ภาพม่านสีแดงที่เป็นฉากหลังของเวทีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งคนดู ดูจะเป็นภาพปกติของโรงละครที่เรามักเห็นกันได้ทั่วไป แต่หากพูดถึงสิ่งที่จะปรากฏและโลดแล่นอยู่บนเวทีแล้ว นับเป็นสิ่งที่คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า การแสดงเหล่านั้นจะนำผู้ชมไปในทิศทางไหน และผู้แสดงจะอวดฝีไม้ลายมือจากการฝึกฝนและความตั้งใจในรูปแบบใดบ้าง

ไม่ว่าจะเป็น ละครเวที บัลเลต์ กายกรรม ภารตะ หรือออร์เคสตรา ผลจากการซุ่มซ้อม และการเตรียมการแสดงสดแขนงต่างๆ ก็จะผลิดอกออกผล เมื่อผู้มีส่วนร่วมทุกคนย่างกรายขึ้นมาทั้งฉากหน้า ฉากหลังของเวที และเริ่มการแสดงให้ทุกคนได้ชม

แต่หากย้อนมาดูฉากหลังของการแสดงแล้ว มักไม่มีใครรู้เรื่องราวหลังม่านว่าต้องเตรียมงาน ประสานงาน หรือทำงานกันอย่างไรกว่าจะกลายมาเป็นเรื่องราวและการแสดงที่เราเพลิดเพลินบนหน้าฉากการแสดงเหล่านั้น

‘Bangkok’s 27th International Festival of Dance & Music หรือมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ’ ได้จบลงไปแล้ว และได้ทิ้งร่องรอยความทรงจำจากการแสดงสดแขนงต่างๆ ให้ตราตรึงในหัวใจของผู้ชม และเตรียมพร้อมสู่โชว์ครั้งที่ 28 ในปีหน้า 

ท่ามกลางความสำเร็จทั้งในแง่ของคนดู และในแง่ของผู้จัดที่สามารถนำโชว์แขนงต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาจัดแสดงให้คนไทยในประเทศได้เห็นอย่างมีคุณภาพ เบื้องหลังความสำเร็จของมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ คืออะไรกันแน่

 The Momentum มีโอกาสคุยกับ พิสาข์ ไวความดี Production Manager ของ Bangkok’s International Festival of Dance & Music ถึงเบื้องหลังและเคล็ดลับความสำเร็จ ตั้งแต่การประสานงาน ติดต่อกับนักแสดงทั่วทุกมุมโลก ไปจนถึงการจัดให้โชว์มีมาตรฐานระดับโลก ที่เธอเปรียบตัวเองว่าเป็น ‘Facilitator’ หรือผู้คอยอำนวยความสะดวกให้ทุกโชว์ได้แสดงสดอย่างราบรื่น

คำแรกที่นึกถึงเวลาพูดถึงบทบาทตัวเองคือ Facilitator หากถามว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ต้องบอกก่อนว่าโชว์ทุกโชว์ที่มาแสดงกับเรา เป็นโชว์ที่เสร็จมาแล้ว เหมือนเขาแสดงที่บ้านเขาไปแล้ว หรือบางโชว์ได้ทัวร์ไปแล้ว ดังนั้นเราจะไม่ไปยุ่งกับความครีเอทีฟของเขา แต่เราต้องการช่วยอำนวยความสะดวกให้เขานำโชว์เวอร์ชัน 100% มาจัดแสดงบนเวทีหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ให้ได้แบบ 100% หรือ 99.99% หรือให้มันสมบูรณ์ที่สุด”

 Production Manager ยังอธิบายต่อว่า หนึ่งในเคล็ดลับการทำงานไม่ได้มีอะไรซับซ้อน นั่นคือ ‘ความพยายาม’ ทำออกมาให้ดีที่สุด เช่น เวลาทีมโชว์จากต่างประเทศบอกว่า อยากได้แก้วน้ำสีนี้ หากประเทศไทยไม่มีแก้วน้ำสีดังกล่าว ก็ต้องอธิบายไปว่า ของไม่ได้แบบนี้ 100% แต่จะมีของที่เทียบเคียงให้เพื่อให้โชว์ออกมาดีที่สุด

“ปกติเราจะทำ Comparison List ให้เขา ส่วนเวลาการทำงานก็จะเหมือนเขาส่งความต้องการและข้อมูลว่า ของที่เขาจะเตรียมมามีอะไรบ้าง และของที่เราต้องเตรียมมีอะไรบ้าง เราต้องจัดหาให้และทำเทียบเคียงส่งกลับให้กับเขาและดูว่าทีมงานโอเคไหม หากไม่โอเคเขาก็จะบอกเราว่าช่วยหาตัวเลือกใหม่ให้หน่อย มันก็จะอยู่ในช่วงเวลาเตรียมงานประมาณ 5 เดือน เราจะพยายามหาสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่เขาอยากได้มากที่สุด หรือเป็นสิ่งที่เขาสามารถปรับแล้วออกมาเหมือนตามที่เขาต้องการ”

 พิสาข์ยังอธิบายต่อว่า การอำนวยความสะดวกมีหลายรูปแบบ เช่น ทีมงานต่างประเทศนำของมาเอง แต่ทีมงานคนไทยช่วย Set Up, ทีมงานไทยช่วยหาอุปกรณ์, ทีมงานไทยซัพพอร์ตตั้งแต่เรื่องรถ โรงแรม ไปจนถึงตารางการทำงานว่าซ้อมวันไหนบ้าง

