ละครตลกที่ไม่เคยมีตอนจบ, บทพูดที่คล้ายจะไม่มีสคริปต์, มุขตลกที่ดูเหมือนจะเอาไว้อำเล่นกันเองมากกว่า
เหล่านี้คือสีสันของ ‘บริษัทฮาไม่จำกัด (มหาชน)’ รายการตลกที่นำเสนอความบันเทิงให้กับประชาชนมาตั้งแต่ปี 2558 จนสามารถสร้างทั้งรายได้ให้กับรายการ สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม สร้างชีวิตให้กับเหล่านักแสดง เหนืออื่นใดมันได้สร้างมาตรฐานของวงการตลกไทยยุคใหม่ ให้กลายเป็นแม่แบบของการทำรายการตลกในปัจจุบัน
แต่เรื่องราวก็พลิกผัน หลังมีข่าวการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จนนำไปสู่การเปลี่ยนทีมนักแสดง วิธีวางกลยุทธ์รายการ จนถึงเปลี่ยนชื่อใหม่ล่าสุดเป็น ‘ฮาไม่จำกัดทั่วไทย’ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ ‘คอตลก’ ทั่วฟ้าเมืองไทยต่างจับตามองว่าความบันเทิงที่พวกเขาเคยได้รับนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่
การมาของนักแสดงรุ่นเก๋าตั้งแต่ยุคตลกคาเฟ่อย่าง ชูษี เชิญยิ้ม (ชิติสรรค์ ไชยเสนา), จาตุรงค์ ม๊กจ๊ก (จตุรงค์ พลบูรณ์), นุ้ย เชิญยิ้ม (ชูเกียรติ เอี่ยมสุข), โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม (พงษ์ศักดิ์ โสภักดี) ที่ถูกจับมาผสมผสานเข้ากับนักแสดงตลกรุ่นใหม่น่าจับตามองทั้ง เจี๊ยบ เชิญยิ้ม (เฉลิม ปานเกิด), อาไท (สุภทัต โอภาส), แจ็ค แฟนฉัน (เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์), ตาต้า ไทบ้าน (ชาติชาย ชินศรี) รวมถึงตัวละครลับอย่าง อ๊อด ปากดี ที่ชวนหวนให้นึกถึงดาราตลกผู้ล่วงลับอย่าง สายัณห์ ดอกสะเดา ภายใต้การสร้างสรรค์ของ ‘เป๋า’ – อิทธิพล อำพา โปรดิวเซอร์หลักประจำรายการ ที่เป็นผู้สรรค์สร้างคาแรกเตอร์ของรายการจนกลายเป็น ‘ความตลกแบบฮาไม่จำกัด’ อย่างลงตัวของตลกทั้ง 2 ยุคด้วยเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปี
ในวันที่มีอัดเทปรายการฮาไม่จำกัดทั่วไทย The Momentum ได้รับการเชิญชวนแบบเอ็กซ์คลูซีฟจาก ‘เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์’ ให้เข้าไปเยี่ยมเยียนหลังบ้าน เพื่อพูดคุยกับนักแสดงและทีมงานทุกคน ถึงเบื้องหลังเคล็ดลับความฮาที่สร้างเสียงหัวเราะให้คนดูติดอกติดใจมาจนถึงทุกวันนี้
‘Ha Studio’ ที่นี่มีแต่ความบันเทิง
ยามบ่ายแก่ๆ วันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนของเดือนมีนาคม ทีมงาน The Momentum เดินทางมาถึงหน้าสตูดิโอ ‘ไม้ยืนต้น’ ย่านถนนกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นสถานที่อัดเทปรายการ ‘ฮาไม่จำกัดทั่วไทย’ ก่อนที่เราจะตบเท้าเข้าไปพบกับทีมงานกองถ่ายซึ่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าสดใสฉาบด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อกวาดสายตาเข้าไปดูยังจุดที่แสงไฟสปอตไลต์ส่องสว่างอยู่ ก็พบบรรดานักแสดงตลกชื่อดังที่เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กอย่าง ชูษี เชิญยิ้ม, นุ้ย เชิญยิ้ม, จาตุรงค์ ม๊กจ๊ก กำลังเล่นมุขตลกรับส่งกันไปมาอย่างไหลลื่นเป็นธรรมชาติ
