Facebook หอศิลป์แห่งหนึ่งลงรูปประชาสัมพันธ์นิทรรศการศิลปกรรมแห่งชาติที่หอศิลปเจ้าฟ้า พลันก็รู้สึกโหยหา Nostalgia ขึ้นมา เนื่องจากไม่ได้ตามงานนี้มานานหลายปีดีดัก และนับแต่พื้นที่ศิลปะหลากหลายกระเถิบขึ้นมาแถวหน้า บดบังบรรดางานประกวดที่มักไม่เอื้อต่อความแหวกแนว เหลือบเห็นตัวเลข อ้าว 70 รอบแล้วหรือเนี่ย อายุมากโขอยู่นา 

นึกย้อนไปสมัยที่จัดมาได้ 40 กว่าครั้ง (เขียนอย่างนี้ คนเดาอายุได้กันพอดี เซ็ง…) ไปดูทีไรก็ละเหี่ยใจทุกที หรือไม่ก็ผ่านไปฆ่าเวลา ดูไปก็เหงาไป แอร์เย็น โหวงเหวงไม่เหมือนวันเปิด ซ้ำการจัดแสดงไม่อาจเลือกหนทางอื่นนอกจากต้องจัดวางงานไล่เรียงกันเพื่อให้งานคัดเลือกมีสิทธิแสดงตัวต่อสายตาผู้ชม เป็นบทพิสูจน์โดยแท้สำหรับทั้งศิลปิน (ที่อาจไม่เกิดแม้จะได้รางวัล) และผู้ชม (ที่อาจพลาดแยกอะไรไม่ถนัดเพราะตาลายไปก่อน ผัสสะนัวเนีย ไม่ทันผละจากอีกงาน ตาก็ปะทะกับอีกงานใกล้ๆ กัน) มิพักต้องถามว่ายังจะเป็นบทพิสูจน์การคิวเรตได้หรือเปล่า (สงสารคนจัดที่ต้องมารับภาระแบบที่นิยามคิวเรตติงถดถอย หรือจะท้าทายก็ไม่รู้…) 

มโนไปว่าจะได้ยลอะไรที่แปลกไป ครั้นชิมลางก่อนได้ดูจริงโดยดูเอาจากที่โพสต์ไว้ในเฟซนั่น แล้วก็ใจหาย ถอนหายใจ บอกตัวเองว่าไม่ผิดคาด มันก็ไม่ดูรกไปสักเท่าไรหรอก แค่เรียงเป็นผืนเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเข้าแถวตามกันมา แบบที่เคยเห็นมา เจนตา ชินตาจนแทบจะชินชา…

ใครเคยเรียนปวศ.ตะวันตกศตวรรษ 18 คงนึกออกว่า นิทรรศการสมัยนั้นที่เป็นต้นตอของการแสดงงานปัจจุบันและเรียกกันว่า Salon มีหลักฐานการจัดแสดงเป็นภาพสีน้ำหรือภาพพิมพ์ที่เห็นมวลบรรดาผลงานวางกันเต็มแน่นเอี๊ยดในห้องๆ หนึ่งของลูฟวร์ คนฮือฮากัน ก็เป็นครั้งเดียวทุก 2 ปีที่คนทั่วไปตาสีตาสีเราท่านจะได้เห็นว่า บรรดาศิลปินอินเทรนด์ตอนนั้นทำงานอะไรแนวไหนกันบ้าง บางคนบอกว่าเป็นประตูแห่งประชาธิปไตยทางศิลปะ เปิดออกให้ชาวบ้านร้านนาได้จ่ายตังค์ค่าเข้าน้อยนิด มายลอะไรต่ออะไรที่ตนไม่อาจมีทรัพย์พอจะได้มา ได้เห็นในสิ่งที่เคยสงวนไว้เฉพาะชนชั้นสูงหรือมีฐานะ ศิลปินก็ได้ประโยชน์เพราะเท่ากับถ่างช่องทางการซื้อขายกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ต้องมาเผชิญกับโจทย์ใหม่ที่ต้องรับมือ คือการวิจารณ์ศิลปะที่ตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์ ช่วยแซ่ซ้องหรือทำ ‘ทัวร์ลง’ 

