ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ศักราชใหม่ของสหรัฐอเมริกาและโลกกำลังเริ่มต้นขึ้นเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ ต่อจาก โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน หลังการลงคะแนนเสียงเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของอเมริกันชน ที่ตัดสินใจเลือกเขาให้กลับเข้าสู่อำนาจแบบ ‘แลนด์สไลด์’

แม้ตลอดการบริหารราชการแผ่นดินในยุคไบเดนไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะปัญหาปากท้องและวิกฤตในการเมืองระหว่างประเทศ ทว่าการเข้ามาของทรัมป์ก็ไม่ได้ช่วยให้ใครหลายคน (รวมถึงโลก) สบายใจขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้รู้สึกถึงเค้าลางความไม่ชอบมาพากล เพราะ ‘ความคาดเดาไม่ได้’ ของประธานาธิบดีคนใหม่ 

ครั้งหนึ่ง กรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และเจ้าของรายการ รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี เคยอธิบายกับ The Momentum ว่า ท่าทีหรือการดำเนินนโยบายของทรัมป์มีความพิเศษ ทั้งแตกต่างจากผู้นำสหรัฐฯ คนอื่น และไม่ได้อยู่ในกรอบแบบแผนหรือไร้ ‘สูตรตายตัว’ ดังที่พรรคเดโมแครต (Democratic Party) หรือพรรครีพับลิกัน (Republican Party) มักเดินดำเนินนโยบายในแบบที่เราคุ้นชิน

“เขา (ทรัมป์) มีคาแรกเตอร์ที่พิเศษ เพราะฉะนั้นนโยบายสหรัฐฯ ของทรัมป์ในสมัยที่ 2 จะนอกกรอบ (Unorthodox) และใช้วิธีการที่เราไม่เคยเห็นจัดการกับปัญหา ซึ่งยังไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะ แต่มันไม่เหมือนเวลาที่เราเห็น จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) และบารัก โอบามา (Barack Obama) ซึ่งเรารู้ว่าเขาจัดการยังไง 

“จะใช้คำว่า ทรัมป์ดำเนินนโยบาย ‘ตามใจฉัน’ ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะประธานาธิบดีมีผู้สนับสนุน มีฐานเสียง มีผลประโยชน์เยอะแยะ ดังนั้นทรัมป์ไม่ได้ตัดสินใจอะไรตามใจตนเอง แต่ดูผลประโยชน์รอบข้างทั้งหมด” กรุณาอธิบาย

ขณะที่ในแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพยายามหาคำอธิบายที่มาที่ไปพฤติกรรมของทรัมป์ภายใต้ทฤษฎี ‘คนบ้าคลั่ง’ (Madman Theory) ว่าด้วยการมีลูก ‘บ้าบิ่น’ อย่างความแปรปรวน คาดเดาไม่ได้ หรือไร้ความยับยั้งชั่งใจ เพื่อทำให้ศัตรูและมิตรเกรงกลัว เหมือนกับ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) อดีตผู้นำสหรัฐฯ คนก่อน ที่ทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่า เขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อยุติสงครามเวียดนามได้ แม้แต่การใช้ ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ก็ตาม

“ผมจะไม่ใช้กำลังปิดล้อมไต้หวัน เพราะ สี จิ้นผิง เคารพผม เขารู้ว่าผมแม่งโคตรบ้า” คือคำพูดของทรัมป์ที่บ่งบอกว่า เขารู้จักตนเองเป็นอย่างดี

เพื่อนับถอยหลังศักราชใหม่ และคาดเดาอนาคตโลกไปพร้อมกัน The Momentum ขอหยิบยก ‘ท่าทีสุดแปลกแต่ (เกิดขึ้น) จริง’ ของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ นับตั้งแต่การประกาศพร้อมขับไล่ผู้อพยพครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ พร้อมกับฮุบคลองปานามา แคนาดา และกรีนแลนด์ ต่อต้านความหลากหลายทางเพศ จนถึงเรื่องสุดน่าทึ่งอย่างการยุติความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก รวมถึงปกป้องมนุษยชาติจากสงครามโลกครั้งที่ 3 

