หากพูดถึงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ หลายคนอาจจะนึกถึงเทศกาลหนังเมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ประเทศฝรั่งเศส ที่ดารานักแสดงและผู้กำกับชาวไทยได้เป็นส่วนหนึ่งต่อเนื่องมาหลายปี
ทว่านอกจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ที่คนไทยรู้จักมักคุ้นแล้ว ยังมีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เทียบเคียงกันอย่างเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน (Internationale Filmfestspiele Berlin) ในประเทศเยอรมนี หรือเรียกอีกชื่อว่า Berlinale เป็นชื่อที่ล้อไปกับชื่อเทศกาลศิลปะนานาชาติที่เริ่มจากเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี อย่าง Venice Biennale
ในปีนี้เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 75 ระหว่างวันที่ 13-23 กุมภาพันธ์ 2025 แม้ไม่ได้เป็นเทศกาลที่ครึกโครมบนหน้าสื่อไทย แต่สำหรับคนทำหนังหรือเหล่าผู้กำกับ เทศกาลนี้มีความสำคัญอย่างมาก และหากหนังของตนถูกรับเลือกให้ฉาย ก็ถือเป็นความภูมิใจไม่น้อยเลย

โดม-ภพวรัท มาประสพ (ซ้าย) กับแลนเซีย-ชนม์ชนก ธนัสทีปต์วงษ์ (ขวา)
โอกาสที่ภาพยนตร์สั้นแนวทดลองเรื่องภูเขาคำราม (Mountain Roars) จากฝีมือของ 2 ผู้กำกับชาวไทย แลนเซีย-ชนม์ชนก ธนัสทีปต์วงษ์ และโดม-ภพวรัท มาประสพ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน 2025 ในโปรแกรม Forum Expanded
The Momentum ชวน 2 ผู้กำกับคุยตั้งแต่เรื่องกระบวนการส่งออกหนังไปยังเทศกาลหนังนานาชาติ กับชีวิตอีกด้านที่ไม่ได้ทำหนังเป็นอาชีพ เรื่องโอกาสหรือพื้นที่ของผู้กำกับหนังแนวทดลอง และแก่นของหนังเรื่องภูเขาคำรามที่ทั้งคู่กล่าวว่า มีพระเอกตัวจริงเป็น ‘เสียง’ ในการเล่าเรื่อง ไปจนถึงวิธีการทำงานร่วมกันของ 2 พาร์ตเนอร์นักทำหนัง
เส้นทางของหนังแนวทดลองไทยบนเวทีโลก
เมื่อถามว่า ส่งหนังไปเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินได้อย่างไร แลนเซียกับโดมเล่าว่า ทั้งคู่เรียนจบสาขาภาพยนตร์และเป็นคนทำหนังมาตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้หนังสั้นของโดมเรื่องหอมสุวรรณ หรือ Did You See the Hole That Mom Dig (2566) ได้ถูกรับเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสิงคโปร์และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับแลนเซียที่เรื่องอนันตวัฏ หรือ Crystallized Memory (2565) ได้รับการคัดเลือกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติรอตเตอร์ดัม (International Film Festival Rotterdam) เทศกาลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสิงคโปร์ และ New Directors New Films 2022 ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นของหนังสั้นเรื่องภูเขาคำราม เกิดจากการเขียนบทหนังสั้น เพื่อขอทุนเทศกาลหนัง CCCL (Changing Climate Changing Lives: CCCL Film Festival) ที่กำหนดโจทย์ว่าต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
