นับตั้งแต่ ชรีฟ เจฟเฟอร์สัน (Shreve Jefferson) สส.พรรครีพับลิกัน (Republican Party) ของสหรัฐอเมริกา เสนอร่างกฎหมายปราบปรามองค์กรฉ้อโกงต่างประเทศ (H.R.5490-Dismantle Foreign Scam Syndicates Act) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากชาวอเมริกันสูญเสียเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งศูนย์กลางของกระบวนการอาชญากรรมนี้อยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายในร่างกฎหมายดังกล่าวปรากฏชื่อ 2 บุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติและการฟอกเงินของ ยิม เลียก (Yim Leak) และเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) และอีก 1 องค์กรอย่าง ‘Prince Group Holding Company’ บริษัทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จากประเทศกัมพูชา
ซึ่งทั้ง 3 ชื่อที่ว่ามานั้นมีรายงานว่า มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจและนักการเมืองชาวไทยอยู่ไม่น้อย ดังในกรณีของ วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีรายงานว่า เขาร่วมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการของบริษัท BIC Bank ที่ยิม เลียกเป็นประธานกรรมการ โดยมีกระแสข่าวว่า ภรรยาของวรภัครับเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) กว่า 2.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเครือข่ายอาชญากรจีน-กัมพูชา
แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าตัวจะออกมาจัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อ ‘ปฏิเสธ’ ว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้อง และไม่เคยร่วมเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือเป็นที่ปรึกษาใดๆ ในบริษัท BIC Bank พร้อมทั้งปฏิเสธในข่าวว่า ภรรยาของเขารับเงินดังกล่าว โดยอ้างว่าภรรยาของเขาไม่เคยมีบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี โดยเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ภายหลังดำรงตำแหน่งไม่ถึง 1 เดือน
ในวันเดียวกัน วรภัคยังออกมาระบุความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเบนจามิน โดยเล่าว่า รู้จักกันในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ ของลูกๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น ทว่าเว็บไซต์ Whale Hunting ของ ทอม ไรต์ (Tom Wright) อดีตนักข่าวชื่อดังของโลกออกบทความชี้ความสัมพันธ์ระหว่างวรภัคกับเบนจามิน เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา
อีกทั้งในบทความล่าสุดของทอม ไรต์ โพสต์ภาพของวรภัคและเบนจามินที่เดินทางมายังศูนย์วิจัยกัญชา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย พร้อมกัน ซึ่งทริปเชียงรายครั้งนั้นก็มียิม เลียกเข้าร่วมเดินทางด้วย เพื่อโต้แย้งกับการออกมาให้ข่าวของวรภัคก่อนหน้า
ทำให้อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังโพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวอีกครั้ง โดยชี้แจงว่า การเดินทางไปเชียงรายครั้งนั้นเป็นเพียงการลงทุนในสตาร์ทอัพเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจกัญชากำลังเติบโต แต่ตนก็ไม่ทราบมาก่อนว่า เบนจามินจะร่วมลงทุนในธุรกิจกัญชานี้ด้วยหรือไม่
วรภัคเล่าทิ้งท้ายว่า ไม่เคยเห็นธุรกรรมใดที่เบนจามินเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์แม้แต่น้อย เพราะหากเป็นเช่นนั้นตนคงไม่กล้าพบปะด้วย อีกทั้งทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ และการลงทุนเป็นหลักเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตรวจสอบ
ขณะที่กรณีของ ‘Prince Group’ บริษัทโฮลดิงที่ถูกระบุว่า เป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางการสหรัฐฯ อ้างว่า Prince Group และเครือข่ายนำรายได้จากอาชญากรรมข้ามชาติไปลงทุนในบริษัทบังหน้าและนิติบุคคลต่างๆ ทั้งในสิงคโปร์ ฮ่องกง หมู่เกาะเคย์แมน และอื่นๆ ทำให้ Prince Group ถูกสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรดำเนินมาตรการ ‘คว่ำบาตร’ ทางการเงิน รวมทั้งยึดทรัพย์หลายแสนล้านบาท