Salon จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลการแขวนติดตั้งงานในชื่อว่า Tapissier ที่มาก่อนคิวเรเตอร์สมัยใหม่ แน่นอนว่าห้องแสดงจำกัดอยู่ห้องเดียว (Salon Carré) เลยทำอะไรไม่ได้มากนอกไปจากใช้ประโยชน์ของพื้นที่เท่าที่มีให้ได้สูงสุด ระบบคิวเรตติงปัจจุบันคงหน้าเหยเกว่า รุมสุมไปได้ไงแบบนั้นยังกะโกดัง ผลกระทบจึงมีกับผลงาน เพราะไม่ใช่แค่ผู้ชมคงงงงวยไปด้วย ยังส่งต่อถึงสายตาและความรู้สึกของนักวิจารณ์หน้าใหม่ทั้งหลาย 

คงไม่ต้องขยายความอันใด ว่าหากยกเว้นผลงานแต่ละชิ้นที่ปะปนทั้งที่แนวหน้าและแนวหลังและแนวเดิมแล้ว ทำไมศิลปกรรมแห่งชาติจึงคงกลิ่นอายวินเทจในแง่การจัดแสดงดังที่ออกมา 

แทบไม่อาจเลี่ยง? 

โทร.ถามหนุ่มมีสามีแล้ว ชวนไปดูด้วยกันทั้งสามีและสามี ถามหนุ่มตัวโตอีกคนว่าจะมาแจมกันไหม ต่างก็บอกกันว่าไม่ได้ดูมานานแล้วเหมือนกัน ก็แหมคุณท่านขลุกอยู่แต่บรรดา ‘อาหว่อง’ (Avant-garde) แถวต้นๆ หรือวงปัจจุบันเสียจนอาจลืมพื้นที่ดั้งเดิม เขียนตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าจะโดนเทหรือเปล่า หนุ่มมีสามีอาจขลุกกะสามีจนไม่ว่าง หนุ่มตัวโตอาจสาละวนกับสรรพสาระร่วมสมัยจนไม่มีเวลามาร่วมงาน 70 

สงสัยได้ไปฉายเดี่ยวเหงาๆ เย็นแอร์คนเดียวตามเดิม 

*

ระหว่างรอเลยใช้มุกเดิม คือเขียนจากประสบการณ์ทางอ้อมเพื่อคะเนคร่าวๆ ไปก่อนว่าจะเจออะไร ส่วนจะติดใจอะไรนั้นค่อยว่ากัน บันทึกจากบรรดาภาพที่ส่องเอาตามเฟซและเว็บอะไรต่ออะไร ได้แต่โน้ตไปล่วงหน้าว่าเห็นอะไรบ้าง ก็ตามเคยอย่างที่เกริ่นไว้ มวลหมู่จิตรกรรมแขวนเรียงต่อตามกัน เห็นภาพสีหวานใกล้ภาพสามมิตินูนยื่นเป็นแผ่นนามธรรม ประติมากรรมโครงกระดูกเป็นเก้าอี้วางหน้าภาพโซฟาไม้  ใกล้กันเป็นรูปผู้หญิงบนเฟอร์นิเจอร์ห้อมล้อมด้วยบรรดาหมา 

เพิ่งสังเกตว่าพวกงานประติมากรรมมีแท่นข้อมูลขาววางใกล้กัน สูงเด่นเป็นสง่า ออกจะไม่เนียนเท่าไร พวกฐานหรือแท่นพวกนี้รบกวนไม่น้อยในแง่ Visual คือบางทีแม้ผู้ชมจะกระหายใคร่รู้ข้อมูลเบื้องต้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องชูยกให้กระทบชิ้นงาน ดีไม่ดีแท่นอาจช่วงชิงความสำคัญ แบบที่ภาษาสมัยนี้เรียกกันว่า ‘แย่งซีน’ (สวนแก้วของศิลปากรก็รุงรังเอิกเกริกไปด้วยของเล่นใหม่แบบนี้… ปล่อยผู้ชมและผลงานไว้ตามลำพังบ้างก็ได้นะ)