“อันที่จริง เราทำหนังที่เราอยากทำก่อน ทำที่เราถูกใจ แล้วค่อยหาเทศกาลส่ง เพราะจริงๆ ตอนที่เราทำหนัง เราก็ไม่ได้คิดก่อนว่าจะส่งไปเทศกาลไหน พอเสร็จแล้วค่อยคิด ให้โปรดิวเซอร์หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ ช่วยดูให้ แล้วทุนของ CCCL เขาเน้นหนังที่เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลก เราเลยเขียนบทเรื่องภูเขาคำราม แล้วสุดท้ายก็ได้ทุนมา พอทำหนังเสร็จ เราก็มาหาเทศกาลที่จะส่งหนังไปฉาย ซึ่งทาง CCCL เขาก็ช่วยสนับสนุนเรื่องการส่งหนังต่อให้ด้วย เหมือนเป็นพี่เลี้ยงให้เรา” แลนเซียกล่าว
โดมเล่าต่อว่า เหตุผลที่ส่งหนังไปเทศกาลหนังเบอร์ลิน เพราะเป็นหนึ่งในเทศกาลหนังนานาชาติที่ใหญ่ระดับโลก ซึ่งอันที่จริงแล้ว แต่ละเทศกาลหนังก็มีคาแรกเตอร์แตกต่างกันไป โดยสำหรับความพิเศษของเทศกาลหนังเบอร์ลิน คือจะมีภาพยนตร์ชนิดต่างๆ ด้วย อย่างภาพยนตร์แนวทดลอง วิดีโออาร์ต และวิดีโอจัดวาง (Video Installation) รวมทั้งมีหมวด Forum Expanded แยกออกมา ซึ่งภูเขาคำรามก็จัดอยู่ในหมวดนี้
ในอดีตสิ่งหนึ่งที่คนทำหนังมักกังวลกันคือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการพาหนังของตัวเองไปฉายยังต่างประเทศ แต่สำหรับภูเขาคำราม ได้รับการสนับสนุนจากหลายส่วน อย่างเทศกาลหนัง CCCLที่มาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการส่งภาพยนตร์ไปฉาย และทางเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินก็สนับสนุนค่าโรงแรมที่ประเทศเยอรมนี
“เมื่อก่อนเราทำหนังแล้วส่งไปเทศกาลต่างประเทศ ส่งไปก็ต้องทำใจว่า มันจะถูกคัดเลือกไหม เพราะโอกาสมันก็ 50/50 แล้วก็ต้องใช้เงินส่วนตัวไม่น้อยเลยในการส่งหนังไป พอมีเทศกาลมาช่วยซัพพอร์ตเรื่องนี้เราก็กล้าที่จะส่งมากขึ้น” โดมกล่าว
เมื่อได้รับการสนับสนุนมากขึ้น ก็เหมือนประตูโอกาสหลายบานถูกเปิดออก แลนเซียเล่าว่า ตั้งแต่ตอนที่หนังเรื่องอนันตวัฏได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ใหญ่ๆ อย่างรอตเตอร์ดัม ทำให้มีคนรู้จักชื่อเธอเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีคนสนใจผลงาน และอยากแนะนำไปฉายต่อในเทศกาลอื่นๆ
เช่นเดียวกับโดมที่บอกว่า เมื่องานของเขาไปสู่สายตาของนานาชาติ สถานะคนทำหนังของเขาก็เปลี่ยนไป โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่มีภาพเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้น
คนทำหนังที่ใช้แพสชันเป็นเชื้อเพลิง
หากพูดถึงอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ หลายคนอาจคิดว่า ต้องขลุกอยู่ในกองถ่ายทั้งวันทั้งคืนจน หรือใช้เวลาไปกับการตัดต่อ จนไม่สามารถมีอาชีพที่ 2 ได้ แต่สำหรับแลนเซียที่แม้จะเรียนจบภาพยนตร์โดยตรง แต่วันนี้เธอก็กำลังทำงานประจำอื่นอยู่ และแบ่งเวลาบางส่วนมาทำหนังซึ่งเป็นแพสชันสำคัญของเธอ
“เราเพิ่งลองมาทำงานประจำ แต่ก่อนหน้านี้เรามีโปรเจกต์หนังของเรา เรารู้สึกว่า การผสมผสานระหว่างการทำหนังกับการหาเงินมาเลี้ยงชีพ มันยากสำหรับคนที่ทำหนังมากเหมือนกัน แต่เราจะพยายามแยกมัน ทำหนังคือแพสชันมากกว่าสำหรับเรา” แลนเซียเล่า