1. กินหมาเป็นภัยคุกคามของชาติ: ประกาศ ‘เนรเทศหมู่’ ผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผู้นำสหรัฐฯ คนไหนจะกล้าประกาศตรงไปตรงมาว่า พร้อมดำเนินนโยบาย ‘เนรเทศ’ ผู้อพยพที่เข้ามาอาศัยในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ทั้งการันตีว่าจะเป็นการขับไล่ครั้งใหญ่ที่สหรัฐฯ เคยมีมา พร้อมใช้กองกำลังเข้าช่วยเหลือ หากไม่ใช่ทรัมป์ ชายผู้มีลูกเล่นบ้าบิ่น คาดเดาอะไรไม่ได้

“ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง ผมจะเริ่มนโยบายเนรเทศครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ผมจะช่วยเหลือทุกเมืองทุกย่านที่ถูกบุกรุกและเอาชนะให้ได้ ผมจะยัดไอ้พวกอาชญากรโหดเหี้ยมและกระหายเลือดเข้าคุก และเตะพวกมันออกจากประเทศให้เร็วที่สุด”

ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศในการชุมนุมที่ Madison Square Garden เมื่อปีที่ผ่านมา โดยย้ำว่า จะใช้กองกำลังป้องกันชาติ (National Guard) เข้าช่วยเหลือ ถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมอย่างมหันต์ ที่กองทัพสหรัฐฯ จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ และการกวาดล้างครั้งนี้อาจทำให้ผู้อพยพผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2022 ถึง 13-14 ล้านคน ต้องออกไปจากประเทศ

 นอกจากนโยบายอันโดดเด่นในสมัยแรกคือ การกั้นกำแพงพรมแดนเม็กซิโกจนถูกล้อเลียนว่า เป็น ‘กำแพงเมืองจีน 2.0’ ในช่วงหาเสียงครั้งล่าสุด ทรัมป์ยังออกโรงโจมตีผู้อพยพครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งย้ำว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ และทำให้ประเทศเป็น ‘รังหนู’ ผู้คนอาศัยอยู่ไม่ได้ ซ้ำร้ายในการดีเบตรอบ 2 ระหว่าง กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกัน ทรัมป์ยังเชื่อว่า ผู้อพยพชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ขโมยสัตว์เลี้ยงและกินเนื้อสุนัข ทำเอาแคนดิเดตหญิงหลุดขำกลางเวที ขณะที่สื่อตีข่าวและผู้ใช้โซเชียลฯ นำมาล้อเลียนเป็นมีมอย่างขำขัน

น่าเศร้าที่นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะปรากฏว่า ผู้นำสหรัฐฯ คัดสรรบุคลากรในคณะรัฐมนตรีสายขวาจัดที่มีทัศนคติเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น คริสติ โนเอม (Kristi Noem) ผู้ว่าการรัฐเซาท์ดาโกตา ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง หรือทอม โฮแมน (Tom Homan) อดีตรักษาการผู้อำนวยการสำนักตรวจคนเข้าเมือง ให้ดูแลกิจการคนเข้าเมือง

อย่างไรก็ตามผู้เกี่ยวข้องบางส่วนให้สัมภาษณ์กับสำนัก BBC ว่า ในทางปฏิบัตินโยบายนี้อาจเป็นไปได้ยาก เพราะมีผู้ปฏิบัติงานไม่เห็นด้วยที่จะทำตาม ยังไม่รวมแรงกดดันจากนักสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวอีกด้วย

2. ขอ​ ‘ฮุบ’ แคนาดา กรีนแลนด์ อ่าวเม็กซิโก และคลองปานามา อ้างภัยความมั่นคงของชาติ 