ขณะที่ประเทศไทยก็มีกรณีของบริษัท Prince International ที่สำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ถนนอโศกมนตรี กรุงเทพฯ ใช้สัญลักษณ์ (Logo) เดียวกับทาง Prince Group ในเวลาต่อมาตัวแทนจากบริษัท Prince International ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง BBC ไทย โดยระบุว่า ‘Prince International’ และ ‘Prince Group’ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
ตัวแทนจาก Prince International เปิดเผยว่า เป็นเพราะบริษัท Prince International เริ่มต้นการทำธุรกิจจากการเชิญชวนของ หวัง ยู่ถัง นักธุรกิจชาวไต้หวัน ที่ถือหุ้นใน Taiwan Prince Real Estate Investment บริษัทที่จดทะเบียนในไต้หวัน และมีข่าวรายงานว่า เข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในบางโครงการของ Sansiri, SC Asset และ RICHY แม้ในเวลาต่อมาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทยเหล่านั้นจะออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับ Prince Group
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วย อังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม และเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินทางเข้าไปยังบริษัท Prince International เพื่อเข้าสอบปากคำของ 2 ผู้ถือหุ้นบริษัทว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Prince Group และขบวนการสแกมเมอร์หรือไม่
ขณะที่ภาพใหญ่อย่างรัฐบาลของประเทศผู้เสียหาย เช่น เกาหลีใต้ ภายหลังมีการรายงานการเสียชีวิตของนักศึกษาที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ อี แจมยอง (Lee Jae Myung) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ พร้อมออกรหัสดำห้ามพลเมืองเกาหลีใต้เดินทางมายังประเทศกัมพูชา
โดยอี แจมยองประกาศกลางเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (Asean Summit) ครั้งที่ 47 ปี 2025 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติของเกาหลีใต้พร้อมร่วมมือกับตำรวจแห่งชาติอาเซียน (ASEANPOL) ในการถอนรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้อนาคตของชาติตกเป็นเหยื่อของอาญชากรรมเหล่านี้
ทั้งนี้ระหว่างการหารือ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แสดงความเสียใจกับกรณีที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ โดยฮุน มาเนตระบุว่า ทางการของกัมพูชาได้เร่งดำเนินการปราบปรามมิจฉาชีพ และให้คำมั่นว่า จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดการปัญหาอาชญากรรม ซึ่งเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะเดียวกัน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Summit: APT) ครั้งที่ 28 โดยยืนยันว่า ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือทำให้เกิดการร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมหารือการปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง ซึ่งตอนนี้ได้มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
ปัญหาสแกมเมอร์ยังคงเป็น ‘งูกินหาง’ ซึ่งพัวพันกับหลายตัวละคร ปัญหาก็คือยังไม่มีทีท่าชัดเจนจากรัฐบาลอนุทินว่ารัฐบาลจริงจังกับเรื่องนี้
ปัญหาก็คือหากเดินไปถึง ‘ตอ’ อนุทินจะกล้าจัดการจริงหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นอีกเรื่องที่รอให้รัฐบาลหน้าตัดสินใจ
เมื่อเส้นทางของ ‘สแกมเมอร์’ กลายเป็นเครือข่ายที่พันกันระหว่างอาชญากรรม เทคโนโลยี และการเมือง ปัญหาจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ ‘เหยื่อ’ แต่คือคำถามถึง ‘ผู้ร่วมสมคบคิด’ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยในระบบที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์
และตราบใดที่คำตอบยังไม่ถูกคลี่ออก ความเงียบของผู้มีอำนาจ อาจเป็นเสียงที่ดังที่สุดในคดีนี้
Tags: Feature, เกาหลีใต้, อาเซียน, สแกมเมอร์, ไทยกัมพูชา, วรภัค ธันยาวงษ์, ลิม เยียก, BIC BANK