ในขณะที่ผู้กำกับอีกคนก็เห็นตรงกันว่า การเป็นคนทำหนัง โดยเฉพาะหนังนอกกระแสอาจต้องมีรายได้จากอาชีพที่มั่นคงก่อน และเสริมว่า ผู้กำกับที่โด่งดังและเก่งกาจหลายท่านไม่ได้เรียนจบภาพยนตร์โดยตรง เพราะฉะนั้นการเรียนทำภาพยนตร์จึงไม่ได้การันตีรายได้และฝีไม้ลายมือ
“เราชอบดูหนัง เราเลยมาเรียนฟิล์ม” โดมเล่า “เรารู้สึกว่าหนังพาเราเดินทางไปถึงเทศกาลใหญ่เหมือนกันนะ การทำหนังมันให้ประสบการณ์ ให้ความสนุกกับเราเหมือนกัน เราก็สนุกที่ได้คิดได้ทำ แต่ว่าในประเทศเรา ยิ่งเป็นหนังทดลองแบบเรา การทำเป็นอาชีพมันเป็นเรื่องที่ยากมาก มันอาจต้องเป็นงานที่ใช้แพสชันอย่างที่แลนเซียว่า เป็นงานที่นอกเหนือจากงานประจำ เราต้องมีงานที่มั่นคง แล้วก็จะเอาเงินจากงานมาซัพพอร์ตสิ่งนี้
“หนังนอกกระแสมันมีของสไตล์ผู้กำกับชัดเจนมากๆ อย่างที่เราเห็น เพราะมันคือการส่งไปขอทุนใดๆ ด้วยตัวของเขา ไม่ได้มีนายทุนใหญ่ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่า ถ้าเริ่มจากการไปประกวดก่อน แล้วหนังถูกเลือกไปฉายที่เทศกาลใดๆ มันก็เหมือนสร้างคุณค่าอะไรบางอย่างให้คนจำหนังเรา” แลนเซียกล่าว
ถึงแม้ว่าหนังของโดมกับแลนเซียที่ขับเคลื่อนโดยแพสชัน ได้ไปฉายไกลถึงต่างประเทศ แต่ผู้กำกับทั้งคู่ก็ยังยืนยันว่า การทำอาชีพผู้กำกับหนังทางเลือกในประเทศไทยเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเรื่องที่น่าสนใจคือ แล้ววันนี้พื้นที่ฉายหนังนอกกระแสหรือกระทั่งหนังแนวทดลอง มีมากน้อยเพียงใดในประเทศไทย
ในประเด็นนี้ผู้กำกับตอบว่า มีหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ที่จัดฉายหนังสั้นในเทศกาลภาพยนตร์สั้น Thai Short Film and Video Festival ทุกปี เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คอหนังสามารถไปชมหนังลักษณะนี้ได้อยู่
อย่างไรก็ตามแม้หนังสั้นนอกกระแสหรือแนวทดลองจะพอมีพื้นที่ฉายอยู่บ้าง แต่สำหรับคนทำหนังอย่าพวกเขาก็ยังหวังว่า ในอนาคตประเทศไทยจะมีพื้นที่ฉายหนังหลากหลายแนวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ Doc Club & Pub คอมมูนิตี้สำหรับคนรักหนังถูกระงับการฉายหนัง เนื่องจากข้อกฎหมายใหม่ที่ไม่เอื้อต่อโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก
“เรารู้สึกว่าถ้า Doc Club มันหายไป ทำหนังหน้าใหม่เขาก็ไม่รู้จะฉายที่ไหนเหมือนกัน สำหรับเราคนทำหนัง เราก็รู้สึกว่าอยากฉายโรงหนัง อยากฉายให้คุณภาพมันดีที่สุดเท่าที่เราทำมา” โดมกล่าว ก่อนเสริมว่า ในวันนี้เริ่มมีหนังฉายตามร้านกาแฟหรือคอมมูนิตี้ต่างๆ ตามหัวเมืองต่างจังหวัดบ้างแล้ว และคิดว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีพื้นที่ฉายหนังที่หลากหลายเพิ่มขึ้นในอีกหลายจังหวัด
ฉาก คน และ ‘เสียง’ ภูเขาคำราม
ภาพยนตร์เรื่องภูเขาคำราม เกิดขึ้นเพราะแลนเซียอ่านข่าวแล้วเจอข่าวคนท้องถิ่นออกมาปกป้องบ้านเกิด ต่อต้านการระเบิดภูเขา เพื่อทำเหมืองแร่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งประเด็นเรื่องธรรมชาตินี้สอดคล้องกับคอนเซปต์ของเทศกาลหนัง CCCL
