านชาวช่องทั่วไป

ตอบไงดีโดยไม่จำเป็นต้องแก้ต่างแทนผู้สร้าง คงคล้ายเวลาที่เราชินอ่านโคลงกลอนมีฉันทลักษณ์มีคำครบจำนวนลงจังหวะ แล้วจู่ๆ จับพลัดจับผลูมาเจอกลอนเปล่า หรือประเภทไฮกุของญี่ปุ่น เกลี้ยงเกลาหลุดรุ่ยจากโครงร่างตายตัว

‘อัคคลิมาเตะ อุนโดเนะ’ ในท่วงทำนองที่เรียกร้องการ Acclimate จึงอาจ Done สำหรับบางวง และ Undone สำหรับวงอื่น

ไม่อยากเล่าเลยว่าฉันให้ นศ.ไปดูแล้วต้องเขียนงานส่ง บางคนงัดเอาข้อคิดปรัชญาของไฮเดกเกอร์จากอีกคลาสมาร่วมประกอบคำอธิบาย แทบจะคุกเข่าวางกระถางธูปขอหวยไปเสียเลย อะไรจะล้ำปานนั้นคะ 

เล่าอีกเรื่องที่ไม่ค่อยอยากเล่า คือส่วนตัวชอบพวกงานที่ออมคำ ออมหนทาง ไม่พูดภาษาต่างด้าวจัดจ้าน (เดาสิว่า ‘ต่างด้าว’ ของฉันหมายถึงอะไร ไม่ได้แปลว่าภาษาต่างประเทศนะ) จะมินิมอล แอพสแทร็ก คอนเซ็ปชวล สุดแล้วแต่ คือบรรดางานที่ไม่เติมเต็มจนตันแต่ต้น ครั้งหนึ่งบทความที่ตีพิมพ์ไปแล้ว ถูกปรับแก้โดยไม่แจ้งบอกเตือนหรือถามก่อน คือแก้ชื่อประเทศให้เต็มยศ จะเขียนเฉยๆ ว่า ‘ฝรั่งเศส’ ไม่ได้นะคะ ถูกปรับให้ทรงเครื่องเต็มอัตราว่า ‘สาธารณรัฐฝรั่งเศส’ แม่เจ้า!!!! แล้วนี่หากฉันต้องแจกแจงรายชื่อประเทศในสหประชาชาติ มิยาวเฟื้อยเป็นกิโลเหรอไง 

หนำซ้ำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห่างกันไม่กี่วัน และเล่าห่างกันแค่ช่วงบรรทัด ยังต้องช่วยเติมให้อีฉันว่า ‘ในปีเดียวกัน’ ลองนึกดูว่าหากเขียนว่า ‘ฉันตากผ้าตอน 9 โมงเช้า และเก็บผ้าตอน 11 โมง’ จำเป็นกระเบื๊อกอะไรที่ต้องระบุลงไปอีกว่า ‘ในวันเดียวกัน’ พุทโธ่พุทถัง อย่าสบประมาสคนอ่านขนาดนั้นเลย 

ฉันคงไม่เก็บผ้าในอีกสัปดาห์ต่อมา อีกเดือนต่อมา อีกปี หรืออีกศตวรรษ นั่นมันหนังไซไฟ

คงต้องให้คนเหล่านั้นมาดูงานศิลปะร่วมสมัยเสียบ้างกระมังจะได้เห็นว่าการย่อความย่อคำไม่ได้เสียหายอะไร วิชาการไม่ได้แปลว่าครบถ้วนชัดถ้อยชัดคำครบทุกพยางค์นะ 

