หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาอันอื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่งของตำรวจไทย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลากชั้นยศผลัดกันขึ้นเป็นข่าวรายวัน มีเอี่ยวกับทุกเรื่องสีดำ-สีเทา และตกเป็นผู้ต้องหาในสารพัดคดี ทั้งฆ่าคนตาย ปล้นปืน รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน
แน่นอนว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหม่ คนในประเทศนี้ต่างก็รู้ดีว่าตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ไม่ทางใดทางหนึ่งมาเนิ่นนาน คำพูดติดตลกหลายครั้งก็คือ ตำรวจดีอาจมีอยู่แค่คนเดียว คือตำรวจที่ยืนอุ้มเด็กอยู่ที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ทั้งหมดนี้เป็นภาระอันท้าทาย พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เพิ่งรับตำแหน่งเป็นเดือนแรก แต่กลับต้องเจอภาระหนักอึ้ง เพราะนับตั้งแต่เหตุการณ์กราดยิงที่ศูนย์เด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีช่วงเวลาไหนที่ไม่มีข่าวตำรวจออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่วันเดียว
แม้เราจะเชื่อว่าตำรวจดีไม่ได้มีอยู่แค่คนเดียว และตำรวจส่วนใหญ่ยังเป็น ‘คนดี’ แต่หากปล่อยให้โครงสร้างและระบบตำรวจเป็นอย่างนี้ต่อไปโดยไร้การปฏิรูป ประเทศไทยจะมีปัญหาอย่างแน่นอน
The Momentum รวม ‘วีรกรรมตำรวจไทย’ ตลอดเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมจดจำว่า ‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’ ที่ควรจะผดุงความสัตย์ซื่อและความยุติธรรม ได้ทำอะไรลงไปบ้าง
1. ขโมยปืนหลวงไปขาย จังหวัดนนทบุรี 21 ตุลาคม 2565
หลังจากเหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภูไม่นาน ก็มีข่าว ‘ปืนหลวง’ สูญหายไปจากคลังอาวุธของสถานีตำรวจภูธรปากเกร็ดกว่า 100 กระบอก สร้างความหวาดกลัวให้กับสังคมว่าปืนที่หายไปอาจถูกนำไปใช้ก่อเหตุสะเทือนขวัญอีกครั้ง
ในที่สุด วันที่ 21 ตุลาคม 2565 ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุม ดาบตำรวจ เชาวลิต พุ่มขจร ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด โดยดาบตำรวจเชาวลิตให้สัมภาษณ์ว่าเหตุที่ต้องขโมยปืนกว่า 100 กระบอกนั้น ก็เพื่อนำไปขายและจำนำ เพื่อใช้หนี้พนัน พร้อมกับสารภาพว่าขโมยปืนไปทั้งสิ้น 159 กระบอก เป็นปืนสั้น 134 กระบอก ปืนยาวเอ็ม 16 และ M4 รวม 25 กระบอก
ทั้งนี้ ผู้ต้องหารับสารภาพว่าก่อเหตุเพราะติดหนี้การพนันอย่างหนัก และมีหน้าที่ดูแลเรื่องการเบิกจ่ายปืน จึงสบช่องก่อเหตุ ค่อยๆ ทยอยขายปืนตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยปืนกล็อก ปืน M4 ปืนแม็กกาซีนซิกซาวเออร์ ขายขั้นต่ำกระบอกละ 2 หมื่นบาท
2. เมายิงคนเสียชีวิตในผับ และขโมยปืน M4, เสื้อเกราะ จังหวัดตรัง 25 ตุลาคม 2565
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งกลางเมืองตรัง เมื่อ จ่าสิบตรี ชุติพนธ์ นาคแก้ว หรือจ่าเบิร์ด ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรบ้านหนองเอื้อง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เกิดทะเลาะวิวาทกับ จิตกร คงจันทร์ นักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดตรัง จนสุดท้าย จ่าสิบตรีชุติพนธ์ได้ใช้อาวุธปืน 9 มิลลิเมตร ยิงจิตกรเข้าที่หลังศีรษะ 2 นัด สะบักหลังซ้าย 3 นัด ชายโครงขวา 1 นัด และต้นแขนขวา 3 นัด จนเสียชีวิต
