เมื่อกดเข้าโซเชียลมีเดียในช่องทางที่เราต่างใช้กันเป็นประจำ บนหน้าจอโทรศัพท์มีเด็กตัวเล็ก หน้าตาน่ารักกำลังแจกรอยยิ้มให้กับคนบนโลกออนไลน์ผ่านหน้าจอการไลฟ์
“น่ารักมาก”
“เก่งจังเลย”
คำชื่นชมจากคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนถูกส่งผ่านช่องคอมเมนต์และการแชร์ จนกลายเป็นกระแสที่สังคมให้ความสนใจ ในขณะเดียวกันก็ยังมีเด็กบางกลุ่มที่ต้องทำงานขายของหรือขายดอกไม้ตามร้านอาหารโดยเฉพาะในยามค่ำคืน เมื่อเด็กทั้งสองกลุ่มนี้ต่างก็เป็นเด็กที่ใช้ ‘แรงงาน’ เหมือนกัน แต่ความสนใจของสังคมกลับแตกต่างกัน
มีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องกลายเป็นแรงงานตั้งแต่ยังเด็ก เด็กวัยเรียนต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือเด็กบางคนที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา เพราะต้องออกมาทำงานหาเงินจุนเจือตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ยังมีกรณีที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นฝ่ายยัดเยียดการทำงานให้กับเด็ก โดยใช้ภาพความน่าสงสารมาเป็นหนทางการหาเงิน การดิ้นรนของเด็กตัวเล็กทั้งที่ยังไม่ถึงวัยที่จะต้องเข้าไปในตลาดแรงงาน เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาแรงงานเด็กที่ยังมีอยู่ในสังคมไทยทุกวันนี้
แรงงานจำยอม
ความหมายของแรงงานเด็กตามนิยามของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมายถึงเด็กที่มีอายุ 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี เป็นการทำงานโดยมีนายจ้างและได้รับค่าตอบแทนจากการทำงาน ซึ่งในเงื่อนไขการจ้างงาน กฎหมายกำหนดเอาไว้คือ ห้ามจ้างเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี
ข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รายงานความเคลื่อนไหวแรงงานเด็ก ไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่ามีเด็กที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน 148,475 คน ผู้มีงานทำเป็นเด็กที่ทำงานทั้งหมด 135,159 คน ซึ่งสามารถแบ่งแรงงานเด็กออกเป็น 2 กลุ่มคือ เด็กที่เรียนและทำงานไปด้วย 16,022 คน และเด็กที่ทำงานอย่างเดียว 119,137 คน
จากจำนวนตัวเลขจะเห็นได้ว่า จำนวนแรงงานเด็กที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาและต้องทำงานอย่างเดียวมีมากกว่าเด็กที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยหลายเท่า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและครอบครัวในประเทศไทย และอาจจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ช่องว่างทางกฎหมาย เมื่อพ่อแม่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือหาเงิน
หากความหมายของแรงงานเด็ก คือการทำงานโดยมีนายจ้างและค่าตอบแทน ในกรณีของเด็กที่ทำงานขายดอกไม้ตามร้านอาหารและอินฟลูเอนเซอร์เด็กในโซเชียลฯ อาจต่างออกไป การหาเงินโดยมีเด็กเป็นเครื่องมือและสร้างภาพจำตามคำสั่งของพ่อแม่อาจเป็นได้แค่ ‘กิจกรรมภายในครอบครัว’ เพราะไม่มีการจ้างงานหรือค่าตอบแทน จึงไม่ถือว่าเป็นลูกจ้างตามเงื่อนไขของแรงงานเด็ก
อายุต่ำกว่า 15 ปี ‘ห้ามทำงาน’ แต่เมื่อมองถึงความเป็นจริงของสังคมแล้ว ยังมีเด็กจำนวนมากที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการเร่ขายดอกไม้ เร่ขายขนมตามร้านอาหาร หรือการช่วยงานครอบครัวซึ่งนอกเหนือจากงานในบ้าน การที่เราเห็นเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี เหล่านี้ทำงานและช่วยครอบครัวหารายได้ อาจมาจากสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจซึ่งนำไปสู่ความยากจนในครัวเรือน เมื่อไร้หนทางการให้เด็กในครอบครัวมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการหารายได้จึงกลายเป็นทางออกอีกทางของปัญหานี้ เพราะมีความคิดว่าสิ่งที่เด็กทำเป็นเพียงงานเล็กๆ น้อยๆ จนละเลยสิทธิของเด็กไป