เสียงผู้กำกับสั่งคัต พร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราวที่ดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการอัดเทปในตอนนี้เสร็จเป็นที่เรียบร้อย หนึ่งในทีมงานอธิบายให้ฟังว่านี่เป็นการอัดเทปที่จะปล่อยให้ได้ชมกันในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการอัดไปเป็นเทปที่ 2 แล้วในวันนี้ อย่างไรก็ตาม เราแทบไม่เห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนจากทั้งทีมงานและนักแสดงเลยแม้แต่น้อย
‘เป๋า’ – อิทธิพล อำภา กุนซือผู้ควบคุมความตลก
หลังเสร็จสิ้นภารกิจถ่ายทำเทปที่ 2 จบ เราอาศัยจังหวะที่ทีมงานกำลังเปลี่ยนฉาก นักแสดงกำลังประชุมมุขตอนต่อไป เพื่อพูดคุยกับ ‘เป๋า’ – อิทธิพล นำภา โปรดิวเซอร์ประจำรายการว่าด้วยประเด็นที่หลายคนอยากรู้จากปากเขา เกี่ยวกับรายการตลกซิตคอมที่ครองใจคนดูทั่วประเทศ ว่าทิศทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“เราก็ยังคงแนวทางเดิมๆ ไว้อยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้เรามีวัตถุดิบปรุงแต่งมานำเสนอมากยิ่งขึ้น”
อิทธิพลวางหูฟังลงบนหน้าจอมอนิเตอร์ พลางหันมาพูดด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ถ้าถามว่าแนวทางหลักของเราตอนนี้คืออะไร ก็ยังคงเป็นเรื่องของการอัพเดตคอนเทนต์ คอยติดตามว่ากลุ่มคนดูของเราตอนนี้เขากำลังสนใจประเด็นอะไรอยู่ บนโลกโซเชียลฯ มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง ก่อนเอาประเด็นเหล่านั้นมาปรับปรุงพลิกแพลงมุขให้เข้าถึงคนดู และทันต่อสถานการณ์มากที่สุด อย่างพวกมุขภาษาท้องถิ่นเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกใหม่ที่เรานำมาใช้เสนอคนดู ซึ่งเราก็ได้ตาต้า ไทบ้าน มาเล่นมุขพวกนี้”
ส่วนเรื่องของวิธีปรับจูนทีมนักแสดงทั้ง 2 รุ่น ที่อายุต่างกันสามารถเล่นเข้าขากันได้ภายในระยะเวลาอันสั้น อิทธิพลให้คำตอบกับเราว่า
“วันแรกที่ทุกคนถามผมว่าพวกเราจะเล่นยังไงกันดี ผมตอบไปสั้นๆ ว่า วันนี้ที่ทุกคนเจอกันครั้งแรก คุยกัน ซ้อมมุขกัน สนุกไหม ถ้าทุกคนไม่เกร็งไม่เครียด ความไหลลื่นและความฮามันก็จะตามมาเอง เพราะผมเชื่อทุกคนมีพื้นฐานการแสดงที่ดีอยู่แล้ว
“เรื่องของอายุที่ห่างกันตอนแรกก็กังวล เพราะอย่างพี่ชูษี พี่นุ้ย พี่จาตุรงค์ ต่างก็เป็นตลกรุ่นใหญ่เบอร์ต้นๆ แต่พอเรามีอาไทที่เข้าใจมุขตลกรุ่นเก่า มีพี่นุ้ยที่เข้าใจมุขตลกแบบคนรุ่นใหม่ พอมีคนคอยเชื่อมคนทั้งสองวัยทุกอย่างก็ออกมาไหลลื่น เล่นกันเป็นทีมมากขึ้น