ส่วนการเตรียมงานกว่าจะเป็นโชว์ในปีที่ 27 ของมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ใช้เวลาเตรียมงานตั้งแต่เดือนเมษายน และเริ่มโชว์ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา 

“ภาษาก็มีส่วนกระทบบ้างในการทำงาน เพราะมีภาษาที่หลากหลายมาก แต่บางครั้งการที่มีความหลากหลายด้านภาษาก็ทำให้เราได้คุยกันตรงมากขึ้น เช่น คนที่ภาษาอังกฤษไม่ได้แข็งแรงมากและไม่ได้ขอล่าม เราก็จะคุยกันด้วยภาษาเทคนิคเป็นหลัก

“หรืออย่างบางประเทศที่ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย เช่น รัสเซีย จีน และญี่ปุ่น ล่ามจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากถามว่ามีอุปสรรคไหม ก็อาจทำให้การสื่อสารช้าลงบ้าง เช่น เราไม่สามารถบอกได้ทันทีว่าอยากได้แบบนี้ ต้องไปกวักมือเรียกล่ามมาก่อน 

 “แต่ถ้าทุกอย่างมันลงตัวผ่านการเซตอัปแล้ว ส่วนใหญ่ภาษาและวัฒนธรรมก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่สิ่งที่ท้าทายเราจริงๆ และรู้สึกว่าสนุก (หัวเราะ) คือพอเราทำไปสักพัก 2-3 ปีจะเริ่มรู้เทรนด์ว่าชาตินี้เป็นคนแบบนี้ หรือแม้ว่าเขาจะมาจากประเทศเดียวกันแต่ต่างคณะ เราก็จะรู้ว่าต้องรับมือแต่ละคณะอย่างไร”

แม้ว่าจะต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ‘ความคาดหวัง’ ที่ทั้งทีมงานต่างประเทศ และทีมงานโลคอลต้องการให้โชว์ออกมาดีที่สุด จึงทำให้งานของทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกัน 

“จริงๆ เราก็ไม่แน่ใจว่าความคาดหวังจริงๆ ของทีมงานต่างประเทศคืออะไร แต่เราคิดว่าเขาคงคาดหวังให้โชว์ออกมาดีที่สุด ซึ่งส่วนนี้เราก็ซัพพอร์ตอยู่แล้ว เพราะจริงๆ นี่คือเป้าหมายหลักของเรา เป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ที่เราต้องดูแลโปรดักชัน ตั้งแต่ดูแลทีมมาร์เก็ตติงว่าจะขายบัตรได้ไหม หรือการเลือกโชว์มาแสดง ถ้าเราไม่สามารถซัพพอร์ตได้ หรือทำโปรดักชันได้ไม่ดี งานของทีมอื่นๆ คนอื่นๆ ก็จะเสียเปล่า 

“นึกออกไหม เหมือนเราแบกความคาดหวังของทุกคน เพราะฉะนั้นความคาดหวังของทีมงานต่างประเทศก็เหมือนทีมงานเรา ที่อยากทำโชว์ที่ดีที่สุดให้คนไทยได้มาชม อยากได้รับเสียงปรบมือจากคนไทย อยากให้ทุกคนชื่นชมและอยากกลับมาดูใหม่”

ส่วนความคาดหวังต่อคนดู พิสาข์ระบุว่า อยากให้การแสดงสด (Live Performance) กลายเป็นเทรนด์หนึ่งในสังคม เป็น Genre ใหม่ๆ และมีพื้นที่ที่เปิดรับโลกของการแสดงมากขึ้น 

“ถ้าคุณยังไม่เคยมาดู ก็ลองมาดูเราได้ เราอยากให้ทุกคนรู้จักเรา และอยากให้ทุกคนเปิดใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่า Live Performance อย่างเดียวที่ฉันจะดูคือ คอนเสิร์ตอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ ยังมีการแสดงสดให้เลือกดูอีกมากมาย

“เรารู้สึกว่า Live Performance เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ มันเป็นการเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเวลาที่เราดูการแสดงผ่านจอ มันก็เป็น One-way Communication ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้รับ-ส่งอะไรกัน 

“แต่ว่าเวลาที่เราดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที คนดูรับเอเนอร์จีจากนักแสดง แล้วเวลาสิ่งที่คนดูส่งกลับไป ก็จะส่งผ่านเสียงปรบมือ หรือเสียงเชียร์ ซึ่งมันเหมือนเป็นเอเนอร์จีที่ทำให้นักแสดงยิ่งอยากแสดงกลับมา 

“คือคุณต้องลองมาดูสักครั้ง แล้วจะรู้สึกได้เลย เหมือนเป็นเวทมนตร์ ที่สมมติเราดูหนัง ทุกอย่างสามารถเป็น CG ได้ เช่น มีมังกร หรือ Harry Potter บินได้ แต่ถ้าเราจะเอา Harry Potter มาเล่นบนเวที เราจะทำอย่างไรให้ตัวละครบินได้ เราจะ Convince คนอย่างไร และเราจะทำสิ่งเหล่านี้อย่างไรในโรงละคร แต่ด้วยเวทมนตร์ของเทียเตอร์ มันจะทำให้อารมณ์ที่ได้รับแตกต่างออกไป ทุกคนต้องลองมาดู”

หากใครที่พลาดการแสดงในปีนี้ สามารถเตรียมพร้อมสำหรับ Bangkok’s 28th International Festival of Dance & Music ในปีหน้า แล้วมารอดูกันว่าทางทีมงานจะนำการแสดงสุดอลังการและหลากหลายแบบไหน มาเคาะประตูหน้าบ้านให้คนไทยได้ชมถึงในประเทศ

Tags: ,