เห็นอะไรอีกจากภาพห้องแสดง ภาพต้นไม้พันผ้าสี ประติมากรรมโลหะใหญ่หน่อยเหมือนถ้วยหรือพานวางกะเท่เร่ ภาพผ้าขาวพาดกองเป็นชั้น และอื่นๆ อีกหลายหลาก 

ทำไมหนอ จึงรู้สึกว่าเป็น déjà-vu หรือจะเพราะด้านชาไปกับงานแห่งชาติไปแล้ว อนาถตนเอง

*

ฝนจาง แดดแจ๋ ก็ไม่รู้จะบอกภูมิอากาศไปทำไมในวันดู 

หนุ่มหนุ่มมาได้ แต่อีกหนึ่งหนุ่มหุ่นโตติดงาน ส่วนอีกหนุ่มเลือกไปงานอาหว่อง (รอดตัวไป…) 

เด๋อด๋าหาห้องจัดแสดง หันซ้ายแลขวา ประตูห้องที่เคยจัดปกติก็ดันปิดทึบพร้อมกระสอบ (ทราย?) วางขวาง ไม่รู้อยู่ไหนทั้งๆ ที่ธงทิวหราเป็นแถว จนลุง จนท.ต้องมาช่วยบอกว่าก็ห้องนั้นแหล่ะ… 

เข้ามาเจอจุดลงทะเบียนที่อยู่ห้องเดียวกับห้องผลงานติดริบบิ้นรางวัล เดินประมาณไม่เกิน 5 นาที ผละไปห้องถัดๆ ไปที่เหมือนช่วยชะลอการชมลงอีกนิด ถามหนุ่มหนุ่มว่าชอบชิ้นไหนบ้าง ได้ยินคำตอบไม่ชัด หรือตัวเองสูงอายุจนหูหนวกไม่ได้ยิน 

‘แห่งชาติ’ อาจไม่ได้แปลว่ามั่นคงแล้ว วุฒิภาวะทางศิลปะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ตรงกันข้าม ยังเจองานเน้นฟอร์ม (พร้อมกลิ่นอายเนื้อหาจางๆ ปะแล่มๆ พอเป็นกระสาย ทำไมถึงต้องเสี้ยม/ สอนศิลปินและที่กำลังจะเป็นศิลปินให้ต้องมาแบกรับภาระโลกปัญหาสังคมปมวัฒนธรรม เมื่อเขาและเธอรับน้ำหนักมันไม่ไหวจนไม่รู้จัดการไงดี เราก็จะได้แต่นักเทศน์ไม่ใช่ศิลปินอีกต่อไป…) งานกุศลบาปบุญศีลธรรม งานข้อคิดติติงวิพากษ์และรัวน้ำมือไม่ยั้งเพราะต้องแสดงออก บอกสองหนุ่มไปว่าจะคาดหวังงานแนวทดลอง งานคอนเซปชวล งานเกลี้ยงๆ ในความคิด เหอะๆ ช่วยดูชื่อสถานการณ์ของผลงานหน่อยสิ หากไม่ใช่การผลิตซ้ำงานประกวดรุ่นก่อนๆ (ที่ก็ตามรุ่นก่อนๆ มาอีก) ก็ต้องเรียกว่า déjà-vu

ไม่ต้องวิพากษ์อะไรตรงนี้ก็เป็นที่รู้กัน ปัญหาคือ มันต้องมีดีอยู่บ้างสิ หากเราไม่อินกับงานรางวัลหรือบรรดางานประกวดทั้งหลาย ก็คงต้องมีช่วงจังหวะที่เราหยุดอยู่กับอะไรสักอย่างที่เป็นมุมส่วนตน มุมมองเฉพาะตน ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับรางวัลหรือไม่รางวัล แง่โพสิทีฟของงานประกวดจึงอาจมาจากตรงนี้ คือทำให้เราเล่นบทกรรมการนอกรอบที่ไม่มีรางวัลอะไรให้นอกจากสายตาและเกิดการสะกิดใจ ณ บัดนั้น