“อีกอย่างคือเราพยายามใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด กินข้าวโต๊ะเดียวกัน คุยเล่น อำเล่นกันบ้าง ตลกรุ่นใหญ่เองก็คอยสอนมุขให้กับน้องๆ พอเจอหน้ากันบ่อยเข้าก็เกิดเป็นความสนิทสนม เวลาเข้าฉากทุกคนก็กล้าเล่นมากยิ่งขึ้น”
ตลกแบบ ฮาไม่จำกัด ต้องเป็นแบบไหน
นั่งพูดคุยกันไปได้สักพัก อิทธิพลเสนอตัวพาเราเดินดูรอบสตูดิโอ พร้อมทบทวนบทให้กับทีมนักแสดงไปด้วยอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เราจะยิงคำถามว่ามีเกณฑ์การคัดเลือกนักแสดงแต่ละคนเข้ามาในทีมอย่างไรบ้าง
“โจทย์แรกคือ เมื่อคนดูเขาอยากดูตลกยุคใหม่ที่มีความทันสมัยและมีเคมีไปในทิศทางเดียวกัน เราก็เลยมานั่งนึกดูว่า ‘คาแรกเตอร์’ ที่วางไว้แต่ละบทบาทจะเป็นใครได้บ้าง อย่างอาไท พี่เอ (วราวุธ เจนธนากุล) โทรมาแนะนำว่าเขาเป็นตลกรุ่นใหม่ที่น่าสนใจนะ เราก็เลยมานั่งดูเขาในรายการ Guess My Age ก็เห็นว่าเด็กคนนี้มีแววน่าสนใจ เพียงแต่เขายังไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก
“นอกจากนี้ เราก็ยังต้องการตลกที่มีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งคนแรกที่เรานึกถึงเลยคือ แจ็ค แฟนฉัน เด็กคนนี้ตอบโจทย์ที่สุด อีกคนคือ ตาต้า ไทบ้าน ถามว่าทำไมเราถึงเลือกคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานการเล่นตลกมาเป็นนักแสดงในทีม เราก็อยากให้คุณไปดูการแสดงของเขาในภาพยนตร์จักรวาลไทบ้านเรื่องต่างๆ คุณจะเห็นว่าเขามีคาแรกเตอร์ มีภาษาพูดที่น่าสนใจ ซึ่งเราก็ให้เขามาทดลองเล่นในเทปแรกดู เขาก็แสดงออกให้เห็นทันทีเลยว่าตัวเองมีของ เราจึงตัดสินใจปั้นเขาต่อ
“พี่เจี๊ยบ เชิญยิ้มก็เป็นอีกคนที่เรามั่นใจว่ากลุ่มคนดูวัยรุ่นชอบแน่นอน เขามีอะไรที่ซ่อนไว้เยอะ เพียงแต่ว่าเราชอบจำเขาในภาพศักรินทร์ ดาวร้าย (จากรายการซิตคอม เป็นต่อ) ส่วนพี่จาตุรงค์ เราเคยเจอเขามาบ่อยจนรู้จักกันดี แกมีลูกยียวน มีความเด็ดขาด เราเลยตัดสินใจเลือกแก และสุดท้ายก็ได้พี่ชูษี เชิญยิ้มมาตอนท้าย จากคำแนะนำของพี่นุ้ย เชิญยิ้ม”
ส่วนการมาของ ‘อ๊อด ปากดี’ นักแสดงเด็กพิเศษ ที่ชวนให้นึกถึงสายัณห์ ดอกสะเดา อิทธิพลให้คำตอบถึงเด็กคนนี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“ต้องเท้าความก่อนว่าเราเคยเชิญเขามาออกรายการเมื่อประมาน 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเขายังพูดคุยกับผู้คน ยังอยู่หน้ากล้องไม่เป็น แต่เราเห็นนะว่าเขามีอะไรพิเศษบางอย่างในตัว จนวันหนึ่งเราถึงรู้ว่าพี่ชูษี เชิญยิ้มเป็นคนรับเลี้ยงอุปการะอ๊อด แล้วทางพี่ชูษีเองก็อยากฝากอ๊อดให้มาร่วมแสดงตรงนี้ด้วย ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดอะไรเพราะเราชอบ และเคยพาน้องมาร่วมงานด้วยกันแล้ว