คือต้องให้มาลองชมงานประเภท Conceptual ดูบ้าง

นั่งฟังเสียงในหูฟัง 4 นาที บางตอนบอกคล้ายๆ เราไม่ได้ยินหรอกเสียงที่ฟังแต่เราได้ยินตัวเราเอง ก็จริงนิ เพราะฟังไปก็ร้อนไปก็เอาโพยพัดแหวกลมไป และเห็นตัวเองนั่งบนแท่นฟังหูฟังสวมขาสั้นสีส้ม โบกโพยพัดเพราะร้อน นึกตลกเองว่าหรือฉันกำลังกลายเป็นประติมากรรมบนแท่นนั่งฟังนั่น! โคตรอุปโลกน์ตนเองเลย

เจอคนรู้จัก ยืนเม้าท์กันตรงระเบียงริมคลอง ต้นชมพู่ (มั้ง) ออกผลโผล่มาแซมกิ่งก้าน ระหว่างนั้น เด็กสาวเฝ้านิทรรศการกำลังเตรียมงานกับทีมศิลปิน (มั้ง) และอีกหลายคน

นึกในใจอีกที ผลกระทบจากพวกงาน Conceptual Art หรือ Minimalism อย่างหนึ่ง (อันที่จริงไม่ควรจัดประเภทงานก็ได้ ไม่รู้จะเอาเลเบลไปให้อุ่นใจทำไม) คือมันแปรโอนจากผลงานที่เป็นวัตถุเป็นรูปธรรมไปสู่สถานการณ์อื่น เช่น การนั่งร้อนๆ จนต้องพัดโพย เช่น การยืนริมระเบียงเมาท์แวดวงศิลปะริมคลองกับผู้ชมอื่นที่รู้จัก

แล้วทำไมเธอไม่โผล่มาในงานชุดนี้ด้วยล่ะแพรว หรือว่าฉันหาเธอไม่เจอเพราะเธอหลบซ่อนตัวเก่ง ก็ขนาดที่คาดผมบนหัวเด็กสาวเฝ้างานในฐานะหนึ่งในผลงาน ฉันยังหาไม่เจอ เด็กสาวต้องเฉลยให้ฉันรู้นะ แบบนี้เหมือนกับที่เจอหลายครั้งในงานร่วมสมัย เวลาที่เราไม่รู้ว่าเก้าอี้ตัวนั้นเฟอร์นิเจอร์ตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานหรือเปล่า ฉันไม่อายหรอกที่จะถาม อ้าว เธอจะรู้เหรอว่าไปทำของเขาเสียหายหรือผิดคอนเซปต์หรือเปล่า มีอยู่งานหนึ่งวางเก้าอี้ไว้สำหรับผู้ชม เปล่าไม่ได้ให้นั่ง ต้องไปยืนข้างบนค่ะ ฉันก็เปลี่ยนปรับบิดคอนเซปต์เขาโดยการไปนั่ง ก็มันเมื่อยนิ รปภ.รี่เข้ามาเลยค่ะ เธอว่าฉันควรเคือง รปภ.ที่ทำตามหน้าที่ หรือต้องเคืองศิลปินต่างชาติคนนั้นที่เที่ยวระบุคอนเซปต์แบบแข็งโป๊กไม่ดูตาม้าตาเรือ ลองนึกว่าถ้าเธอเดินกะเผลกมาชมงาน เธอจะปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เหรอ ยังไม่นับรวมตั่งโต๊ะอื่นๆ ที่ระบุวิธีการใช้เสร็จสรรพ คือถ้าทำตามนั้น ฉันว่าจะเลิกอาชีพสอนหนังสือไปเป็นนักกายกรรม 

นึกอีกที หรือการจงใจให้ผู้ชมแหกคอกไม่ทำตามจน จนท.มาเสวนาด้วย นั่นคือคิดมาแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ฉันเลยยกความชอบให้ว่า ทุกครั้งที่ฉันแยกไม่ออกว่าของใช้หรือของศิลป์ นั่นคือจงใจให้ฉันต้องเอ่ยปากวิสาสะไถ่ถามกับใครสักคนแถวนั้น ยังงั้น ฉันจะถือว่าปฏิกิริยาของฉันในฐานะผู้ชมเป็นผลงานนะ ไม่ใช่ชิ้นงานบนศีรษะเด็กสาว คือคำถามที่ฉันถามเขาและคำตอบที่เขาให้กับฉัน 

