ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่าฝุ่น PM2.5 ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยพุ่งสูงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน จนคล้ายกับเป็นวงเวียนชีวิตที่เมื่อถึงฤดู ‘ฝุ่น’ มาถึงเมื่อไหร่ก็ต้องหยิบหน้ากากอนามัยกลับมาใส่ทุกครั้ง
แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) จะผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่มีเสียงคัดค้านในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
แต่ทำไมเวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว กฎหมายนี้ยังไม่เกิดขึ้นสักที
ติดขัดอยู่ตรงไหน
หรือมีคนที่ไม่อยากให้กฎหมายนี้เดินหน้า
The Momentum ชวนสำรวจเส้นทาง ‘สะดุด’ ของการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ฉบับนี้ ที่หาก ‘สว.’ ยังคงยืดเวลาต่อไป กฎหมายอากาศสะอาดฉบับแรกของไทย อาจคงต้องรอไปอีกหลายปี
พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กฎหมายเพื่อสิทธิพื้นฐานการหายใจที่ปลอดภัยของประชาชน
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ถูกเสนอขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์มลพิษทางอากาศที่ร้ายแรงในทุกๆ ปี โดยตั้งใจจะสร้างระบบจัดการคุณภาพอากาศที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น มาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะนำมาแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 และมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้เพื่อช่วยปรับปรุงสุขภาพของประชาชนไทย พร้อมสร้างรายได้ให้กับประเทศจากธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจเชิงสุขภาพ อาหาร และโรงแรม
กฎหมายฉบับนี้มีประเด็นสำคัญคือ การกำหนดสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชน ควบคู่กับมิติสุขภาพ โดยจะยึดหลัก ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)’ พร้อมมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ ตามหลักการ Carrot and Stick และต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน สำหรับผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ พร้อมกับมีการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน
โดยหลังจากการผลักดันเรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ทั้งจากภาคประชาชน นักการเมือง และนักวิชาการ ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในวาระที่ 3 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการร่างกฎหมายด้านอากาศสะอาดผ่านสภาล่างเป็นครั้งแรก
เส้นทางร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านสภาล่าง แต่ไปติดที่ ‘วุฒิสภา’
เมื่อการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ได้มีการส่งต่อไปยังวุฒิสภา เพื่อพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการวุฒิสภาต่อไป โดยมีกรอบเวลาการพิจารณา 30 วัน และสามารถขยายได้อีก 30 วัน (รวมไม่เกิน 60 วัน)
– วันที่ 21 ตุลาคม 2568 ทางสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบ ‘ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’ ในวาระที่ 3 โดยไร้เสียงคัดค้าน
– วันที่ 27 ตุลาคม 2568 วุฒิสภารับหลักการร่าง พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป
– วันที่ 30 ตุลาคม 2568 คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบในการเสนอให้ ‘ขยายเวลา’ การพิจารณาไปอีก 30 วัน จนถึง 2 กุมภาพันธ์ 2568
– สถานะปัจจุบัน ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจาก สว. แม้ว่าจะเป็นวาระเร่งด่วน แต่ทางวุฒิสภายังคงขอเวลาเพิ่ม จนหลายคนมองว่า คือการ ‘เตะถ่วง’ ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ
นอกจากการขอขยายเวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะเกิดความล่าช้าแล้ว ทางคณะกรรมาธิการสามัญวุฒิสภา (กมธ.สว.) ยังได้มีการนัดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งทิ้งระยะจากการประชุมนัดแรกเกือบ 2 สัปดาห์ ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้สมาชิกกรรมาธิการได้กลับไปศึกษาอย่างละเอียดก่อน พร้อมกำหนดรูปแบบการประชุมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ในช่วงเวลา 2 เดือนที่ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ อยู่ในมือของ สว. ถือว่าเป็นระยะเวลาที่มากพอ หากมีการดำเนินการจัดการอย่างเร่งรัด อีกทั้งหากมีการเพิ่มการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โอกาสในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ อาจเสร็จทัน เพื่อส่งกลับมาให้ สส. ภายในเดือนธันวาคมนี้
อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการพิจารณานี้ยังคงล่าช้าต่อไป และยังติดอยู่ในขั้นวุฒิสภา ก็มีความ ‘เสี่ยง’ ที่ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะไม่ทันเส้นตายก่อนการยุบสภาฯ ที่ประกาศไว้ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2569 และต้องตกไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 147 โดยกระบวนการทั้งหมดจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาอีก 1-2 ปี เพื่อยื่นร่างกฎหมายฉบับใหม่ และส่งผลให้ประชาชนในประเทศจะยังคงไม่มีกฎหมายที่เป็นรูปธรรม สำหรับใช้ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5
หรือผู้ก่อมลพิษ ไม่อยากเป็นผู้จ่าย?
