หากให้ลองนึกชื่อ ‘นักพากย์มืออาชีพ’ ขึ้นมาสักคน คุณจะนึกถึงใครบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน หรือแอนิเมชัน เราเชื่อว่าเหล่ามักเกิลที่ดูพากย์ไทยเพียงผ่านๆ อาจนึกออกเพียงไม่กี่ชื่ออย่าง น้าต๋อย เซมเบ้, น้าติ่ง หรือทีมพากย์จากพันธมิตร
แต่นั่นเป็นเพียง ‘ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง’ เพราะบุคลากรจากวงการนี้ยังมีอีกหลายคนที่คร่ำหวอดมานาน แล้วเหตุใดกันชื่อของนักพากย์คนอื่นๆ ถึงไม่ค่อยคุ้นหูหรือถูกนำเสนอในสื่อมากนัก อีกทั้งยังกลับแทนที่ด้วยชื่อของ ‘ดารา’ มากขึ้น
แล้วในยุคที่ชื่อเสียงกลายเป็นแต้มต่อทางการตลาด รูปลักษณ์ภายนอกกลายเป็นบัตรผ่านในทุกแขนงของสื่อบันเทิง คำถามคือ แล้วนักพากย์เสียงมืออาชีพควรยืนอยู่จุดใด เมื่อยุคนี้ต้องแบ่งไมค์กับดารา
‘ดารา’ เครื่องทุ่นแรงในการ PR ที่ทรงศักยภาพที่สุด
หลายคนคงเคยเห็นกระแสการพากย์เสียง Superman (2025) ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเมื่อไม่นานมานี้ ผ่านการเปิดชื่อนักพากย์ตัวละครหลักอย่าง เอม-สรรเพชญ์ คุณากร ที่กลายเป็นประเด็นร้อนทั้งด้านบวกและลบบนโซเชียลฯ
โดยเฉพาะกับแฟนคลับบางกลุ่ม ที่ถาโถมคำวิจารณ์อย่างหนักหน่วง ลามไปถึงบุพการีของเจ้าตัว ถือเป็นพฤติกรรมที่เกินขอบเขตและไม่สมควร ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับประเด็นดาราพากย์เสียงไม่ถูกใจคอหนัง เพราะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอยู่บ่อยครั้ง เป็นต้นว่า กรณีของ โบกี้ไลออน (Bowkylion) ใน The Little Mermaid (2023), ไอซ์ พาริส ใน Kimetsu No Yaiba : Mugen Ressha Hen (2020) หรือ ณเดชน์ คูกิมิยะ ใน Jurassic World Rebirth (2025) แต่ประเด็นนี้ก็ยังวนกลับมา เพียงเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ อยู่ดี
แล้วทำไมภาพยนตร์หรือแอนิเมชันดังหลายๆ เรื่อง ถึงยังเลือกใช้นักพากย์มือใหม่ แต่คุ้นหน้าคุ้นตาในวงการบันเทิง
จากบทความของ Voice Over Herald อย่าง Celebrity Voices Actor Bring Studios Big Bucks ระบุว่า ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายๆ เรื่อง เช่น The Lion King (2019), Frozen (2013) หรือ Finding Nemo (2003) ต่างใช้กลยุทธ์เดียวกันในการเลือกนักพากย์ดาราระดับไฮเอนด์มาให้เสียงตัวละครหลัก โดยผลลัพธ์ไม่ใช่แค่ ‘เสียงดี’ อย่างเดียว แต่ยังหมายถึง ‘พลังแห่งการตลาด’ ที่ดึงคนดูตั้งแต่หนังยังไม่เข้าโรงอีกด้วย
และที่ไทยก็ใช้สูตรเดียวกัน ดูได้จากการเปิดตัวนักพากย์ดาราในเรื่องอย่าง Disney’s Snow White (2025) โดย โบว์ เมลดา, How to Train Your Dragon (2025) โดย ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน และสยาโม หรือ Disney’s Mufasa: The Lion King (2024) ที่ได้ณเดชน์, ต้าห์อู๋ พิทยา และแก้ม วิชญาณี รวมถึงอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งถูกวิจารณ์จากชาวเน็ตทั้ง 2 แง่มุม แต่ก็ทำให้กลุ่มแฟนคลับที่อาจไม่เคยติดตามหนังมาก่อน ซื้อตั๋วมาฟังเสียงศิลปินที่ตนชื่นชอบด้วย
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การพากย์อาจไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘การใช้เสียง’ อีกต่อไป แต่คือเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้แสงของดาราดึงดูดคนดูเข้ามา ทว่าเหรียญย่อมมีสองด้าน หากได้ดาราพากย์ดีก็เปรียบเสมือนโชคใหญ่หล่นทับ แต่หากได้ดาราพากย์ไม่ตรงคาแรกเตอร์ก็จะเกิดประเด็นว่า ‘ทำไมต้องเอาดารามาพากย์เสียง’ ย้อนกลับมาฉายซ้ำๆ