“เราชอบภูเขาอยู่แล้ว และเราก็สนใจเรื่องเสียงสั่นตอนระเบิด กับเสียงเอคโคของมัน แล้วการสั่นสะเทือนของระเบิดมันกระทบต่อคนในชุมชนอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าเป็นเรื่องนี้เราว่า คนส่วนมากจะนึกถึงรูปแบบสารคดี การสัมภาษณ์ แต่เราคุยกับแลนเซียว่า เราไม่ได้อยากเล่าแบบสารคดี เราอยากทำหนังทดลอง ทำหนังแบบอาร์ตแล้วกัน อยากให้มันเล่าแบบที่ทดลอง” โดมเล่า
“เราได้ทดลองอะไรหลายๆ อย่าง กับหนังเรื่องนี้เยอะ” แลนเซียเสริม
หลังจากที่รู้ว่า อยากเขียนบทหนังเรื่องนี้ ทั้งคู่ก็ได้หาข้อมูล ออกแบบภาพและเสียงว่าจะเล่าเรื่องอย่างไร เพื่อให้หนังถ่ายทอดความรู้สึกกับประสบการณ์ออกมาได้ตามที่ตั้งใจ
“เวลาเราทำหนังทดลอง เราไม่รู้เลยว่าอนาคตคืออะไร แต่รู้สึกว่า ณ เวลานี้ เราอยากถ่ายแบบนี้ มันจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราไม่รับรู้ประมาณหนึ่ง อย่างงานนี้เราก็ไม่รู้อะไรตอนถ่าย แต่เราคิดว่ามันน่าจะใช้ในหนังได้ เรากับแลนเซียก็จะมาดู คัดฟุตเทจกัน แล้ววางแผนกันว่าจะตัดมันออกมา Journey แบบไหน เรื่องนี้ต้องให้เครดิตแลนเซียที่เป็นคนตัดต่อหนัง” โดมกล่าวถึงขั้นตอนในระหว่างถ่ายทำ ขณะเดียวกันทั้งคู่ต้องลงพื้นที่ในจังหวัดกระบี่ โลเคชันหลักในหนัง ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่จนทำให้ผลงานออกมาลุล่วงด้วยดี
“งานนี้จริงๆ คนที่ควรขอบคุณด้วยมากที่สุดเช่นกันคือ ไกด์น้อง เป็นเหมือน ‘Cave Adviser’ ที่แนะนำ และพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งถ้ำและป่ามากมาย และให้ที่พัก ขอบคุณพี่กุ้งที่ดูแลเรื่องอาหารกับเราตลอดทั้งทริป รวมถึงชมรมคนรักถ้ำกระบี่ และรวมพลคนรักษ์เขากระบี่ ที่เป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางและช่วยดูแลเวลาอยู่ในถ้ำและทำให้เห็นว่า พวกเขามีแพสชันในเรื่องถ้ำกันขนาดไหน” โดมกล่าวขอบคุณ
ทั้งสองขยายว่า ใจความที่ต้องการสื่อสารผ่านหนังเรื่องนี้คือ ภูเขาเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรม ธรรมชาติ ชีวิตคน และชุมชน มากกว่านั้นคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง ‘จิตวิญญาณ’ เรื่องเล่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ภูเขา และการระเบิดภูเขาคือ การทำให้จิตวิญญาณเหล่านั้นสูญสลายไป
“สุดท้ายมันก็จะวนกลับมาตรงดนตรีคือการสั่นสะเทือน การระเบิดภูเขาคือการสั่นสะเทือน หรือกระทั่งกลับไปจุดเริ่มต้นของการเกิดของภูเขา ซึ่งเกิดจากแผ่นดินที่มันเคลื่อน มันก็คือการสั่นสะเทือนอีก เราก็เลยรู้สึกว่าเราได้วัตถุดิบที่มันกลมกล่อมมาก แล้วเราจะสร้างสิ่งนี้ต่อให้มันอยู่ในความยาวหนังอย่างไรกันดี ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้เราทดลองกับมันเยอะ” แลนเซียกล่าว
ทั้งคู่บอกว่า พระเอกของเรื่องนี้คือ ‘เสียง’ ที่ต้องยกย่องคนทำซาวนด์อย่าง เจมส์-ณัฐพล อินทร์หนู ผู้ออกแบบเสียงในหนังเรื่องนี้ เพื่อสื่อสารถึงจิตวิญญาณของภูเขา และอาร์ต-ธีรวัชร์ อุกฤษณ์ (อาร์ต วง JINTA และรองแง็งสวนกวี) ที่ใช้รองแง็งซึ่งเป็นวงดนตรีพื้นบ้านของกระบี่มาเป็นเสียงเพลงประกอบในเรื่อง