ต่อกันที่เรื่องสุดแปลกต้อนรับปีใหม่อย่างการที่ทรัมป์ออกมาประกาศว่า สนใจอยากได้แคนาดา เกาะกรีนแลนด์ คลองปานามา และอ่าวเม็กซิโก โดยอ้างเรื่องความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ พร้อมทั้งหยอดมุกเบาๆ ว่า อยากเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และเรียก จัสติน ทรูโด (Justin Trudean) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าผู้ว่าการรัฐ รวมถึงโพสต์รูปภาพคลองปานามาที่มีธงชาติสหรัฐฯ ขณะที่ส่ง โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Junior) ไปที่กรีนแลนด์ หลังจากเอ่ยปากว่า สหรัฐฯ จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล หากพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศ

“ถ้าคุณเอาเส้นแบ่งจอมปลอมออกไป คุณจะเห็นว่ามันเป็นอย่างไร และมันดีมากต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ” 

ทรัมป์ย้ำในช่วงต้นเดือนมกราคมว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าและต้องใช้เงินนับพันล้าน เพื่อเป็นเกราะกำบังให้กับแคนาดามาตลอด โดยวิจารณ์ถึงการนำเข้าสินค้าอย่างรถยนต์ ไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์นม พร้อมขู่ว่าจะเก็บภาษีมากขึ้น หากแคนาดาไม่ทำตามนโยบายความมั่นคงทางชายแดนร่วมกับสหรัฐฯ

ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังเปิดเผยว่า เขารู้สึกกังวลกับสถานการณ์ล่าสุดในคลองปานามา และสมบัติดังกล่าวไม่ควรตกไปอยู่ในมือของ ‘คนผิด’ ซึ่งหมายถึงประเทศจีนที่มีอิทธิพลในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมด่าทอว่า เป็นเรื่อง ‘โง่เขลา’ ที่รัฐบาลในช่วงปี 1970 ปล่อยให้คลองปานามาหลุดมือไป ทั้งที่ได้สิทธิในการสร้างคลองในปี 1903 ก็ตาม

ที่สำคัญอย่างยิ่งทรัมป์ไม่ปิดโอกาส ‘ใช้กำลังทหาร’ เข้ายึดพื้นที่ หากสหรัฐฯ จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง เว้นเสียแต่แคนาดาที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจครอบงำ โดยที่ผู้นำปานามาและกรีนแลนด์ต่างปฏิเสธเสียงแข็งว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีไว้ ‘ขาย’ 

ด้านทรูโดที่เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งผู้นำของประเทศ ออกมาโต้แย้งว่า ผู้นำสหรัฐฯ ไม่มีวันทำได้ ทว่า คลอเดีย เชนบาม ปาร์โด (Claudia Sheinbaum Pardo) ประธานาธิบดีหญิงเม็กซิโก พร้อมด้วย โจเซ อัลโฟนโซ ซัวเรซ เดล เรอัล (Jose Alfonso Suarez del Real) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมเม็กซิโก ออกมาเล่นมุกขำขันหยอกล้อเจ็บแสบเบาๆ ว่า เดี๋ยวจะเปลี่ยนชื่อทวีปอเมริกาเหนือให้กลายเป็น ‘ทวีปเม็กซิกันอเมริกา’ (Mexican America) โดยย้ำว่า ชื่อทวีปนี้ได้รับการยอมรับตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 

“จริงๆ แล้ว ชื่อทวีปเม็กซิกัน-อเมริกา คือชื่อที่เคยถูกเรียกทวีปอเมริกาเหนือในอดีต” ซัวเรซ เดล เรอัลพูด พร้อมกับชี้แผนที่โดยย้ำว่า ชื่ออ่าวเม็กซิโกก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะเส้นทางเดินเรือสำคัญ ก่อนที่ประธานาธิบดีหญิงจะตอบคำถามสยบกระแสทั้งหมดว่า เธออาจมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทรัมป์ได้

3. อเมริกามีเพียงแค่ ‘ชายจริงหญิงแท้’ พร้อมกวาดล้างทรานส์เจนเดอร์และ LGBTQIA+ 

“นโยบายของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการคือการมีแค่ 2 เพศ คือเพศชายและหญิงเท่านั้น”