กลุ่มคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้มีการแถลงถึงจุดยืนต่อการร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับว่า ‘เห็นด้วยในหลักการสิ่งแวดล้อม’ แต่แสดงความกังวลถึงการซ้ำซ้อนของกฎหมายเดิมและภาระต้นทุนของภาคธุรกิจ พร้อมขอเวลาปรับตัว โดยเสนอให้มีการปรับข้อกฎหมายให้ชัดเจนและสอดคล้องกับปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ และต้องการให้มีการทบทวนโครงสร้าง ‘กองทุนอากาศสะอาด’ เพิ่มเติม
ทางด้านของ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ และอาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ว่า หากต้องมีการทบทวนโครงสร้างของกองทุนอากาศสะอาดหรือตัดส่วนนี้ทิ้งไป กฎหมายนี้จะไม่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาได้จริง เพราะจะขัดต่อหลัก ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)’ ที่ช่วยลดมลพิษและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
ตามหลักการ ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)’ สิ่งนี้เป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศใช้กันมานาน แต่ในบริบทของประเทศไทยเองยังไม่สามารถทำได้ ทำให้กฎหมายนี้ยังย่ำอยู่กับที่ อาจมาจากสาเหตุที่ว่า ผู้ที่ต้องจ่ายจริงคือ ‘กลุ่มทุนรายใหญ่’ ที่เป็นผู้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้คน
หากกฎหมายนี้ผ่าน กลุ่มนายทุนไม่ว่าจะเป็น โรงงานขนาดใหญ่ ภาคการขนส่ง อุตสาหกรรมการเกษตร และทุกภาคส่วนจะต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยอาจไปกระทบต่อค่าใช้จ่ายและความโปร่งใสของธุรกิจ ซึ่งที่เป็นสิ่งที่กลุ่มนายทุนต่างหลีกเลี่ยงมานาน
กลุ่มทุนรายใหญ่กลายเป็นแรงกดดันไปสู่ สว. จนทำให้กระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ล่าช้าในที่สุด สิ่งนี้ทำให้ประชาชนเกิดความเคลือบแคลงใจต่อการทำงานของ สว. และหากกฎหมายนี้ยังไม่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยังคงถูกผลักภาระไปให้ประชาชนจ่ายเองต่อไป
ทำไมต้องมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ
ปัญหาฝุ่น PM2.5 นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เพียงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ แต่ยังกระทบยาวไปถึงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และต้นทุนสาธารณสุขที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าทางหน่วยงานรัฐจะเข้ามาแก้ไขปัญหามลพิษอยู่บ้าง แต่ยังคงขาดเครื่องมือที่ยังมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นการแก้ไขปัญหาที่วนอยู่ลูปเดิม
กฎหมายอากาศสะอาดหรือ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ มีแก่นหลักที่ต้องให้ความสำคัญคือ การทำให้อากาศสะอาดเป็นสิทธิที่ประชาชนเข้าถึงได้จริง ประเทศไทยจึงต้องมี ‘โครงสร้างบริหารจัดการคุณภาพอากาศ’ ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมาย และกลไกที่ทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง ไม่ใช่การปล่อยปัญหาให้ประชาชนต้องทนรับผลกระทบกันเอง โดย พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ฉบับนี้จะมาช่วยแก้ปัญหามลพิษทางอากาศแบบทั้งระบบ ดังนี้
– ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเข้มแข็งขึ้น โดยการมุ่งสร้าง ‘หน่วยงานกำกับดูแล’ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐโดยตรง เพื่อให้เกิดการควบคุมมลพิษอย่างจริงจัง
– การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและประชาชนมีส่วนร่วม เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับประชาชนสามารถมีบทบาทในการดูแลคุณภาพอากาศ สามารถจัดการปัญหาฝุ่นในแต่ละพื้นที่ให้มีความเหมาะสม
– เข้าถึงข้อมูลอากาศได้ง่ายและโปร่งใส มีช่องทางให้ประชาชนได้เข้าไปดูข้อมูลคุณภาพอากาศ ร้องเรียน และตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
– อากาศสะอาดถูกรับรองเป็นสิทธิที่เราต้องได้รับ ความสะอาดของอากาศจะถูกยกระดับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องคุ้มครองอย่างไม่สามารถละเลยได้
– มุ่งสร้างสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมที่ดี 
ความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น ‘หาก’ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ‘ผ่าน’
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ได้กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เปรียบได้กับ ‘หัวไหล่ถึงข้อศอก’ เป็นโครงสร้างหลักที่สำคัญและจำเป็น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะหยิบจับหรือจัดการกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้จริง จึงต้องมีอนุบัญญัติซึ่งเปรียบเสมือนข้อมือและนิ้วมือมากพอ เพื่อที่จะทำให้แขนนี้สามารถใช้งานได้ แต่อาจยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
ดังนั้นเมื่อมีเครื่องมือที่จะนำมาจัดการกับปัญหาฝุ่นได้แล้ว จำเป็นต้องมีวัฒนธรรมการใช้กฎหมายร่วมด้วย เพื่อให้สามารถนำเครื่องมือเหล่านี้ นำมาแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ต้องทำให้มีวัฒนธรรมการใช้กฎหมายอากาศสะอาดฯ ไปอีกพักหนึ่ง กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ทำงานเข้ากันได้ จึงจะเห็นการหยิบจับที่มั่นคง ดังนั้นต่อให้มีแขนงอกจากบ่าจนมีนิ้วครบ ก็ต้องมาจบงานด้วยการมีวัฒนธรรมการจัดการ การส่งเสียงสื่อสาร การมีคดีตัวอย่าง แล้วสังคมจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ชัดๆ”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ฝุ่นที่ร้ายแรงในประเทศไทยไปจนถึงเส้นทางของการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความล่าช้าและมลพิษทางอากาศ
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดระบบจัดการมลพิษที่แข็งแรง ซึ่งมลพิษทางอากาศอาจป้องกันและลดความรุนแรงลงได้ หาก พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านพิจารณาจาก สว.
นับเป็นกฎหมายการจัดการคุณภาพอากาศฉบับแรกของไทย ซึ่งสามารถนำมาใช้คุ้มครองสิทธิ ให้ประชาชนสามารถหายใจภายใต้อากาศประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยในรอบหลายปี โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระบวนการพิจารณานี้จะไม่ล่าช้าเกินกำหนด เพียงเพราะรอการปรับตัวของภาคเอกชนและกลุ่มทุนรายใหญ่จนถึงเส้นตายยุบสภา และหากสิ่งนี้เกิดขึ้นคนไทยคงต้องรอกฎหมายอากาศสะอาดไปอีกหลายปี
Tags: ฝุ่น, ฝุ่นพิษ, อากาศ, ฝุ่น PM2.5, อากาศสะอาด, ยุบสภา, Feature, พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ, เมือง, มลพิษ, กฎหมาย




