ภาพจำของสังคมที่มีต่อ ‘พรรคไทยรักไทย’ มาจนถึง ‘พรรคเพื่อไทย’ คือพรรคการเมืองที่สามารถส่งมอบนโยบายถึงมือของประชาชนได้สำเร็จ ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน หรือสินค้า OTOP จนสามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของประชาชนรากหญ้าให้ดีขึ้นได้

แต่เมื่อมาถึงคราวของพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน มาจนถึง แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายนโยบายที่ใช้หาเสียงเลือกตั้งยังไม่สามารถส่งถึงมือประชาชนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น โครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่ต้อง ‘ชะงัก’ ไป โดยรัฐบาลอ้างว่า จำเป็นต้องชะลอโครงการ เนื่องจากต้องใช้เงินเพื่อรับมือกับการขึ้นภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน

หากมองจากความนิยมของพรรคการเมืองที่สำรวจโดยนิด้าโพล (NIDA Poll) พบว่า พรรคเพื่อไทยเป็นรอง (อดีต) พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 อีกทั้งยังเป็นรองแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ โดยความนิยมไต่ลงมาอยู่ที่ลำดับ 3 ด้วยคะแนน 11.52% ในการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2/2568 หลังแพทองธารถูกแฉคลิปเสียงเจรจากับ สมเด็จ ฮุน เซน (Hun Sen) อดีตนายกฯ ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา

และจากกรณีคลิปเสียงหลุดนั้นเอง เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำร้องของ สว. 36 คน เพื่อรอคำพิพากษาของศาลว่า แพทองธารผิดจริยธรรมหรือไม่ ทำให้สภาพการณ์ของรัฐบาลเพื่อไทยอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยง

ดังนั้นความพยายามในการออกนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณภาพชีวิต เพื่อทำให้ประชาชนจับต้องได้ และเป็นนโยบายที่เกิดอิมแพ็กทางการเมืองมากที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่มคนเมืองที่เป็นฐานเสียงของพรรคประชาชน

1. รถไฟฟ้า 20 บาท

ความจริงแล้ว นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ไม่ใช่นโยบายใหม่ของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด แต่เป็นนโยบายที่เคยใช้หาเสียงไว้ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทย สมัยที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ 

โดยเป้าหมายของนโยบายนี้เป็นไปเพื่อหวังลดค่าครองชีพด้านคมนาคมของประชาชนคนเมือง ที่ปัจจุบันเรตราคานั้นแพงหูฉี่ ยกตัวอย่างกรณีประชาชนที่อยู่ในเขตมีนบุรีจะเดินทางเข้าสยามจะต้องจ่ายเงินต่อเที่ยวสูงถึง 107 บาท หรือหากไป-กลับ ค่าเดินทางก็จะดับเบิลเป็น 214 บาท คิดเป็นกว่า 50% ของค่าแรงขั้นต่ำคนกรุงเทพฯ (400 บาท)

ทั้งนี้ปัจจุบันค่าโดยสาย 20 บาทตลอดสายเริ่มใช้ในรถไฟฟ้าบางเส้นทางมาตั้งแต่ปี 2566 แล้ว เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง ภายใต้การดูแลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ภายใต้การดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งโครงการดังกล่าวช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ที่ 18.37% และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเพิ่มขึ้นที่ 26.93%

อย่างไรก็ตามสายรถไฟฟ้าที่ประชาชนคาดหวังว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายจะนำมาบังคับใช้คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT) เพราะเป็น 2 เส้นทางหลักที่คนกรุงเทพฯ ใช้เดินทางเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องสัญญาสัมปทานที่ทำให้ประชาชนต้องจ่าย ‘ค่าแรกเข้า’ ซ้ำซ้อน เป็นที่มาของราคาค่าโดยสารที่แพง

โดยวิธีการของรัฐบาลที่จะนำมาใช้กับ 2 เส้นทางนี้คือ การนำเงินงบประมาณของ รฟม.มาจ่ายชดเชยให้กับเอกชนเจ้าของสัมปทาน ควบคู่ไปกับการเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้า 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง, ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้รัฐบาลจะเปิดระบบให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธินโยบาย 20 บาทตลอดสายผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ โดยประชาชนจะต้องมีบัตรเครดิต EMV (Europay, Mastercard and Visa) และบัตรแรบบิท (Rabbit Card) เพื่อแตะผ่านเข้า-ออกสถานี