“ด้วยความเป็นเด็กพิเศษอ๊อดก็จะมีวันที่อารมณ์เหวี่ยงไปมา เราก็คอยปรับคอยแก้จนเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ จากที่จำบท พูดบทได้สั้น ก็เริ่มมีบทบาทเป็นของตัวเองมากขึ้น
“ส่วนถ้าถามว่าอยากวางอ๊อดไว้เล่นตำแหน่งไหน ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่อ๊อด (หัวเราะ) เราไม่อยากนิยามจำกัดตัวตน แต่อยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองมากกว่า อย่างในบทเราจะใส่ไว้บนหัวข้อเลยว่า ‘แล้วแต่อ๊อด’ ซึ่งต้องบอกว่าความโดดเด่น น่ารักสดใสของเขา ส่วนหนึ่งก็มาจากทีมงาน ทีมนักแสดงที่เอ็นดู คอยพลักดันส่งเสริมให้เขามาถึงจุดนี้ได้”
การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยของ ‘ตลกรุ่นเก๋า’
แน่นอนว่าหากมาถึงรายการ ‘ฮาไม่จำกัด’ ถ้าไม่ได้พูดคุยกับทีมนักแสดงคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก ซึ่งเราได้หาโอกาสเข้าไปพูดคุยกับนักแสดงครบทั้งทีม แต่ละคนต่างเป็นนักแสดงตลกที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยพวกเขาจะมาให้คำตอบว่าทุกวันนี้อาชีพนักแสดงต้องปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
“เราไม่ใช่รายการซิตคอมที่บทจะเป๊ะทุกอย่าง บางทีซ้อมไว้แบบหนึ่งแต่พอเล่นจริงฉีกเป็นอีกแบบเลยก็มี” เสียงของนุ้ย เชิญยิ้ม ตลกรุ่นใหญ่ บุคคลที่เปรียบเสมือนภาพจำของรายการนี้เป็นคนเริ่มเริ่มบทสนทนากับเรา
จาตุรงค์ ม๊กจ๊กกล่าวเสริมว่า “โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว วงการตลกเองก็เหมือนกัน มุขล็อกแบบที่เราเคยเล่นในคาเฟ่สมัยก่อนมันจะมาใช้กับตอนนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้เล่นให้ผิดตับตลกกว่าเล่นให้ถูกตับอีกนะ หากเป็นสมัยก่อนลองเล่นผิดโดนหัวหน้าคณะด่ายับแน่นอน แต่ตอนนี้เราต้องปรับตัวใหม่ ถ้าเราเล่นผิดแล้วคนดูขำนั่นแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะคนดูต้องการความเป็นธรรมชาติ”
“ความไวของการรับ-ส่งมุข ยังไงรุ่นเราก็สู้ไม่ได้อยู่แล้วแหละ เดี๋ยวนี้มุขล็อกเก่าๆ ใครก็เข้าไปหาตามอินเทอร์เน็ตได้ อะไรที่มันเคยฮาตอนสมัยคาเฟ่ พอมาตอนนี้มันก็ไม่ฮาแล้ว อีกอย่างคือตอนนี้เรามีเบื้องหลังที่ดีคอยช่วยเหลือ ถ้าเล่นพลาด ทุกอย่างมันก็ง่ายมากยิ่งขึ้น” ชูษี เชิญยิ้ม อธิบายถึงความรู้สึกของนักแสดงตลกรุ่นเก่าที่ผ่านประสบการณ์ในสมัยที่ตลกคาเฟ่ในเมืองไทยรุ่งเรือง โดยผ่านชั่วโมงฝึกซ้อมมุขตลกมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ความท้าทายในการพิสูจน์ตัวตนกับผู้ชมของ ‘ตลกรุ่นใหม่’
