ก่อนหน้านี้ Thai Pavilion ในงาน World Expo ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเรื่อง ‘ความล้มเหลว’ ทางการสื่อสารตามธีม Designing Future Society for Our Lives หรือการออกแบบ ‘สังคม’ ที่พึงปรารถนาสำหรับชีวิตในอนาคต

World Expo 2025 มีประเทศเข้าร่วมจัดแสดง Pavilion ทั้งสิ้น 160 ประเทศ ไม่นับรวมองค์กรระหว่างประเทศ และแต่ละประเทศต่างประชันเทคโนโลยี ความก้าวหน้า และอนาคตที่แต่ละประเทศมองเห็น แต่นั่นไม่ใช่ Thai Pavilion

  แม้บูทไทยจะได้รับการยกย่องว่า ออกแบบอย่างสวยงามโดยบริษัทสถาปนิกชั้นนำ A49 แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ ‘เนื้อหา’ ด้านใน ที่ไม่สามารถบอกได้ว่า Thai Pavilion พยายามจะสื่อสารอะไร Thai Pavilion นั้นแย่กระทั่งว่า มีคนระดมเงินในการแก้เนื้อหาด้านในใหม่ในช่วงเวลาอันสั้น ก่อนที่งาน World Expo 2025 จะจบลงในวันที่ 10 ตุลาคม 2025 

ด้วยเหตุนี้จึงต้องไปดูด้วยตาตัวเองว่า Thai Pavilion มีเมสเสจใดที่อยากสื่อสาร ตอบโจทย์อะไรในเรื่องอนาคต และจะพาไปสู่อนาคตอย่างไร

ครั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้รับสปอนเซอร์จากออแกไนซ์เซอร์หรือผู้จัดงาน แต่จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและตั๋วเข้างานด้วยตัวเอง จึงเป็นอิสระในการวิพากษ์ Thai Pavilion ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 900 ล้านบาทอย่างเต็มที่

1

ผู้เขียนเข้าชมงานในช่วงสายของวันธรรมดา ถัดจากช่วงเวลาเปิดงานราว 1 เดือน แต่คนทั่วงาน World Expo บนเกาะยูเมะชิมะยังคงคึกคักเช่นเดิม 

สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือ Thai Pavilion ไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ที่มีผู้ต่อคิวเข้าชมยาวนานเท่ากับประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ ซาอุดีอาระเบีย และเยอรมนี แต่ก็มีผู้ให้ความสนใจด้วยจำนวนไม่น้อย ด้วยตัวอาคารที่โดดเด่น สถาปัตยกรรมสวยงามไม่แพ้ครั้งก่อนๆ รวมถึงความรักในประเทศไทยเป็นทุนเดิม ก็ทำให้ผู้เข้าชมงาน (ซึ่งส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่น) ยังให้ความสนใจ Thai Pavilion เป็นอย่างดี

หากศาลาไทยครึ่งท่อน อีกครึ่งใช้กระจกสะท้อน ยังไม่ได้แสดงความเป็นไทยมากพอ Thai Pavilion ยังมี ‘ช้างไม้’ อีก 2 ตัวตั้งอยู่ด้านหน้า เพื่อให้เป็นไทยเพิ่มขึ้นไปอีก

ถึงจุดนี้หากใครเป็นคนไทยก็สามารถแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่คนไทยได้ เพื่อเข้าชมงานด้วย Fast Track โดยไม่ต้องต่อแถวยาวๆ กับคนชาติอื่น 

นี่อาจเป็นข้อดีอย่างเดียวของการเป็นคนไทย เมื่อชม Thai Pavilion

ถัดจากหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่จะพาเข้าไปยังห้องโถง พร้อมกับชมภาพยนตร์แสดงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไปจนถึงภาพงานประเพณีสงกรานต์ 

ก่อนเจ้าหน้าที่ประจำ Pavilion จะชวนพูดจาภาษาไทยด้วยคำว่า “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” ไม่เป็นไร สบายๆ เป็นการโหมโรงก่อนเข้าสู่ห้องต่อไป จากนั้นจอภาพขนาดใหญ่รูปสามเหลี่ยมพาเข้าไปชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ป่าฝน น้ำตก ใต้ทะเลลึก ซึ่งก็ไม่ได้มีเสียงบรรยาย มีเพียงซับไตเติลให้อ่าน พร้อมเพลงประกอบคลอไปด้วย

จากสถานที่ท่องเที่ยว วิดีโอพาไปชมเรื่องของ Health & Wellness แบบไทยๆ ซึ่งก็หนีไม่พ้นการนวดไทย การแพทย์แผนไทย และสปาไทย แล้วจบเรื่องทิ้งท้ายด้วย ‘อาหารไทย’ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ ‘เซิ้ง’ ออกมาสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม

ถึงจุดนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า Thai Pavilion ต้องการจะสื่อสารอะไร

 2

ปัญหาต่อมาคือเรื่องใหญ่กว่า เพราะออกจากห้องนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูต่อ 

ด้านขวามือคือการแบ่งเป็นช่องๆ โชว์นวัตกรรมการสาธารณสุขไทย บ้างก็เป็นยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม บ้างก็เป็นผ้าก็อซ พลาสเตอร์ ที่วิจัยโดยหน่วยงานของกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมม็อกอัปรถเข็นขนาดเล็ก เครื่องวัดความดัน ลูกประคบ เครื่องนวด เรื่อยไปจนถึง หนังสือ เข็มกลัด และภาพถ่ายจากโครงการ TO BE NUMBER ONE จัดแสดงโชว์

แน่นอนว่าในรอบที่ผมดูนั้น ทุกคนเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าสิ่งที่จัดแสดงอยู่นั้นคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร

ที่สำคัญก็คือ หากพูดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องอนาคต เป็นเรื่อง Future สิ่งที่เล่าเรื่องมานั้นพูดถึงการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร

ขณะที่ส่วนจัดแสดงต่อไป จัดแสดงเมนูอาหารไทย เป็นการผสมอาหารเมนูต่างๆ เช่น หากเป็นเครื่องปรุงชนิดนี้ผสมกับผักชนิดนี้ ผสมกับเส้นชนิดนี้ จะได้ออกมาเป็นอาหารประเภทใด 

เป็นการจัดแสดงแบบเดียวกับที่มิวเซียมสยามทำขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ซึ่งก็คิดไม่ถึงว่าในงานที่ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้คนทั่วโลกเห็น ผู้จัดงานและผู้ตรวจรับงานจะยังเอาสิ่งนี้มาจัดแสดง

และก่อนออก เป็นเซสชันในการทำอาหารสด Live Cooking Show เป็นอาหารไทยหลากรสอย่าง ‘ผัดกะเพรา’ ก่อนที่จะมีร้านขายอาหารไทยอยู่อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับขายเบียร์ไทยอย่าง ‘เบียร์ช้าง’ เป็นอันจบพิธีใน Thai Pavilion

3

ผู้เขียนเคยเข้าชม Thai Pavilion เมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อครั้งจัดขึ้นที่มิลาน ประเทศอิตาลี ครั้งนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งก็มีความเห็นในแบบใกล้เคียงกันว่า เรื่องที่จัดแสดง ‘เชย’ แต่กลับกลายเป็นว่าสิบปีผ่านไปเรื่องกลับถอยหลังมากกว่าเดิมอีก

ที่น่าผิดหวังก็คือวิธีคิดแบบระบบราชการไทย ยังคงมอบหมายให้ ‘หน่วยงานราชการ’ เป็นคนจัดงบ ดูเส้นเรื่องจัดแสดงเหมือนเดิม โดยครั้งนี้มอบให้เป็นกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นเจ้าภาพจัดการ จัดหาออร์แกไนเซอร์ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการ ‘เล่าเรื่อง’ ใดๆ 

ขณะที่เรื่องการแพทย์ที่ สบส.เชี่ยวชาญมากที่สุดก็ไม่สามารถเล่าได้ ที่จริงแล้วประเทศไทยมีหน่วยงานที่ทำเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เรื่อง Soft Power จำนวนมาก ที่สามารถเล่าเรื่องได้ดีกว่านี้ และในเวลาเดียวกันก็มีองค์กรเอกชนอีกมากที่สามารถทำงานในเชิง ‘ครีเอทีฟ’ ได้ดีกว่านี้

ต้องไม่ลืมว่า วันนี้เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลพยายามสื่อสาร ‘อำนาจอ่อน’ โปรโมตให้โลกได้เห็น พร้อมกับใช้เงินไปจำนวนมากส่งเสริมให้โลกได้เห็นอาหารไทย มวยไทย หนังไทย แต่สิ่งที่โชว์ความเป็นไทยได้ง่ายที่สุด กลับออกมาด้วยสภาพเช่นนี้ 

4

เทียบกับประเทศอื่นๆ แม้จะ ‘ขายอดีต’ เหมือนกัน เป็นต้นว่า จีน ที่เล่าเรื่องคัมภีร์โบราณ ใช้ ‘หงอคง’ เล่าเรื่องภูมิปัญญาในอดีตว่า จีนอยู่กับ ‘ธรรมชาติ’ อย่างไร ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Sustain ส่งให้จีนเป็นจีนปัจจุบันนี้อย่างไร ก่อนจะเล่าเรื่องชีวิตคนจีนสมัยใหม่ 24 ชั่วโมงอย่างน่าทึ่ง เพื่อบอกว่า คนจีนนั้นไม่หยุดฝันและมีแรงขับเคลื่อนเพื่อฝันถึงจีนที่ดีขึ้น 

หรืออย่างพาวิลเลียนเยอรมนี ที่ใช้มอตโตเท่ๆ ว่า Wa! Germany (ภาษาญี่ปุ่น Wa แปลว่า หมุนเวียน ขณะที่ภาษาเยอรมัน Wa แปลว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) พาไปดูอนาคตของการออกแบบเมืองแนวตั้ง ยานยนต์ประหยัดพลังงาน และชีวิต ความฝัน ของผู้คนในอนาคตอันใกล้

ส่วนเจ้าภาพญี่ปุ่น แบ่งพาวิลเลียนตัวเองออกเป็น 3 โซน คือโซน Plant โซน Factory และโซน Farm พาไปดูภูมิปัญญาความ Resilience ของญี่ปุ่น และอนาคตการใช้ประโยชน์สาหร่าย (Algae) ในฐานะ Superfood เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

กลายเป็นว่าหากเทียบกับหลากพาวิลเลียน ไทยไม่สามารถเล่าเรื่อง สื่อความ อะไรได้เลย 

5

ถึงที่สุด มากกว่าที่ต้องถามเรื่อง Thai Pavilion ก็คือแล้ว ‘อนาคต’ ของไทยนั้นอยู่ตรงไหน เราจะเป็นประเทศที่ขายวัด วัง สงกรานต์ นวดไทย อย่างนี้ ต่อไปอีก 10 ปี หรืออีก 100 ปี อย่างนั้นหรือ

บางทีภาพของ Thai Pavilion อาจเป็นภาพสะท้อนประเทศนี้ และสะท้อนความรู้สึก ‘วังเวง’ ของคนไทยในปัจจุบัน

ไม่มีอนาคต มีแต่อดีต ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร หรือจะไปได้แค่นี้

Tags: , , , ,