2. หวยเกษียณ

สำหรับโครงการที่ดูจะเป็นไปได้และยั่งยืนมากที่สุด คงหนีไม่พ้นโครงการ ‘หวยเกษียณ’ ที่ทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรต่างให้การ ‘เห็นชอบ’ ในวาระที่ 3 ของร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ

โดยหลักการของนโยบายนี้หยิบยกเอาคุณลักษณะสำคัญของคนไทย นั่นคือ ‘ชอบเล่นหวย’ มาปรับใช้ เพื่อแก้ไข Pain Point ของคนไทยที่แก่ตัวไปแล้วไม่มีเงินออม

สำหรับรายละเอียดของโครงการหวยเกษียณจะเป็น ‘สลากขูดดิจิทัล’ ที่ประชาชนไม่สามารถเลือกเลขได้ตนเอง มีราคาอยู่ที่ 50 บาท ซื้อได้ต่อเดือนไม่เกิน 3,000 บาท (หรือ 60 ใบ) 

รางวัลจะแบ่งออกเป็น 2 รางวัลย่อย ได้แก่ รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 5 รางวัล และรางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 1 หมื่นรางวัล โดยออกสลากทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. หากผู้ซื้อถูกรางวัล เงินจะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) ของผู้ซื้อโดยตรง

โดยทุกมูลค่าการซื้อสลากขูดดิจิทัลจะเก็บเป็น ‘เงินออม’ ไว้ใช้หลังเกษียณอายุ นั่นหมายความว่าจะไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ก่อนกำหนด ยกเว้นแต่ในกรณีที่มีความเป็นจำเป็น เช่น ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต ก็จะนำเงินสะสมออกมาให้ทายาทต่อไป

ทั้งนี้โครงการหวยเกษียณยังอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการนิติบัญญัติ โดยหลังจากที่สภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว จะส่งต่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบต่อไป

3. บ้านเพื่อคนไทย

ในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงจนธนาคารพาณิชย์หลายแห่งไม่ปล่อยกู้ให้ผู้ขอสินเชื่อรายเล็กรายน้อย ทำให้การเข้าถึง ‘บ้าน’ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิตก็ทำได้ยากมากในปัจจุบัน

พรรคเพื่อไทย โดยกระทรวงคมนาคมจึงออกโครงการบ้านเพื่อคนไทย เพื่อหวังให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ตลอดจนกลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงบ้านในราคาถูกบนที่ดินของรัฐ (ที่ดินของ รฟท.) ในพื้นที่บางซื่อ กม. 11, พื้นที่สถานีเชียงรากน้อย, พื้นที่สถานีธนบุรี และพื้นที่สถานีเชียงใหม่  ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ยังได้ใช้โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้อีกด้วย (ยกเว้นประชาชนที่ซื้อในพื้นที่สถานีเชียงใหม่)

โดยโครงการกำหนดคุณสมบัติของผู้ซื้อเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อเดือน ไม่มีเงินดาวน์ มีแต่อัตราผ่อนเริ่มต้นประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาผ่อนชำระ 30-50 ปี สามารถอยู่ยาวได้ 99 ปี

อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ของนโยบายนี้คือ รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ (Leasehold) เสียก่อน เพื่อขยายกรอบเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์จากเดิมที่ 30 ปีมาเป็น 99 ปีซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลามาก ทำให้แม้แต่ มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยังบอกด้วยตัวเองว่า ต้องใช้เวลาและกฎหมายนี้ไม่น่าจะทันการประชุมของสภาฯ สมัยปัจจุบัน

ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างดำเนินการปรับแก้ไขรายละเอียดของกฎหมาย ซึ่งเมื่อแก้ไขแล้วเสร็จจะต้องส่งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้การเห็นชอบ เพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ ให้สภาฯ พิจารณาในวาระ 1 ต่อไป

อ้างอิง

https://www.dailynews.co.th/news/4890284/

https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=759 

https://shorturl.at/3jcDG 

Tags: , , , , , , , ,