“เจมส์เป็นคนที่ทำซาวนด์เก่ง ทำให้เรามา 3 เรื่องแล้ว เราก็คุ้นเคยกัน คุยกันง่าย แล้วเนื้อเรื่องของหนังมันเป็นนามธรรมนิดหนึ่ง เพราะมันเกี่ยวกับแรงสั่นสะเทือนและเสียงพูดของชายหนุ่มสลับกับหญิงสาว ซึ่งเสียงที่ดีไซน์ขึ้นมาคือพระเอกหลักในการเล่าเรื่อง” โดมบอกกับเรา
“เสียงพระเอกอีกหนึ่งคนก็คือพี่อาร์ต เพราะในเรื่องเราใช้เพลงรองแง็งมาประกอบด้วย อย่างพี่อาร์ตเอง เขาก็บอกเหมือนกันว่าเขาก็ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ แบบรองเง็งไซคีเดลิก” แลนเซียเสริม
นอกจากจะมีเพื่อนร่วมงานที่ดีอย่างเจมส์กับอาร์ตแล้ว เราถามทั้งคู่ต่อไปว่า แล้วพาร์ตของการทำงานที่ต้องบาลานซ์ระหว่างความสัมพันธ์กับการทำงานเป็นเรื่องยากไหม
“เวลาทำงานด้วยกัน เราไม่ได้ทรีตพี่โดมเป็นพาร์ตเนอร์แบบนั้น เรารู้สึกว่ากำลังทำงานกับศิลปินคนหนึ่งอยู่ พยายามให้พี่โดมมีพื้นที่เต็มที่ในสิ่งที่พี่โดมอยากทำ” ลูเซียอธิบาย “สุดท้ายมันคือการถกเถียงกันเพื่อสิ่งที่มันเป็นไปได้ และดีที่สุดต่อหนังเรื่องนี้มากกว่า ถามว่ามันมีอุปสรรคไหม มันมีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้วมันคือการคุยกัน จริงๆ เราคิดทุกอย่างด้วยกัน พาร์ตครีเอทีฟมันมาจากทั้งคู่ แล้วพี่โดมก็เป็นคนถ่าย เราเป็นคนตัดต่อ ตามความถนัด”
เช่นเดียวกันกับโดมที่มีมุมมองเหมือนกับแลนเซีย
“เราทรีตว่าเราทำงานกับศิลปินคนหนึ่งมากกว่า เราก็ให้พื้นที่กันอะไรอย่างนี้ คิดอะไรก็คุยกัน ต่อให้ความสนใจคนละเรื่องกัน แต่พอมันคิดคล้ายๆ กัน มันก็จะไปด้วยกันได้ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากกว่า เพราะส่วนมากเราก็ตัดสินใจร่วมกัน”
อย่างที่บอกว่า ในการทำงานทั้งคู่ได้ทดลองสิ่งใหม่ด้วยกันหลายอย่าง เราจึงสงสัยว่า ความสดใหม่ในวิธีการเล่าของหนังเรื่องภูเขาคำรามจะทำให้คนรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ดูยากหรือเปล่า ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่า ‘ยาก’ แต่เป็นความยากที่ไม่ได้ปิดกั้นการจินตนาการ และประสบการณ์การรับรู้ของคนดู
“ถ้าพูดว่าดูหนัง เราอาจคาดหวังว่า เราจะเข้าใจบทสรุปบางอย่างของมัน แต่หนังเรื่องนี้อาจจะเหมือนไปดูงานวิดีโออาร์ต ก็ค่อยๆ ดูไป” แลนเซียบอก
“เราดูเองเรายังรู้สึกว่ายาก ด้วยความที่เราไม่ได้เล่าหนังเป็นเนื้อเรื่อง แต่เล่าเป็นประสบการณ์ เป็นเสียง เป็นภาพที่สอดคล้องกัน เอาจริงนะเราดูหนังมา ยิ่งเป็นหนังทดลอง เราไม่เข้าใจเลย แต่เราชอบหนังบางเรื่องที่เราไม่เข้าใจ เราชอบสิ่งที่เราได้รับจากมัน เราไม่เข้าใจ แต่เรารู้สึกถึงอารมณ์ของมัน
“เราว่าหนังทดลองมันไม่ได้ดูเอาความเข้าใจ มันดูเอาความรู้สึก เหมือนไปเอาประสบการณ์บางอย่างที่เราไม่ได้หาได้ง่ายๆ เพราะหนังบางเรื่องก็หายากมากที่จะได้ดู” โดม ผู้กำกับหนังที่ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินปีนี้เล่าส่งท้าย ถึงมุมมองของเขาที่มีต่อหนังแนวทดลอง
ตัวอย่างภาพยนตร์ภูเขาคำราม (Mountain Roars)
Fact Box
- อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินได้ทางเว็บไซต์ Berlinale https://www.berlinale.de/en/2025/programme/202514321.html