มองจิตรกรรมต้นไม้พันผ้าสี อ้าวมีรายละเอียดกระจุกกระจิกตรงโคนต้น มองแผ่นอะคริลิกซ้อนกันเป็นเค้าร่างหญิง เบลอ ถ่ายรูปลำบาก เงาสะท้อนคนอื่นติดมาด้วย ไม่ใหญ่โตเทอะทะรุ่มร่ามมากความ ดูเรซินกลมหลากสีบรรจุเอกสารเรื่องปุ๋ยเคมี  ฯลฯ ไม่ได้แปลว่าอะไรเหล่านี้เป็นมาสเตอร์พีซชายขอบถูกหลงลืมมองข้าม แล้วผู้ชมมาช่วยชำระให้ผ่านการจับจ้อง คือด้านหนึ่ง ผู้ชมก็ไม่อาจตั้งตนเป็นกูรูกูรู้กูดูออกคนเดียว แน่ยิ่งกว่ากรรมการ กูรูเลยมักกลายเป็นกูอยู่ในรูเพราะมโนไปเองว่ารู้อยู่คนเดียว รูก็จะไม่ต่างจากกะลา แต่อีกด้านหนึ่ง เหตุผลการเลือกหยุดที่ผลงานใดผลงานหนึ่งหรือข้ามหลากหลายงานรางวัล เพียงแค่ว่าในทุกมหกรรมที่ระคนปนเปหลากหน้าตา ผู้ชมไม่ใช่ลูกแกะให้ต้องคล้อยตามเกณฑ์นอกไปจากตัวเอง หรือหากใครจะยอมเดินตามทางพร้อมลูกศรนำ นั่นก็ตามสะดวก กรรมการนอกรอบจึงอาจไม่ตัดสินอะไร ไม่ประเมินอะไร เล็งหาอย่างอื่นนอกไปจากความคุ้นชิน กระทั่งอยากหวนหาความคุ้นชินเดิม  

อ้อ ก่อนกลับ เผอิญเห็นประติมากรรมคนนอนเหยียดหงอยเหงาอยู่ตรงทางเข้า แกะไม่ครบส่วนเหมือน non-finito วางบนแท่นไม้ขัดกันไปมาสุดเท่ มีสักกี่คนจะชำเลืองมองเพราะต่างจะหาห้องแสดง และก็เป็นตัวอย่างว่าบรรดางานเดี่ยวทำให้เราเฝ้ามองได้อย่างอิ่ม 

อีกข้อของงาน ‘แห่งชาติ’ คืองานอาจถูกตัดสินเนื่องในการประกวด แต่ไม่มีอะไรบอกว่า งานไหนของใครจะได้ไปต่อ คนไหนชิ้นใดจะยุติแค่นั้นแม้จะเป็นงานรางวัล งานพลาดใดที่จะเปลี่ยนผันทันวาระอื่นในอนาคต งานแห่งชาติเป็นพื้นที่ทดลองในตัวแม้ว่าตัวงานส่วนใหญ่จะไม่อาจนิยามตามนั้น ยังไม่ ‘อาหว่อง’ พอจะให้ฟันธง 

ผู้ชมจึงเหมือนไปดูลาดเลา ดูเค้าความน่าจะเป็น จึงต้องไม่ตั้งเพดานความคาดหวังไว้สูงลิบ แค่ทำใจล่วงหน้าว่าไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้นำเทรนด์หรือเป็นเทรนด์นำ ไม่ต้องคาดหวังการพลิกโฉมวงการ แค่ปลอบใจว่าไปดูต้นกล้า และการกล้าจะไปดูขนบการแสดงงานแบบหนึ่งก็น่าจะเหลือเฝือให้รู้สึกว่าไม่เสียหลายอะไร 