ตำรวจสืบสวนพบว่า จ่าสิบตรีชุติพนธ์มานั่งดื่มกินพร้อมกับเพื่อนซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันรวม 2 คน โดยมีอาการมึนเมาหนักมาก และถีบเก้าอี้กระเด็นไปโดนนักการเมืองท้องถิ่น ทำให้นักการเมืองท้องถิ่นโมโห เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ฝั่งตำรวจจึงได้ชักอาวุธปืนยิงใส่ในที่สุด
จากนั้น จ่าสิบตรีชุติพนธ์ได้หลบหนีไปพร้อมอาวุธปืน M4 และเสื้อเกราะ อ้างว่าเพื่อป้องกันตัว หวั่นความปลอดภัย และกลัวจะถูกญาติของผู้เสียชีวิตตามมาทำอันตราย จึงได้หลบไปอยู่ในป่าห่างจากบ้านพักไปราว 1.5 กิโลเมตร โดยหลังจากมีการปิดล้อมโดยตำรวจหน่วยสวาตกว่า 50 นาย จ่าสิบตรีชุติพนธ์ได้ติดต่อเข้ามอบตัวในที่สุด
3. อมเงินประชาชน จังหวัดปทุมธานี 27 ตุลาคม 2565
ชูศักดิ์และภรรยาได้เข้าไปลงบันทึกประจำวัน หลังจากมีคนโอนเงินผิดเข้าบัญชี เป็นจำนวนเงิน 3.7 หมื่นบาท เพราะใส่เลข ‘พร้อมเพย์’ ผิด อย่างไรก็ตาม พันตำรวจตรี พรเจตต์ พร้อมมูล สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จังหวัดปทุมธานี กลับให้สามีภรรยาคู่ดังกล่าวโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของตัวเอง โดยอ้างว่าจะนำเงินไปคืนเจ้าของเอง เพราะภรรยาของเขาอยู่จังหวัดเดียวกับผู้ที่โอนเงินผิด ทว่าเมื่อถึงวันนัดหมายคืนเงิน ตำรวจกลับไม่ไปตามนัด อ้างว่ามีงานเยอะ และติดธุระ
ในที่สุด พันตำรวจตรีพรเจตต์ได้ผัดวันนัดคืนเงินถึง 3 ครั้ง ทั้งติดธุระ ไม่ว่าง และติดต่อไม่ได้ จนผู้เสียหายที่โอนเงินผิดได้โทรมาบอกชูศักดิ์และภรรยาว่าจะดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ ทางชูศักดิ์และภรรยาจึงติดต่อขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด
ภายหลังการขอความช่วยเหลือ พันตำรวจเอก อภิชาติ ทองแพ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ บอกว่าขณะนี้ได้ติดตามเงินจากตำรวจนายนี้ได้ทั้งหมดและติดต่อให้มารับเงินเรียบร้อยแล้ว ส่วนเหตุผลที่พันตำรวจตรีพรเจตต์กล่าวอ้างคือ ‘ติดเข้าเวรไม่ว่าง’ ทั้งนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพันตำรวจตรีพรเจตต์แล้ว
4. เอี่ยวบ่อนการพนันเกลื่อนกรุง กรุงเทพฯ 27 ตุลาคม 2565
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 เกิดเหตุอื้อฉาวขึ้นเมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งออกมาร้องเรียนว่าถูกคนของบ่อนการพนันอุ้ม พร้อมกับใช้ถุงดำครอบหัว มัดมือมัดเท้า ไปรีดไถรวมแล้วกว่า 2.5 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่านักพนันคนนี้โกงบ่อน จากนั้น นักพนันกลุ่มนี้ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม แต่ตำรวจกลับไม่สนใจเรื่องดังกล่าว พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ให้เกี่ยวข้องกับบ่อน และไม่ให้เกี่ยวข้องกับสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม และปัดให้เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทส่วนตัว ขณะเดียวกันยังได้นำภาพภายในบ่อนการพนันมายืนยันกับสื่อมวลชน
ผู้เสียหายยังระบุด้วยว่า เจ้าของบ่อนการพนันดังกล่าวเป็นคนจีน อักษรย่อ ต. อยู่ในพื้นที่ ‘เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา’ ทั้งยังเป็นบ่อนถาวร ไม่ใช่บ่อนวิ่ง