เสียงจากพรสวรรค์และพรแสวงไม่สามารถก่อกำเนิดในไม่กี่เดือน
แม้ว่าดาราพากย์เสียงจะเป็นที่พูดถึงและดึงคนดูก็จริง แต่หัวใจสำคัญของการพากย์ย่อมหนีไม่พ้น ‘นักพากย์มืออาชีพ’ ที่มีชั่วโมงบินการทำงานสูง บางคนอาจมองว่า การจะพากย์หนังสักเรื่อง แค่ดัดเสียงเก่งก็เป็นได้แล้ว แต่สิ่งที่ยากคือ การส่งผ่าน ‘อารมณ์’ ให้คนดู ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้
บทบาทของนักพากย์มืออาชีพไม่ใช่เพียงแค่ ‘อ่านบท’ แต่ต้องใช้เสียงได้อย่างแม่นยำ สื่ออารมณ์ครบถ้วน และรักษาความต่อเนื่องให้สอดคล้องกับเรื่องราวจนจบ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความชำนาญสูงและเข้าใจบทอย่างลึกซึ้ง นักพากย์จึงต้องมีความสามารถในการปรับเสียงและสไตล์ให้เหมาะกับบทบาทที่หลากหลาย เพราะไม่สามารถพากย์บทเดียวเสียงเดียวไปได้ตลอดชีวิต
วงการนี้เราจึงเห็นนักพากย์ชายพากย์เสียงให้ตัวละครหญิง หรือนักพากย์หญิงพากย์เสียงให้ตัวละครชายเป็นเรื่องปกติ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนและประสบการณ์ การพากย์เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ไม่ต่างจากงานวาดรูป งานช่าง หรืองานประดิษฐ์
อีกทั้งการใช้มืออาชีพไม่ได้หมายความว่า จะไม่สามารถสร้างเม็ดเงินให้แก่นายทุนได้ เพราะมีภาพยนตร์หรือแอนิเมชันจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช้ดาราเรียกคนดู ก็สร้างชื่อเสียงได้ด้วยตัวเอง อย่างการประกาศรายชื่อนักพากย์ล่าสุด ของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Demon Slayer Kimetsu no Yaiba Infinity Castle (2026) ที่ใช้นักพากย์อาชีพล้วนทั้งทีม ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนๆ จำนวนมากเช่นกัน
มองนักพากย์ญี่ปุ่นแล้วหันกลับมาดูไทย
เราอาจดูตัวอย่างจากการพากย์เสียงของอนิเมะญี่ปุ่นที่ใช้นักพากย์มืออาชีพ (Seiyuu) ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากกว่าการพากย์เสียงประกอบ แต่กลายเป็น ‘ศิลปิน’ ที่มีฐานแฟนคลับเฉพาะกลุ่มอย่างเหนียวแน่น และถูกยกให้เป็นบุคคลสำคัญที่ดึงดูดผู้ชมเข้าหาผลงานได้โดยตรง
ซึ่งแฟนคลับของ Seiyuu ไม่เพียงแต่ติดตามผลงานการพากย์ แต่ยังรวมถึงกิจกรรมส่วนตัว คอนเสิร์ต งานเปิดตัว หรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ยอดเอนเกจของอนิเมะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
โมเดลนี้สะท้อนระบบที่ให้คุณค่ากับนักพากย์เสียง ในฐานะสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม มากกว่าองค์ประกอบฉากหนัง แต่ในไทยนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะสายไปหรือไม่ เหตุเพราะความนิยมจากการพากย์เสียงมีปัจจัยอื่นมาเอี่ยวด้วยเสียแล้ว
แสงและอำนาจแห่งความงาม อาจกำลังกลืนกินวงการนักพากย์อาชีพ
หนึ่งสิ่งที่สำคัญ คงหนีไม่พ้นปัจจัยชื่อเสียงและความงามที่แปะหราบนหน้าดาราหรือศิลปิน สิ่งนี้กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการเข้าถึงพื้นที่สื่อ และเป็นใบเบิกทางให้กับหลายโอกาสได้ง่ายกว่าคนปกติ