หลังจากพูดคุยกับนักแสดงรุ่นใหญ่ไปแล้ว ตัวแทนตลกรุ่นใหม่อย่างอาไท ก็เล่ามุมมองในฝั่งของตัวเองที่ผ่านช่วงยุครอยต่อระหว่างตลกคาเฟ่ และตลกสมัยนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ตัวผมเองก็ไม่ได้กดดันเท่าไหร่นะ กับการทำงานที่ ฮาไม่จำกัดทั่วไทย ด้วยความเป็นเด็ก เราก็เล่นในสิ่งที่เราอยากเล่น สุดท้ายผู้ใหญ่เขาก็จะมาตบท้ายให้เข้าที่ ถ้าเราพลาดเขาก็จะมาสอนให้ทีหลัง แต่ถ้าถามว่าเป็นตลกแล้วได้อะไรก็ต้องบอกว่าได้ทั้งแดนเซอร์ บางทีก็ได้นักร้อง (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ ความจริงคือเราได้ประสบการณ์แสดง ได้วิชาตลกมาจากนักแสดงยุคเก่านี่แหละ”
เจี๊ยบ เชิญยิ้มเสริมต่อว่า “อย่างผมเองก็ไม่กดดันเพราะเราโตมาจากครอบครัวตลกอยู่แล้ว ความจริงพวกมุขที่เราเห็นในปัจจุบันมันก็ต่อยอดมาจากพวกมุขตลกคาเฟ่ทั้งนั้น”
ท่ามกลางนักแสดงรุ่นใหม่ที่ต่างเคยผ่านการคลุกคลีกับวงการตลกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นักแสดงหน้าใหม่ที่โด่งดังมาจากหนังนอกกระแสอย่างตาต้า ไทบ้าน ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาร่วมเฉิดฉายกับตลกที่มีประสบการณ์คนอื่นๆ เราจึงอยากฟังความเห็นจากปากของเขาว่ารู้สึกอย่างไรบ้างและมีความกดดันมากน้อยขนาดไหนกว่าจะมาถึงตรงนี้
“ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ทั้งหมดเลยที่เจอ ผมเลยต้องทำงานอย่างหนักกว่าเดิม ต้องไปไล่หาวิดีโอการแสดงตลกคาเฟ่เก่าๆ แล้วยิ่งมาทางมุขภาษาอีสาน เราก็ต้องหาคนที่สไตล์คล้ายเรามาเป็นตัวอย่าง เลยไปนั่งดูวิธีการแสดงของคณะร็อคข้าวปุ้น พอเรานั่งดูก็บอกกับตัวเองเลยว่าศาสตร์การเป็นตลกมันยากจริงๆ ตัวเราเองยังต้องฝึกอีกเยอะเลยกว่าจะไปถึงระดับนั้นได้
“ถ้านับจากเทปแรกที่ได้มาเล่น ผมว่าตัวเองก็พัฒนาไปถึงประมาน 50 เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ ซึ่งถามว่าจุดเด่นตอนนี้ของผมอยู่ตรงไหน ก็ต้องเป็นมุขภาษาอีสานนี่แหละที่ทำได้ดี” ตาต้า ไทบ้านทิ้งท้าย ก่อนที่นักแสดงทั้งหมดจะลุกไปเตรียมตัวรอถ่ายทำเทปที่ 3 ของวัน หลังถึงเวลาตามกำหนดการ
ดนตรีตบมุข เสียงที่ช่วยเพิ่มระดับความตลกขึ้นไปอีกเท่าตัว
หลังพูดคุยกับโปรดิวเซอร์และทีมนักแสดงซึ่งเป็นหัวใจหลักของรายการไปแล้ว ทีมงานกองถ่ายผู้ทำหน้าที่เป็นมดงาน คอยช่วยให้โชว์ออกมาราบรื่นที่สุด ก็เป็นอีกส่วนที่ต้องให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าทางฝั่งนักแสดง