คือคำประกาศอันหนักแน่นของผู้นำสหรัฐฯ ในการประชุม AmericaFest เวทีของกลุ่มฝ่ายขวาจัดในวันที่ 22 ธันวาคม 2024 ขณะที่พรรครีพับลิกันที่ครองเสียงทั้ง 2 สภา เตรียมดำเนินนโยบายต่อต้านกลุ่ม LGBTQIA+ 

ทรัมป์กล่าวบนเวทีว่า เขาจะหยุดนโยบายสุดเพี้ยนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทรานส์เจนเดอร์ (Transgender Lunacy) เช่น ยุตินโยบายขริบอวัยวะเพศ ไล่กลุ่มทรานส์เจนเดอร์ออกจากกองทัพ โรงเรียนทั้งระดับมัธยมต้นและปลาย รวมถึงไม่ให้ ‘ผู้ชาย’ ลงแข่งขันในกีฬาของผู้หญิง

อันที่จริงหากย้อนกลับไปในช่วงรัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 1 เคยมีการเสนอกฎหมายที่จำกัดสิทธิของ LGBTQIA+ และทรานส์เจนเดอร์โดยตรง เช่น ยุติสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ หรือใช้ห้องน้ำสาธารณะตาม ‘อัตลักษณ์ทางเพศ’ แต่ให้อิงกับเพศกำเนิดแทน รวมถึงการต้องเปิดเผย ‘ตัวตน’ กับทางบ้านว่ามีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใด แม้บางส่วนจะถูกทำร้ายร่างกาย หรือกลั่นแกล้งจากเพื่อนในชั้นเรียนก็ตาม

นอกจากนี้บุคลากรหลายคนในคณะรัฐมนตรีทรัมป์สมัยที่ 2 ยังแสดงท่าทีไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ พีต เฮกเซท (Pete Hegseth) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา อดีตพิธีกร FOX News ครั้งหนึ่ง เขาเคยโต้แย้งในหนังสือว่า ผู้หญิงไม่เหมาะกับการทำงานในกองทัพ เพราะทำให้ทุกอย่าง ‘ซับซ้อน’ กว่าเดิม อีกทั้งเขายังเผชิญข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศในปี 2017 รวมถึงมูลข่าวการนอกใจภรรยาอีกด้วย

ทว่าก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนที่ทรัมป์จะก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เขาเคยแสดงออกว่า สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งเห็นด้วยกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม และออกปากเองว่า เป็นกลุ่ม ‘Pro-Choice’ หรือผู้สนับสนุนการทำแท้ง อีกทั้งย้ำว่า เขาไม่ติดขัดอะไร หากเกย์จะเข้ารับใช้ชาติในกองทัพ ก่อนจะแสดงทัศนคติตรงกันข้ามในปี 2011 เป็นต้นมา ด้วยการประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของคู่เกย์ และสนับสนุนการแต่งงานของชาย-หญิงเท่านั้น

4. การันตียุติสงครามยูเครน ยุติความยุ่งเหยิงในตะวันออกกลาง และป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3

ยุติสงครามยูเครน หยุดความยุ่งเหยิงในตะวันออกกลาง และป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3

แม้อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่เหล่านี้คือสัญญาจากทรัมป์ในการประชุม AmericaFest ที่ยืนยันว่า เขาพร้อมบรรลุเป้าหมายทั้งหมดภายในระยะเวลา 4 ปีของการเป็นผู้นำ โดยย้ำว่า ยุคทองของอเมริกากำลังมาถึงในอีกไม่ช้า

แม้ประธานาธิบดีไม่ได้ลงรายละเอียดว่าทำอย่างไร แต่หากดูสถานการณ์ตามหน้าสื่อ สงครามอิสราเอล-กาซากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังรัฐบาลอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส กำลังหารือข้อตกลงหยุดยิงข้อสุดท้าย โดยมีสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในตัวกลางเจรจา 