บ้างบอกว่าเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาด… บ้างบอกว่าไม่ได้พลาดอะไร นิทรรศการแห่งชาติจากบทบาทนำร่องครั้งนานมาแล้ว กลายเป็นลูกไล่ให้พื้นที่แสดงหน้าใหม่และผลงานอื่นที่ไม่อิงการประกวด แม้เราจะเชิดใส่ แม้จะเป็นนิทรรศการในมาตรฐานเคยคุ้นจนเราแทบไม่ปรายตามอง ทว่า ทว่า ต้นกล้าในกระบะเพาะก็น่าเอ็นดูน่ารักน่าชังเสมอ ไม่มีวันรู้หรือคาดเดาไม่ได้ว่ามันจะงอกข้ามพ้นหลักแรกจนเกยเลื้อยเข้าพื้นที่ร่วมสมัยโดยแท้ หรือมันจะแคระแกร็นแค่เพียงโบรางวัลในครั้งนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อสาวความเป็นมาเป็นไปของศิลปินสักคนที่เติบโตแก่กล้าเผชิญโจทย์ศิลปะด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิครบครัน เธอหรือเขาอาจเคยผ่านมาทางชายคาร่มเงาของงานแห่งชาติมาก่อน ถ้าเราจะพลาดก็ตรงนี้แหละ คือไม่ได้เห็นต้นอ่อนที่เริ่มงอกอย่างมะงุมมะงาหราลองผิดลองถูก

นึกอิจฉาเจ้าหนุ่มคนนั้นที่ได้ดูงานแหวกหน่อย แต่จะ ‘อาหว่อง’ แค่ไหน อันนี้ก็ต้องทำใจอีกเช่นกัน เพราะไม่ใช่ว่าทุกงานแสดงนอกเหนืองานประกวดจะเริ่ดไปทุกครั้งดังไปทุกชิ้นสะเทือนฟ้าเขย่าแผ่นดินไปทุกที มันก็มีทั้งที่ไม่ต่างจากงานประกวด และที่ได้เหวออ้าปากค้าง (คือว้าว หรืออาจจะ อะไรวะเนี่ย…) 

จะว่าไป เหมือนวันหนึ่งไปดูเพอร์ฟอร์มสมัยใหม่ อีกวันไปชมนาฏศิลป์ไทย หรือวันหนึ่งไปดูนิทรรศการที่ Pompidou อีกวันเข้าโรงละครชมบัลเลต์คลาสสิก ก็มันหลากหลายดีนิ 

หนังปาล์มทองคำทองเหลืองหรือทองแดงอาจมีใบพืชคลาสสิกนั้นรับประกัน แต่จะไม่เหลียวแลบรรดามดแมลงแมงหนูและโคตรวีรบุรุษโคตรวีรสตรีสุดล้ำแสนอัศจรรย์ของมาร์เวลไปได้ไงนะ จะไม่ชำเลืองมองละครทีวีไทยวินเทจหน่อยเหรอ ‘ล้ำ’ ไม่ต่างจากมาร์เวลเชียวนะ คู่พระนางหนีผู้ร้าย ตัดสินใจกระโดดหน้าผาลงทะเล ไม่ต้องแปลงกายแบบฮีโร่มาร์เวลให้เปลืองชุดเปลืองเวลาอะไรทั้งนั้น ขึ้นบกมาเสื้อผ้ารองเท้ายังอยู่ครบ แจ็กเกตหนังของพระเอกยังคลุมทับเสื้ออีกตัว คงแพง จะถอดทิ้งกลางทะเลก็เสียดายเดี๋ยวขึ้นฝั่งมาไม่เท่ เดาว่าว่ายน้ำเก่งกันทั้งคู่ 

คือบางครั้ง หากเราเข้าใจวาระของแต่ละงานแต่ละการแสดงแต่ละประเภท เราก็จะไม่เดือดดาลว่าได้รางวัลได้ไงเนี่ย ไม่ละเหี่ยใจว่าทำไมฟอร์มฟอร์มฟอร์มเหลือเกิน ไม่รำคาญว่าไหงชิ้นบะเห้งรุงรังยั้วเยี้ยหรือนัวเนียพิถีพิถันเหลือหลาย และก็ใช่ว่าเหล่างานนอกสังเวียนประกวดหลากหลายจะไม่ให้รู้สึกแบบเดียวกัน 

