[1] 

“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้…แล้วเมื่อไร” ความดัตช์กับอนาคตของชีววัสดุ 

VEEM ตึกเก่าที่กำลังถูกปรับปรุงในเป็นที่อยู่อาศัย หนึ่งในสถานที่จัดนิทรรศการ DDW19

งานแสดงนิทรรศการ Dutch Design Week (DDW) ไม่ใช่เป็นเพียงการติดฉลากในงานออกแบบหรือวิธีการออกแบบของชาวดัตช์ แต่งาน DDW คือการสะท้อนวัฒนธรรมและทัศนคติที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาวเนเธอร์แลนด์ ผ่านออกงานนิทรรศการที่มุ่งเน้นไปที่การออกแบบในอนาคตและอนาคตของการออกแบบ

สำหรับชาวดัตช์นั้น Dutch Design เป็นทัศนคติ (attitude) ไม่ได้หมายถึงสัญชาติ การมองไปในอนาคตและตั้งคำถามที่ถูกต้องเพื่อหาคำตอบในการแก้ไขปัญหาหรือที่เรียกว่า (solution-oriented approach) เป็นทัศนคติในการออกแบบของชาวเนเธอร์แลนด์ นอกจากนั้นการรับฟังและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งที่ชาวดัตช์นั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

 Dutch Design Week จัดขึ้นที่เมือง Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทุกปีในฤดูใบไม้ร่วง ในปี 2019 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 27 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีงานนิทรรศการ งานจัดแสดงนวัตกรรม งานบรรยาย งานสถาปัตยกรรมชั่วคราว (pavilion) รวมถึง บาร์ และ ร้านค้าต่างๆ กระจายไปทั่วเมือง โดยภาษิตของงานในปี 2019 นี้คือ “ถ้าไม่ใช่ตอนนี้…แล้วจะเมื่อไร” (if not now, then when?) ซึ่งต่อเนื่องมาจากปี 2018 “ถ้าไม่ใช่พวกเรา…แล้วใครล่ะ” (if not us, then who?) โดยตัวงานสะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงศักยภาพของนักการออกแบบที่ส่งเสริมอนาคต การออกแบบที่ใส่ใจความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  

หนึ่งในไฮไลท์ของงานนี้ อยู่ที่เมือง Eindhoven นั่นคือ Strijp-R พื้นที่โรงงานเก่าที่เคยทำเครื่องเซรามิก ชิ้นส่วนประกอบวิทยุและทีวี ซึ่งในขณะนี้กำลังถูกพัฒนาและฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย สันทนาการ และการกีฬา การเก็บรักษาไว้ซึ่งมรดกทางประวัติศาสตร์ของเมืองอุตสาหกรรมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในการฟื้นฟูครั้งที่นี้

ซึ่งก่อนที่การปรับปรุงนี้จะถูกอนุมัตินั้นจะต้องผ่านการค้นคว้าและศึกษาถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ของเมืองก่อน

ภายในพื้นที่โครงสร้างเก่าของอาคาร เสาและ facade (ส่วนหน้าของอาคาร) รวมทั้งโครงสร้างเหล็กรอบๆ พื้นที่ เช่นท่อน้ำและสายไฟ ได้ถูกเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งในเอกลักษณ์ของเมืองนี้ ขณะที่เราเดินไปรอบๆ เราจะรับรู้ถึงความดิบของวัสดุ กลิ่นอายของสนิม โครงเหล็กและท่อมากมายที่พันพาดอยู่บนหัวของเราขณะที่เราเดินไปตามทางเดิน ล้อมรอบไปด้วยตึกที่สร้างด้วยอิฐและกระจก ทำให้เราหวนคิดถึงเสียงเครื่องจักรและภาพของเหล่าคนงาน ในสมัยที่อุตสาหกรรมแห่งนี้กำลังเติบโต ตึกเก่าที่สร้างด้วยอิฐและกระจกสูงเพื่อรับแสงถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นที่จัดนิทรรศการ หนึ่งในสถานที่จัดงานนำเอานั่งร้านและตาข่ายสีฟ้ามาคลุมตัวตึกก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบโปรแกรมของตึกที่กำลังถูกปรับปรุงให้กลายเป็นที่จัดแสดงงานออกแบบ สร้างบรรยากาศที่ดึงดูดผู้คนได้ดีทีเดียว 

Biobasecamp- โดยสถาปนิก Marco Vermeulen

[2] 

“If not now, then when”   