เธอว่าฉันคิดมากไปไหมแพรว หรือเป็นตุเป็นตะไปเอง มโนไปเองไหม 

คือฉัน Conceptualize ออกมาแบบนั้น พูดอีกแบบ คือฉันงมงายไปกับคอนเซปต์ของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับใครหรืออะไร เอาละสิ คอนเซปต์กลายร่างเป็นไอดอลไอคอนแล้วละหว่า 

เขียนไป เพลงใน YouTube ก็ร้อง Heal the world รุ่นนู้นนนนออกมาใหม่ 

แพรว วันที่พูดเรื่อง ‘วัตถุทรานส์’ เธอไม่ได้มาใช่ไหม หมายถึงวัตถุ (ศิลปะหรืออื่นๆ) ที่มันไม่เสร็จ (เสียที) หรือไม่มีวันเสร็จ อยู่ในสภาพการรอ รอการเปลี่ยนผ่าน หรือกระทั่งรอการไม่เป็นตัวเป็นตนแบบในกรณีนี้ที่มัน Done แบบ Undone หรือ Undone ต่อไป

เธอรู้ไหมแพรวว่าฉันมาคิดขึ้นได้ว่า ไม่ได้เจอวัตถุแบบที่เลือนลางในความคิดก่อนมาดู ก็เพราะว่ามันสลายความเป็น Idol หรือทำลาย Idolatry ที่เป็นการยึดมั่นถือมั่นในวัตถุ ถึงตอนนี้เลยเหลือแค่เสียงในหูฟัง แสงจากภายนอกและใน ภาพในโพย แถมเกลื่อนกลายการชมไปเป็นการสนทนาเม้าท์มอยชมคลองชมชมพู่

Conceptual ได้ใจ 

แต่ผู้ชมอย่างฉันมันโดนกรอกหูชั่วนาตาปีว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการชม” ฉันพลอยยังยึดมั่นติดมั่น (พุทธจริง!) กับวัตถุ ฉันเลยปลอบใจตัวเองกลายๆ ด้วยการถ่ายภาพโปสเตอร์งานตรงทางเข้าที่แปะติดกับผนังมีกราฟฟิตี้ประกอบสวยงาม

คือมันเท่ชะมัดในความรู้สึกตรงนั้นตอนนั้น 

มีทั้งโปสเตอร์ ปชส. ทั้งกราฟิตี ทั้งแผ่นโฆษณารับจ้างทุบตึก ในผืนผนังเดียวกัน 

ฉันควรนับรวมอะไรเป็นหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของงาน? และหากฉันโทร.ติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์นั่น กระบวนการโทร.จะเป็นส่วนหนึ่งด้วยไหมหนอ (หลายสิบปีก่อนเคยมีมาแล้วนะ)

หรือจะเป็น Local Sensations ที่ห้อยตามมาหลอกหลอนความนึกคิดความรู้สึกและสัมผัส

หรือจะเป็น ‘อัคคลิมาเตะ อุนโดเนะ’ ที่แผลงมาจากนิทรรศการอย่างชอบธรรม

ดัน Undone หรือ Undone Done

หรืออาจ ปาร์แฟ็ตม็องท์ เดเฟท์

คิดถึงเสมอเวลาดูปูนเปลือย

Fact Box

  • ผลงาน โลคอลเซนเซชันส์ ร่วมแสดงในนิทรรศการทุนศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ 24 จัดแสดงที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ระหว่างวันที่ 15 กันยายน-22 พฤศจิกายน 2568
  • Acclimate Undone เป็นนิทรรศการเดี่ยวที่หอศิลป์ Storage ระหว่างวันที่ 27 กันยายน-23 พฤศจิกายน 2568
Tags: , , , ,