เช่นเดียวกับกรณีของอินฟลูเอนเซอร์เด็กที่เรามักเห็นเด็กน้อยน่ารักตามช่องทางออนไลน์ต่างๆ แม้ว่าเด็กกลุ่มนี้จะไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องของปัญหาความยากจนหรือการเงินเหมือนเด็กเร่ขายของทั่วไป แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ยังคงนำเอาความเป็นเด็กนี้มาเป็นตัวสินค้าเสียเอง จนในบางครั้งก็เกิดการละเลยสิ่งที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับไป
ช่องทางออนไลน์กับการทำงานของ ‘Kidfluencers’
เมื่อการเติบโตของเด็กเจเนอเรชันใหม่ถูกครอบงำด้วยโลกออนไลน์ สื่อโซเชียลฯ หรืออุปกรณ์ทันสมัยจึงมีอิทธิพลต่อตัวเด็กมากขึ้น โดยคำว่า Kidfluencers หรืออินฟลูเอนเซอร์เด็กที่เราคุ้นเคยกัน จะหมายถึงเด็กที่มีบทบาทและอิทธิพลมากในโลกออนไลน์ ซึ่งการปรากฏตัวในโลกออนไลน์นี้เกิดขึ้นได้จากการที่พ่อแม่พาเด็กๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสสังคม จนนำไปสู่การใช้เด็กเป็นคอนเทนต์เรียกยอดกดไลก์ ยอดแชร์ หรือสร้างรายได้จากความน่ารัก
ผลตอบรับจากกระแสสังคมเกี่ยวกับคอนเทนต์เด็กทำให้ Kidfluencers เริ่มมีมากขึ้นทั้งในประเทศ ต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาและคนมีชื่อเสียง เด็กหลายถูกจับมานั่งหน้ากล้องเพื่อเป็นคอนเทนต์ให้กับพ่อแม่ จนเราไม่สามารถทราบเบื้องหลังได้ว่า กระบวนการทำงานนั้นเป็นอย่างไร เด็กบางคนอาจเต็มใจที่จะทำหรือเด็กบางคนถูกพ่อแม่บังคับมา อีกทั้งในช่วงวัยของเด็กนั้นยังไม่สามารถตัดสินใจหรือใช้วิจารณญาณของตนเองอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจเด็กได้
พณิดา โยมะบุตร นักจิตวิทยาคลินิก จาก MindBloom Mental Health Clinic ได้กล่าวถึงประเด็นของอินฟลูเอนเซอร์เด็กว่า การให้เด็กมาทำคอนเทนต์หรือเป็นส่วนหนึ่งของงาน ต้องขึ้นอยู่กับว่าเด็กอายุเท่าไร ถ้าอยู่ในวัยที่สามารถเริ่มสื่อสารรู้เรื่อง การให้เด็กมาทำกิจกรรมเหล่านี้ถือว่าเป็นการช่วยฝึกความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ได้ และต้องเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมโดยมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองคอยดูแล แต่ในขณะเดียวกันหากพ่อแม่ละเลยในการดูแลเด็กๆ มากเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กและการพัฒนาการได้
“เด็กเป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ เด็กจะเรียนรู้ผ่านการเล่น และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ แต่ว่าการเล่นก็ควรเป็นการเล่นอย่างมีอิสระตามวัย ถ้าการเอาเด็กมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์แล้วมีการบังคับหรือจัดแจงว่าต้องทำนู่นทำนี่ มันไม่ใช่ความอิสระแล้ว”
เพราะการทำคอนเทนต์หรือการเป็น Kidfluencers นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทางพ่อแม่หรือผู้ปกครองจึงควรมีการตรวจสอบเนื้อหา ความปลอดภัยของเด็กเสมอ เมื่อมีการนำเด็กเข้ามาทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยพณิดายังกล่าวถึงหลักเกณฑ์พื้นฐานและข้อควรระวังสำหรับเด็กที่ต้องอยู่หน้ากล้องว่า การจะทำคอนเทนต์หรือกิจกรรมต่างๆ ต้องเอาเด็กเป็นหลักในการตัดสิน
“พ่อแม่ต้องรู้จักลูกของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน เขาจะไหวอยู่มากน้อยแค่ไหน จะมีสมาธิอยู่ได้นานแค่ไหน ต้องแบ่งช่วงเวลาให้พัก แต่ที่สำคัญคือ ไม่ควรดึงเขาออกจากกิจกรรมปกติที่เด็กทั่วๆ ไปควรจะทำ”
เด็กเร่ขายของ VS อินฟลูเอนเซอร์เด็ก