ผู้ชมคงไม่จำเป็นต้องเปิดใจกว้างเข้าไว้เพื่อฝืนใจบอกว่าศิลปกรรมแห่งชาติคือวาระแห่งชาติที่พลาดไม่ได้ แน่นอนว่าต่างหวังการเลย์เอาต์ออกแบบใหม่ ถามหาการเปลี่ยนโฉมใหม่ศัลยกรรมใหม่ ลิฟติงใหม่ยกโครงรื้อใหม่เพื่อให้สมกับคำห้อยท้าย ‘แห่งชาติ’ ไม่งั้นชาตินี้หรือชาติหน้าเราท่านก็จะยังคงวนวังวังวนอลวนกับหน้าตางานและการจัดแสดงที่ย่ำย้ำขนบของงานประกวดอันไม่อาจคาดหวังอะไรได้มากไปกว่าเดิม 

*

เดินจากมา แวะร้านละแวกใกล้เคียง เก่าแก่ มีชื่อ ขายของกินของใช้พื้นเมืองหน่อย สารพัดอย่าง นับแต่เครื่องแกง ของขบเคี้ยว เครื่องปรุงบ้านๆ สบู่ครีม เพลิน ราคาย่อมเยา ไม่ได้หรูหราแบบห้าง แต่เดินชิลโปร่ง ธรรมดา ไม่มีการถามบัตรสมาชิกบัตรส่วนลดสารพัดบัตรแบบห้างร้านดังที่จะจ่ายเงินทีพวกลูกค้าสารพัดบัตรจะใช้เวลาควานหาบัตรสารพัดเป็นนานสองนาน (และแม้จะพัฒนาเป็นสแกนจ่าย แต่กว่าจะคลำเจอในเครื่อง+รหัสสมนาคุณพิเศษอีกล้านแสนเจ็ด ก็กินเวลาไม่ต่ำไปกว่าเดิมเท่าไร เฮ้อ! วิวัฒนาการ!) พากันแวะต่อมาที่ร้านหนังสือฝรั่งมือสองสภาพดี นี่ก็เพลินอีก ร้านเล็กๆ แต่มีให้เลือกจนน้ำลายหยด อันนี้ก็อยากอ่าน อันนั้นก็อยากอ่าน เล่มนี้โผล่มาได้ไงที่นี่ อ้าวอีกเล่มหายากเสียด้วย ต้องชั่งใจ บอกหนุ่มๆ ไปว่าซื้อมาคงเอามากองพะเนินที่ห้อง ไม่รู้จะมีเวลาเปิดอ่านกี่โมง แน่ะ! แก่แล้วไม่เจียม เล่นสำนวนแฟชั่น ว่าแต่มันจะใช้ไปอีกกี่โมงนะ พวกคำเหล่านี้มัน Fast Fashion 

ก็ใครจะยืนยาวครบคราว 70 แบบศิลปกรรมแห่งชาติล่ะ มีทั้งงานแบบพื้นเมือง งานแบบที่ละไว้ก่อน ไว้ค่อยประเมินตอนแข็งแรงอีกหน่อย งานที่ขึ้นหิ้งรางวัลเหมือนอยู่บนชั้นหนังสือที่ไม่ขอแตะ งานที่ไม่เยอะไม่ต้องควานหาบัตรโปรโมชันอะไรมาลดทอนคุณค่า งานที่ต้องอ้างว่าไม่มีเวลาจับเพราะจับเวลาไม่ถูกว่าจะหมดอายุไวหรือเปล่า งานที่เสพแล้วอิ่มตาอิ่มสุนทรียะ ส่วนบรรดางานอิ่มบุญ ทั้งที่มีบุญได้ริบบิ้น หรือแสดงบุญบาปเตือนสติ ยังต้องพิสูจน์ด้วยเวลา…

หนึ่งแก่และสองหนุ่มแยกย้ายกลับ จะเหลือผลบุญอะไรบ้างหนอจากการไปพบวาระ 70 

หรือจะเป็นเพียงงานบุญ

Tags: , , , ,