ในที่สุด ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 มีคำสั่งที่ 341/2565 มีผลทำให้ พันตำรวจเอก ศรีสันต์ เฟื่องสังข์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะยังมีกระบวนการ ‘แฉ’ ต่ออีกว่า บ่อนการพนันถาวรไม่ได้มีแต่ในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลโคกครามเพียงที่เดียว หากแต่มีกว่า 30 บ่อนทั่วกรุงเทพฯ และอาจมีบ่อนการพนันแทบทุกเขต บางคนถึงกับใช้คำว่าบ่อนการพนันในพื้นที่กรุงเทพฯ เหมือนสินค้าโอทอป 1 โรงพัก 1 บ่อนการพนันด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่มีบ่อนการพนัน และยังไม่พบเบาะแส
5. พกปืนบุกโรงพัก ขู่ผู้กำกับฯ จังหวัดขอนแก่น 27 ตุลาคม 2565
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สะเทือนขวัญประชาชน คือเหตุการณ์ที่ตำรวจขู่ยิงทั้งโรงพักที่สถานีตำรวจภูธรเมืองไหม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เรื่องดังกล่าวเริ่มต้นจาก สิบตำรวจเอกโบส (นามสมมติ) ไม่พอใจเพื่อนบ้านที่เผาฟางแล้วเกิดลุกไหม้ลามทรัพย์สินของตำรวจรายนี้ สุดท้ายไม่สามารถเจรจาความเสียหายได้ ตำรวจจึงชักปืนยิงขู่ชาวบ้าน ชาวบ้านจึงแจ้งความตำรวจนายนี้ ขณะที่ตำรวจนายนี้ก็แจ้งความชาวบ้านกลับเช่นกัน ที่เผาฟางจนทำให้ทรัพย์สินของตนเสียหาย
เรื่องผ่านไประยะหนึ่ง สิบตำรวจเอกรายนี้กลับไม่พอใจผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองไหม ที่ไม่ดำเนินคดีกับชาวบ้านที่เผาทรัพย์สิน แต่กลับเลือกปฏิบัติ ดำเนินคดีกับตนเองที่ยิงปืนขู่ชาวบ้าน จึงได้เดินทางมายังสถานีตำรวจ พร้อมกับจับปืนไว้ตลอดเวลา และมีท่าทีข่มขู่ตำรวจคนอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย จนหลายคนเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมีการ ‘เคลียร์’ กันสำเร็จ นายตำรวจคนดังกล่าวยอม ‘ถอย’ แต่คลิปดังกล่าวก็เผยแพร่ว่อนไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต สะท้อนภาพที่ย่ำแย่ของตำรวจที่แย่อยู่แล้ว ให้แย่ลงไปอีก
6. ขายข้อมูลให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 28 ตุลาคม 2565
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจโท วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แถลงผลปฏิบัติการ ‘เด็ดปีกมังกร’ จับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เริ่มดำเนินการเมื่อต้นเดือนตุลาคม โดยมีข้อมูลของประชาชนถูกนำไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 1,000 ข้อมูล ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 16 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. กลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้า
2. กลุ่มรวบรวมบัญชีม้าส่งต่อให้นายทุนจีน
3. กลุ่มที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลประชาชนเพื่อนำไปใช้หลอกลวง จำนวน 2 ราย และทั้ง 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
รายแรกมียศเป็นพันตำรวจโท มีพฤติการณ์เข้ารหัสไปกดดูฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหาย โดยพบความถี่ในการเข้าดูนับครั้งไม่ถ้วน รายที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกระทรวงพาณิชย์ มีพฤติการณ์เข้าไปล้วงข้อมูลการจดทะเบียนการค้า หรือตราธุรกิจของผู้เสียหายไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเลือกเหยื่อที่มีฐานะร่ำรวยและมีเงินจดทะเบียนจำนวนมาก
ทั้ง 2 คนได้รับค่าตอบแทนจากการขายข้อมูลของประชาชนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนวันละ 2 หมื่นบาท รวมเดือนละ 6 แสนบาท ทางธนาคารพบการเคลื่อนไหวของเงินจากบัญชีม้ามายังบัญชีผู้ต้องหา จึงประสานให้ตำรวจตรวจสอบจนนำมาสู่การจับกุมตัว
Tags: ตำรวจ, ตำรวจไทย, Feature