ลองจินตนาการภาพตามว่า หากนักแสดงยืนเล่นกันสดๆ โดยไม่มีเสียงดนตรี เสียงกลองสแนร์ ‘ตึ่งโป๊ะ’ หรือเสียงเมโลดี้จากมือคีย์บอร์ด พวกเขาคงจะเหี่ยวแห้ง ไม่รับรู้ถึงจังหวะรับส่งมุขเป็นแน่ หน้าที่เล็กน้อยที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนส่วนสำคัญเหมือนกระดูกสันหลังให้รายการ และอีกนัยหนึ่งเปรียบเสมือนมรดกจากตลกคาเฟ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในยุคนี้ ที่กาลเวลาแทบจะพัดวัฒนธรรมตลกคาเฟ่ไปเกือบหมดสิ้นแล้ว
เสียงตลกที่ดังลั่นออกมาเวลารับชมอยู่หน้าจอทีวี ส่วนหนึ่งมาจากวิธีการตัดต่อใส่เสียงลงไป ทว่าในสตูดิโอเอง ก็มีทีมงานบันทึกภาพ ทีมงานจัดไฟประกอบ ทีมครีเอทีฟ ที่คอยให้เสียงหัวเราะประกอบไปด้วย ช่วยให้บรรดานักแสดงรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เล่นแบบเดียวดายแบบขอไปที เพราะมีคนรับชมการแสดงของพวกเขาอยู่จนจบ แม้แต่ทีมงานแม่บ้านที่บริการเครื่องดื่มและอาหารเองก็ตาม ที่คอยอำนวยความสะดวก พร้อมมอบกำลังใจรอยยิ้มแก่นักแสดง จนเราสามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาอยู่กันแบบฐานะ ‘ครอบครัว’ จริงๆ
เดินกล้องถ่ายทำ โชว์ความฮา
เราตั้งหน้าตั้งตารอคอยการแสดงในเทปที่ 3 ของวันอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อทีมงานทุกส่วนในสตูดิโอเซ็ตทุกสิ่งอย่างเข้าที่ ทีมนักแสดงตลกที่จัดเต็มทั้งคลังมุขที่นัดแนะซ้อมกันมาเรียบร้อย เครื่องแต่งกายที่ทุ่มทุนในการเรียกเสียงหัวเราะโดยเฉพาะก็ได้เริ่มทำการแสดงในตอนที่มีชื่อว่า คาบาเรต์จตุรงค์ & Friend
มุขตลกที่ทีมนักแสดงซึ่งนำโดย จตุรงค์ ม๊กจ๊ก นำมาเล่นนั้น เป็นมุขนักร้องตามคาเฟ่สมัยก่อน ซึ่งใช้วิธีลิปซิงค์พร้อมแสดงอารมณ์ทางสีหน้า ผ่านบทเพลงของราชินีชาวไต้หวันอย่าง เติ้ง ลี่จวิน ชวนหวนคิดถึงกลิ่นอายมุขตลกสมัยก่อนที่วัยเด็กเราเคยรับชมผ่านวิดีโอ โทรทัศน์ และนับว่าเป็นโชคดีอย่างมากของเราที่เทปวันนั้นนักแสดงรับเชิญคือ ‘ติช่า’ – กันติชา ชุมมะ นักแสดงและนางแบบชื่อดัง ที่สลัดบทบาทมารับ-ส่งมุขตลกได้อย่างไม่เคอะเขิน
ตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ได้เห็นเบื้องหลังการบันทึกเทปการแสดง ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีจังหวะติดขัด ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วยการช่วยเหลือกันระหว่างนักแสดงตลกรุ่นพี่ที่คอยซัพพอร์ตตบมุขให้แก่นักแสดงรุ่นน้อง พาเข้าเนื้อหาหลักไม่ให้หลุดจากบทมากจนเกินไป ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้คือ นักแสดงพิเศษอย่างอ๊อด ปากดี ซึ่งสามารถเล่นเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ต่อล้อต่อเถียงควบคู่ตามไปกับนักแสดงคนอื่นได้แบบน่าชื่นชม
หน้าหลอก หลังไหว้