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่าน ผู้คนได้ตื่นตัวต่อสภาวะร้อนโลก อากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ การรณรงค์ลดใช้ถุงพสาสติก และหันมาใช้ถุงผ้า เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่เป็นปัจเจกนิยม การเคลื่อนไหวสีเขียวถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือการตลาดของผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการต่างๆ การฟอกเขียว (greenwashing) ที่ทำให้สินค้าหรือบริการดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงกระบวนการผลิตหรือแรงงานที่ใช้นั้น ยังคงผลิตและปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในจำนวนที่เท่าเดิม แน่นอนการส่งเสริมให้คนปรับเปลี่ยนวิถีในการดำรงชีวิตด้วย ลด ใช้ซ้ำ และรีไซเคิล นั้นเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรทำ แต่คำถามคืออะไรคือก้าวต่อไปของ green movement ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมองภาพในวงกว้างออกไปจากพฤติกรรมส่วนบุคคล ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ภาครัฐจะสร้างข้อตกลงและนโยบายสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ กับเศรษฐกิจสีเขียว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะนำเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยที่สามารถเปลี่ยนวิธีการผลิตหรือย่อยสลายวัสดุที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีดำเนินชีวิตในวงกว้าง ถ้าไม่ใช่ตอนนี้…แล้วจะเป็นเมื่อไร 

สวนดาดฟ้าของ Biobasecamp

Biobasecamp 

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน Dutch Design Week ในปีนี้จึงเป็นเรื่องการต่อกรกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนและสิ่งแวดล้อมด้วยวัสดุชีวภาพในงานสถาปัตยกรรม ชีววัสดุมีศักยภาพและความสำคัญในการลดลงการพึงพาวัสดุที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ในปัจจุบันตามที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศรายงาน การใช้ซีเมนต์ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในการผสมคอนกรีตในอุตสาหกรรมก่อสร้างนั้น คิดเป็น 7% ของจำนวนก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาทั่วโลก 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามาถลดภาวะโลกร้อนคือการลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่เรากำลังค้นคว้าเทคโนโลยีที่สามารถสกัดก๊าซ CO2 ออกจากชั้นบรรยากาศนั้น ต้นไม้คือคือเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพและกำลังเดินเครื่องอยู่ ทุกๆ วันต้นไม้กำลังดูดซับก๊าซ CO2 ในอากาศและแปลงก๊าซเหล่านั้นเป็นกลูโคสและไม้ ไม้สะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ และจะปล่อยก๊าซเหล่านั้นออกมาเมื่อไม้ตายและเสี่ยมสลาย เพราะฉะนั้นการเผาไม้ทำให้ก๊าซ CO2 ที่กักเก็บไว้จะถูกปล่อยออกมา ด้วยเหตุนี้การสร้างสถาปัตยกรรมด้วยไม้นั้นจึงเป็นการช่วยสกัดก๊าซ CO2 มาเก็บไว้ในตัวอาคาร โดยวัสดุที่ทำจากไม้นั้นสามารถสะสม CO2ประมาณ 1 ตัน ต่อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตร แทนที่จะปล่อยให้มันหลุดออกไปในชั้นบรรยากาศ

ที่ตั้งอยู่ในใจกลางของโซนฟื้นฟู Eindhoven Strijp-R ใน DDW19 คือพาวิลเลียนที่สร้างจากไม้ทั้งหมด ภายใต้ชื่อ Biobasecamp เพื่อกระตุ้นแนวคิดสถาปัตยกรรมชีวภาพในอนาคต ตัวพาวิลเลียนถูกออกแบบเป็นสวนดาดฟ้าไว้เป็นจุดชมวิว โดยพื้นและบันไดสร้างด้วยไม้แผ่นตามขนาดไม้ 16 เมตร x 3.5 เมตร โดยแผ่นไม้เหล่านี้ประกอบด้วยวิธี cross-laminated (CLT) ที่สามารถเพิ่มความหนาและขนาดได้ตามต้องการ สวนชั้นลอยนี้ตั้งอยู่บนโครงสร้างของลำต้นของต้นไม้ (Poplar tree) ลำต้นไม้เหล่าถูกตัดลงเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน ระหว่างทางด่วนมอเตอร์เวย์จากเมือง Den Bosch สู่เมือง Eindhoven 

โดยตัวใต้ถุนนี้เป็นที่ใช้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับไม้ แบบลำลองสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ รวมถึงบาร์และคาเฟ่ โดยตัวสถาปนิก Marco Vermeulen หวังว่าตัวพาวิลเลียนนี้จะเป็นสื่อในการรณรงค์ให้อุตสาหกรรมก่อสร้าง รัฐ และประชาชน เห็นถึงประโยชน์ของสถาปัตยกรรมไม้ เขายังกล่าวถึงปัญหาการแคลนที่อยู่อาศัยในอนาคตและการใช้ไม้เป็นวัสดุโครงสร้างที่สามารถสะสมคาร์บอนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศอีกด้วย 

เขากล่าวว่า “บ้านหนึ่งหลังจะใช้ไม้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ลูกบาศก์เมตร ถ้าเฉลี่ยจากพื้นที่ป่าเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 140,000 เฮคเตอร์ จะถ้าสร้างบ้านได้ปีละ 22,400 หลัง”