เด็กทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเป็นเด็กที่ต้องใช้แรงงานและอยู่ภายใต้การตัดสินใจของพ่อแม่และผู้ปกครองเช่นเดียวกัน เด็กเร่ขายของที่เรามักเจอได้บ่อยครั้งในร้านอาหารและส่วนใหญ่เป็นเวลาหัวค่ำหรือยามค่ำคืน การต้องทำงานในเวลาที่ช่วงวัยนี้ต้องพักผ่อน กลายเป็นการลิดรอนสิทธิของเด็ก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในเรื่องสภาพแวดล้อมการทำงาน ที่อาจทำให้เกิดอันตรายและพัฒนาการของเด็กที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
เช่นเดียวกับอินฟลูเอนเซอร์เด็กที่ถึงแม้ว่าการให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ จะเป็นการฝึกความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ แต่เมื่อใดก็ตามที่นำเด็กมาเป็นคอนเทนต์มากจนเกินไป หรือถูกบีบบังคับจากพ่อแม่จนฝืนธรรมชาติของความเป็นเด็ก สิ่งนี้จะไม่ต่างอะไรกับการใช้แรงงานที่ได้กล่าวไปข้างต้น เพียงแค่ไม่สามารถเรียกว่าแรงงานเด็กได้เต็มปากเพราะไม่ใช่การว่าจ้างอย่างที่ช่องว่างของกฎหมายได้ระบุไว้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างเด็ก 2 กลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอยู่หนึ่งสิ่ง นั่นคือการให้ความสนใจของสังคม แม้ว่าเราจะสามารถเห็นแรงงานเด็กที่เร่ขายของได้บ่อยเท่าไร แต่สังคมก็เพียงรับรู้และปล่อยผ่าน ภาพของเด็กที่ต้องขายของตามร้านอาหารกลายเป็นความเคยชินของผู้คนที่พบเห็น ทำได้เพียงช่วยเหลือจากการซื้อของหรือบางคนอาจเมินเฉยไปอย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน เมื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์เด็ก สังคมกลับให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งมอบคำชื่นชม มองว่าน่ารักน่าเอ็นดูจนกลายเป็นจุดสร้างรายได้ และกลายเป็นความภาคภูมิใจที่สามารถหารายได้ให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก
ซึ่งเมื่อมีการถกเถียงกันในเรื่องของการใช้แรงงาน สังคมก็ยังให้ความสนใจกับประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง มีผู้คนมากมายที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นและตำหนิพ่อแม่ที่พาลูกมาเป็นคอนเทนต์หรือไลฟ์ขายของ สังคมต่างช่วยกันทวงคืนความเป็นเด็กให้กับอินฟลูเอนเซอร์ตัวน้อยแต่เด็กเร่ขายของทั่วไปกลับไม่ได้รับสิ่งนี้อย่างเท่าเทียมกัน
“รางวัลจากการไลฟ์ที่มีคนมาคอมเมนต์หรือว่าให้รางวัลให้นู่นให้นี่ ซึ่งมันจะมีผลในเรื่องของการสร้างตัวตน เด็กอาจจะเอาตัวเองไปขึ้นอยู่กับสิ่งพวกนี้มากเกินไป ในการที่จะรู้สึกภาคภูมิใจหรือมีความสุข ในขณะที่เด็กที่ใช้แรงงาน เด็กขายพวงมาลัยขายของ เขาอาจจะไม่ได้ทำเพื่อเอาแรงเสริมพวกนี้ เพราะฉะนั้นตัวตนของเขาก็จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า สังคมหรือคนที่ไม่รู้จักมันมีผลต่อเขายังไง มันก็จะมีผลต่อการพัฒนาตัวตนที่ไม่เหมือนกัน”
เพราะในยุคโซเชียลฯ ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่าย เพียงแค่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า กดเข้าโทรศัพท์มือถือและเข้าโซเชียลฯ ก็สามารถเห็นอินฟลูเอนเซอร์เด็กได้ทันทีและทำให้เรามีประสบการณ์ร่วมได้ง่ายกว่า ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างกับเด็กที่เร่ขายของโดยสิ้นเชิง ถ้าเราอยู่บ้าน เราอาจเห็น Kidfluencers แต่เราไม่สามารถเห็นเด็กที่ต้องใช้แรงงานคนอื่นๆ ได้เลย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมสังคมถึงให้ความสนใจกับประเด็นของการใช้แรงงานเด็กที่ไม่เท่ากัน เพราะความเข้าถึงง่าย ความไว และกระแสสังคมจากโลกออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญของการตระหนักรู้ของผู้คนในสังคมไทย
อ้างอิง
– https://theactive.thaipbs.or.th/read/kidfluencer
– https://www.creativethailand.org/article-read?article_id=34757