และนักพากย์ไม่มีในจุดนั้น อำนาจแห่งความงามและแสงจึงเริ่มกลืนกินพื้นที่ของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย ความสวยหล่ออาจไม่ใช่เรื่องของ ‘การตลาด’ แต่กลายเป็น ‘บิวตีพริวิลเลจ’ ที่ช่วยให้คนกลุ่มหนึ่งได้เปรียบในงานบันเทิงแขนงอื่นๆ อย่างชัดเจน
แม้คนกลุ่มนี้จะมีความสามารถที่สังคมยอมรับ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หน้าตาเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเปิดใจมองและยอมรับคุณค่ามากยิ่งขึ้น ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ การมองเห็น และการให้คุณค่าของความงาม ของคนที่มีความสามารถด้านเสียง แต่หน้าตาไม่โดดเด่น อาจถูกบดบังด้วยเปลือกนอก
อย่างไรก็ตามการตีตราว่า การนำดารามาพากย์เสียงเท่ากับงานแย่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เพราะยังมีดาราอีกหลายคนที่พากย์เสียงได้ดีจนอยู่ในใจแฟนๆ มาถึงปัจจุบัน เช่น สรพงศ์ ชาตรี ใน Toy Story (1995-2019), หนุ่ม สันติสุข ใน Ice Age (2002), เจี๊ยบ ชวนชื่น ใน Megamind (2010), จิ้ม ชวนชื่น ใน Shrek (2001) หรือดีเจเชาเชา ใน Kung Fu Panda (2011-2024) ก็ล้วนแต่เป็นโอกาสให้นักแสดงได้เผยศักยภาพและทลายกำแพง ‘ดาราพากย์เสียง’ จนถูกยอมรับในที่สุด
เสียงของดาราไม่ใช่โทษมหันต์ แต่ต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม
นักพากย์มืออาชีพหลายคน เช่น น้าต๋อย เซมเบ้, ม็อบ กิตติธร หรือโต๊ะ พันธมิตร ตอบในบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้อยู่บ่อยครั้งว่า การที่ดารามาพากย์เสียงไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการคัดเลือก และนักพากย์ก็ต้องปรับตัวต่อการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามทุกงานย่อมมีการแข่งขันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งกับอาชีพนักพากย์ซึ่งเป็นอาชีพฟรีแลนซ์ คนในวงการด้วยกันเองก็ต้องพิสูจน์ความสามารถเป็นเท่าตัว แต่บัดนี้กำลังมีคู่แข่งอย่างดาราเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นคู่แข่งที่มีแต้มต่ออย่างชื่อเสียงและหน้าตาจึงทำให้มีโอกาส ก็อาจเป็นข้อเสียเปรียบของนักพากย์อยู่ดี
เพราะในงานที่ใช้แค่เสียง ผู้จัดหลายๆ เรื่องอาจเลือกคนที่ ‘หน้าตา’ มากกว่าคนเจนประสบการณ์ เพราะมองผลทางการตลาดมากกว่าคุณภาพการเล่าเรื่อง คนทำงานเสียงมืออาชีพที่สั่งสมฝีมือมา กลับต้องเฝ้ามองโอกาสหลุดลอยไป เพียงเพราะไม่มีรูปลักษณ์ที่ขายได้ คิดว่าแบบนี้ยุติธรรมแล้วหรือ
แล้วเราจะสามารถผลักดันวงการนี้ให้เดินหน้า โดยไม่ลดทอนบทบาทของนักพากย์มืออาชีพได้อย่างไร
อาจเริ่มจากการคัดเลือกนักพากย์จากเสียงจริงๆ ให้คุณค่ากับคนเบื้องหลัง สามารถขึ้นหน้าสื่อได้อย่างภาคภูมิใจ มีสวัสดิการที่เป็นธรรมให้นักพากย์ด้วยเรตค่าจ้างที่สมเหตุสมผล
นอกจากนี้ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองทางสังคม ให้เคารพสายงานเฉพาะทาง ไม่ยึดโยงเพียงแต่มาตรฐานและอภิสิทธิ์ทางความงามเท่านั้น
ท้ายที่สุดสำหรับผู้ชมอย่างเรา เราอยากฟังเสียงที่พอดีกับตัวละคร หรือเสียงที่ดังอยู่นอกจอกันแน่ หากยังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน เราอาจต้องยอมรับว่า ในประเทศที่ภาพมาก่อนเสียง ความสามารถของบางคนอาจไม่มีวันดังพอจะขึ้นจอได้
อ้างอิง
– https://www.voiceoverherald.com/celebrity-voice-actors-bring-studios-big-bucks/
Tags: อนิเมชัน, พากย์เสียง, พากย์, ภาพยนตร์, ดารา, อนิเมะ, นักพากย์, Entertainment, ดาราพากย์เสียง