[3]

The Growing Pavillion โดย Company New Heroes

The Growing Pavillion

อย่างไรก็ตามวัสดุชีวภาพนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ไม้เท่านั้น ถัดออกไปไม่ไกลจาก Biobasecamp เราจะพบวัตถุทรงกลมภายใต้ชื่อ The Growing Pavillion ออกแบบโดย บริษัท Company New Heroes โดยตัวพาวิลเลียนนั้นสร้างจากวัสดุชีวภาพหลายประเภท ไม้ถูกใช้เป็นโครงสร้างของอาคาร แผ่นพื้นทำจากการบีบอัดต้นพืชธูปฤาษี (cattail plant) หลังคากันน้ำด้วยผ้าฝ้าย เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากกระดานฟางข้าว และผนังส่วนนอก (facade) ทำมาจากเส้นใยจากเชื้อรา mycelium 

ผิวสัมผัสและสีของวัสดุอินทรีย์ทำให้ผนังมีเอกลักษณะเฉพาะตัว ผนังด้านนอกเริ่มต้นจากการปลูกเห็ดนางรมโดยเส้นใยในรากของเห็ดเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวผนัง นอกจากนี้ภายในในงานผู้เข้าชมยังสามารถเก็บเห็ดนางรมที่ขึ้นจากวัสดุของผนังกลับบ้านได้อีกด้วย โดยหนึ่งในสถาปนิก Pascal Leboucq ผู้ออกแบบหวังว่าผนังเส้นใยเชื้อรานี้จะไม่เป็นเพียงตัวอย่างของนวัตกรรมในงานนี้เท่านั้น แต่เค้าอยากต่อยอดการใช้วัสดุชีวภาพให้เป็นหนึ่งในทางเลือกของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ด้วยหลักการเดียวกับการใช้ไม้ในงานสถาปัตยกรรมที่กล่าวไว้ช้างต้น วัสดุอินทรีย์สามารถกักเก็บก๊าซ CO2 ไว้ในตัวมัน เป็นการช่วยลดระดับการปล่อยก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศนั้นเอง

Conclusion 

การเลือกปัญหาที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในงานออกแบบ งานวิจัยค้นคว้าในสิ่งเล็กๆ ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ในวงกว้าง คือเอกลักษณ์และทัศนคติในงานออกแบบของชาวดัตช์ Biobasecamp และ The Growing Pavillion อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการกระุต้นให้ ภาครัฐ เอกชน และ ประชาชน เห็นสิ่งโอกาสในอนาคตของอุตสาหกรรมก่อสร้างในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกวันนี้เราพูดถึงการติดฉลากอาคารเขียว การให้รางวัลสำหรับตึกประหยัดพลังงาน แต่หากตึกเหล่านั้นต้องมีการลงทุนกับอุปกรณ์ การติดตั้งเทคโนโลยีที่มีราคาสูงเพื่อทำให้ตึกได้ติดฉลากนั้น สิ่งเหล่าอาจกลับกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้  

ความชำนาญและความเคยชินในวิธีก่อสร้างด้วยคอนกรีตและเหล็กในงานก่อสร้างนั้น อาจทำให้เราลืมนึกถึงวันที่เราขาดแคลนทรัพยากรเหล่านี้ เพราะทุกวันนี้เราใช้น้ำมันฟอสซิลมากกว่าที่โลกสามารถผลิตได้ใน 1000 ปีเสียอีก นอกจากนั้นแล้วเมื่อ 7% ของจำนวนก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยมาในชั้นบรรยากาศของโลกนั้นเกิดขึ้นจากการผลิตซีเมนต์ การเปลี่ยนมาใช้วัสดุชีวภาพอาจจะเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนในอนาคต การสร้างอาคารที่คำนึงถึงจำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ยกตัวอย่างเช่นอาคารสูงที่ใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก แนวคิดอาคารสมดุลคาร์บอน (carbon-neutral building) และ อาคารที่ใช้วัสดุ bio-bsaed สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการณรงค์จากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษในการก่อสร้างสำหรับอาคารเขียว หรือ การเก็บภาษีคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่แน่ในอนาคตการกักกับ CO2 ไว้ในตัวอาคารอาจจะเพิ่มรายได้ ดึงดูดผู้เช่าอาคาร หรือลดหย่อนภาษีแก่ผู้ประกอบการก็เป็นได้

 

อ้างอิง:

https://www.ddw.nl/en/press/press-archive/410/new-ways-of-building-showcased-at-dutch-design-week

https://www.diederendirrix.nl/en/projecten/masterplan-strijp-r-2/

https://marcovermeulen.eu/en/projects/biobasecamp/

https://companynewheroes.com/project/the-growing-pavilion/

Tags: , , ,