ความน่าสนใจของเหตุการณ์นี้คือ ทั้งทรัมป์และไบเดนต่างออกตัวเคลมว่า นี่คือผลงานชิ้นโบแดงในรัฐบาลของตนเอง โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทรัมป์ได้ส่ง สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) นักธุรกิจชื่อดัง ไปร่วมโต๊ะเจรจาที่กาตาร์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทางการทูตของไบเดน ซึ่งบทบาทของวิตคอฟฟ์ช่วยให้การเจรจาบรรลุอย่างราบรื่นในหลายวันที่ผ่านมา 

ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในยูเครน แม้ทรัมป์เคยยืนยันว่า เขาจะยุติสงครามภายใน 24 ชั่วโมง แต่ล่าสุดที่ปรึกษาส่วนตัวของทรัมป์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่า การบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น และคำพูดของทรัมป์ในระหว่างการหาเสียงเป็นเพียงการ ‘โอ้อวด’ และ ‘ขาดความเข้าใจ’ อย่างมาก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยากเย็นกว่าการจัดการสถานการณ์ในกาซาหลายเท่า

“ถ้าจะได้ผลจริงๆ ทรัมป์ต้องโน้มน้าวปูตินให้ได้ก่อนว่า การเป็นคนดื้อด้านก็มีข้อเสียเหมือนกัน” จอห์น เฮิร์บส์ (John Herbst) Think Tank ประจำสภาแอตแลนติก (Atlantic Council) และอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครน แสดงความคิดเห็น พร้อมกับย้ำว่า เขาได้เห็นแผนสันติภาพของที่ปรึกษาทรัมป์ แต่ ‘ไร้ความน่าสนใจ’ 

สำหรับประเด็นสงครามโลกครั้งที่ 3 แม้จะดูไกลตัวจนหลายคนเชื่อว่า อาจไม่เกิดขึ้นภายในอายุขัยของตนเอง แต่จริงๆ แล้ว ผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างลงความเห็นว่า นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ (นี่แหละ) จะทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ 

ทั้งการเปิดหน้าวางมวยกับจีน ตัดขาดจากพันธมิตรสำคัญอย่างแคนาดาและยุโรป รวมถึงเอาใจจอมเผด็จการอย่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย เหล่านี้คือ ‘ลูกบ้า’ ของเขาที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยน ‘เกมการเมือง’ จากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ความคาดเดาไม่ได้อาจจะกลายเป็น ‘ระเบิดครั้งใหญ่’ ที่เผาผลาญโลกทั้งใบได้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนเวลามากำกับ

เพราะบางครั้งความ ‘มหัศจรรย์’ กับ ‘เพี้ยน’ มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ขึ้นกับคุณแล้วว่า จะเลือกนิยามมันว่าอะไร

อ้างอิง

https://abcnews.go.com/Politics/trump-confirms-plan-declare-national-emergency-military-mass/story?id=115963448

https://www.reuters.com/data/who-are-immigrants-who-could-be-targeted-trumps-mass-deportation-plans-2024-12-18/

https://www.nytimes.com/2025/01/13/world/europe/greenland-trump-business.html

https://www.reuters.com/world/americas/gulf-mexico-name-internationally-recognized-mexico-president-says-2025-01-08/

https://www.hrw.org/news/2024/11/19/interview-trump-poses-more-threats-rights-lgbt-people

https://progressive.org/op-eds/schools-should-protect-trans-youth-not-out-them-smallens-240510/

https://www.lemonde.fr/en/international/article/2024/12/22/united-states-trump-vows-to-stop-transgender-lunacy_6736372_4.html

https://www.cbsnews.com/news/trump-harris-lgbtq-rights-2024/

https://www.theguardian.com/commentisfree/2024/oct/23/trump-mass-deportation-immigrants-proposal

https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2024-12-17/trump-plays-chicken-with-the-madman-theory

https://www.inquirer.com/opinion/trump-world-war-3-foreign-policy-putin-xi-china-russia-north-korea-20241027.html

Tags: , , , , , , , , , , , ,