ภาพประทับใจที่ถูกถ่ายทอดออกมาทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำแต่ละฉาก คือภาพของนักแสดงตลกรุ่นน้องที่ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยบรรดารุ่นพี่หากเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวเกินไป สิ่งที่ได้กลับมาจากการยกมือไหว้คือสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมคำชื่นชมของนักแสดงรุ่นพี่ ยิ่งทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทะนงตนถือตัวว่าอยู่ในวงการกันมานานแต่อย่างใด พวกเขาแสดงให้เห็นว่านี่คือทีมเดียวกัน ดังนั้นแล้ว ‘ความเป็นมืออาชีพ’ ย่อมมาก่อนทิฐิเสมอ
โปรดิวเซอร์ เป๋า อิทธิพล เล่าต่อให้เราฟังอีกนิดหนึ่งถึงเบื้องหลังความฮา ความสนุก ที่ความจริงแล้วเหนื่อยไม่หน่อยกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้
“ตอนนี้พวกเรามาถึงเทปที่ 11-12 แล้ว เราเริ่มต้นใหม่ สลัดภาพเดิมทิ้ง เอาคำว่า ‘ฮาทั่วไทย’ เอาคำว่า ‘4 ภาค’ มาครอบ พยายามสร้างฉากสร้างทุกอย่างมารองรับนักแสดงทีมใหม่นี้ จริงๆ แล้วพวกเขาเก่งมากอยู่แล้ว เพียงแต่เขาเพิ่งมารวมตัวกัน แล้วเราไม่ได้ออกนอกเส้นทางเดิมที่เคยตั้งใจไว้ เราแค่เดินช้าลงให้ทีมใหม่ตั้งตัว ให้คนดูตั้งตัวตามไปด้วยจนยอมรับในนักแสดงทีมนี้
“ต้องนับถือใจทีมงานนักแสดงชุดนี้มากๆ เวลาคนดูด่า พวกเขาเป็นหนังหน้าไฟออกรับแทนพวกเรา แต่พวกเขาก็ก้มหน้าก้มตายอมรับ แล้วกลับมาทำงานหนักขึ้นให้มาตรฐานเป็นตัวพิสูจน์ พอวันนี้หันกลับไปดูถึงจุดเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก็รู้สึกดีใจนะ ที่พวกเรามีคนคอยเคียงข้าง มีผู้ชมสนใจรายการเราขนาดนี้”
จากนักแสดงถึงผู้ชมทุกท่าน
ก่อนจะจากกัน นุ้ยและเจี๊ยบ เชิญยิ้ม ได้เป็นตัวแทนของทีมงานนักแสดง ฝากไปถึงผู้ชมที่คอยติดตามพวกเขามาตลอดว่า
นุ้ย เชิญยิ้ม: “ถึงทีมนักแสดงแต่ละคนจะรู้จักกันมานาน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็เพิ่งมารวมตัวกันได้ไม่กี่เดือน อาจจะมีเล่นพลาดตกหล่นไปบ้าง เลยอยากจะขอเวลาอีกสักนิด เปิดใจให้พวกเราทุกคนทำงานกันอย่างหนักจริงๆ”
เจี๊ยบ เชิญยิ้ม: “ทั้งหมดทั้งสิ้นคือเราต้องการให้ผู้ชมดูแล้วหัวเราะ ดูแล้วสนุก มอบความสุขให้แก่ทุกคน เราตั้งใจกันมากๆ แม้แต่ทีมงานเบื้องหลังที่ผู้ชมไม่เห็นหน้าก็ตาม”
ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังบางส่วนที่เราได้พูดคุยกับทีมงาน ‘ฮาไม่จำกัด ทั่วไทย’ ถึงวิธีคิดวิธีการทำงานของพวกเขาที่เบื้องหน้าคือความฮาและเสียงหัวเราะพร้อมส่งตรงถึงคนดูบนหน้าจอ โดยมีเบื้องหลังเป็นการทำงานอย่างหนัก แต่ละมุขล้วนกลั่นออกมาจากหัวใจเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพตอบแทนความรัก ความไว้ใจต่อคนดูที่ติดตามพวกเขามาโดยตลอด
Tags: Behide The Scenes, Feature, Zense Entertainment, ฮาไม่จำกัดทั่วไทย