ห้าปีก่อน หรือถ้าจะกล่าวถึงให้แม่นยำคือวันที่ 23 เมษายน 2014 ชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยจินตภาพผ่านถ้อยคำได้ถูกพรากจากแสงตะวันและแสงจันทร์ด้วยกระสุนปืน เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีประโยคหนึ่งอิงแอบมาด้วยเสมอ
It doesn’t matter how smart you are, when reason comes up against force, force always win.
เพราะสำหรับคนบางกลุ่มแล้ว การลบเหตุผลทิ้งง่ายดายกว่าการต่อสู้กับมัน
ไม้หนึ่ง ก. กุนทีจากไปเมื่ออายุ 45 ปี จากไปในช่วงอายุที่หลายคนมีความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิต เพราะเป็นวัยที่ผ่านร้อนรู้ลมหนาวจนนิ่งพอจะรับมือกับความเป็นไปในใจตนและโลกภายนอก อาจเป็นเพราะเขารู้ทันเกินไป รู้ดีเกินไป ใครบางคนจึงไม่ยอมให้เขาได้ใช้ชีวิต
ถึงแม้เขาจะจากไปแล้ว แต่ความคิดของเขายังคงอยู่ และเพื่อระลึกถึงเขา จะมีอะไรดีไปกว่าการอ่านและทำความเข้าใจ
กวีราษฎร เป็นหนังสือรวบรวมบทกวีของไม้หนึ่ง ก. กุนที ที่จัดพิมพ์ขึ้นในวาระครบรอบการจากไปครบห้าปี ทางครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนิทชิดเชื้อของไม้หนึ่งได้รวบรวมบทกวีที่เคยตีพิมพ์เผยแพร่แล้วและต้นฉบับลายมือเขียนที่ยังไม่เคยได้รับการเผยแพร่จากสมุดบันทึกมารวบรวมไว้ในที่เดียวกัน
หากบทกวีคือชีวิตของไม้หนึ่ง การรวบรวมผลงานทั้งหมดไว้ด้วยกันครั้งนี้คือการตีแผ่ให้เห็นการดำเนินไปของท่วงทำนองการใช้ชีวิตของชายคนหนึ่ง ชายที่มีรสของถ้อยคำเป็นความหมายของชีวิต
บทตอนของชีวิตกวีได้ถูกแบ่งเป็นหกภาค เริ่มต้นด้วย ‘จากสมุดบันทึก’ ที่ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เหมือนสนามฝึกซ้อมทางความคิด บทกวีหลากหลายประเด็นทั้งแบบมีชื่อเรียกและไร้ชื่อเสียงเรียงนามได้ถูกนำมารวบรวมไว้ เพื่อให้เห็นว่าในความคิดที่ไม่เคยถูกเปิดเผยนั้นกวีคิดอะไร และคิดแบบไหน ก่อนที่จะขึ้นเวที
การคิดเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
วิธีการออกสู่คำพูด อักษร
และวิธีปฏิบัติ
โดยคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดต่างหากละ
ที่พิเศษ.
‘บางเราในนคร’ เป็นชื่อของผลงานเล่มแรกที่ได้รับการรวมเล่ม และเป็นภาพของไม้หนึ่งบนเวที เรื่องราวในส่วนนี้จะเวียนวนอยู่กับการตั้งข้อสงสัยและค้นหาความหมายของวัยหนุ่ม สำเนียงที่เห็นได้ชัดในน้ำเสียงเจือไปด้วยความรัก ความโดดเดี่ยว และความทรนงในศักดิ์ของอาชีพค้าขายเลี้ยงตนที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของกวี เมื่อความแตกต่างของลักษณ์ในงานได้ถูกหลอมรวมกันเข้ากับความคิด เอกลักษณ์อันพิสดารก็ปรากฎ
ปังตอหนักแปดขีด
ข้าพเจ้ากรีดไปมาบนตัวเป็ด
ไร้กฎเกณฑ์และไร้กลเม็ด
เคล็ดลับเคยมี เป็นอดีต
แทบมิมีใดกำหนดในทรงจำ
ผลักกระทำตามภาวะของคมมีด
ซ้ายกระชาก ขณะขวาสับ กรายกรีด
มีช่องขีดระยะหว่างสองมือ
ซ้ายไม่กระทบขวา ขวาไม่กระทบซ้าย
สองฝ่ายประสานประคองถือ
ล้วนได้จากการกระทำและฝึกปรือ
นักทฤษฎีเพียงเห็นหรือจะเข้าใจ
ปังตอข้าพเจ้าหนักแปดขีด
เป็ดย่างทุกตัวสยบใต้
หลอมรุนแรงเข้ากับละมุนละไม
ปรากฎในทุกสับกรีด คมปังตอ.
หลังจากผ่านช่วงเวลาเร่าร้อนของวัยหนุ่ม การครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกก็ก่อรูปขึ้นในบทกวี สำเนียงของการตั้งคำถามที่เกิดขึ้นจากภาวะที่พ้นจากสมัยใหม่ แนวคิดต่างๆ ที่ไม้หนึ่งศึกษาและตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นพุทธทางเลือกและสาขา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน เต๋า เพลง ภาพยนตร์ ได้รับการรวมเล่มในชื่อของ ‘รูปทรง มวลสาร พลังงาน และความรัก’ ภาพที่เห็นในตอนนี้คือการใคร่ครวญอย่างจริงจัง และจริงใจกับสิ่งที่สนใจด้วยรอยยิ้มของคนขี้เล่นที่รู้ว่าตัวเองกำลังทดลองทำอะไรอยู่
ไม่มีอักษรจีนสีเหลือง
ไม่มีธงสามเหลี่ยม
ไม่มีกระดาษตะกั่ว-
พับเตรียมไว้ลอยกระทง
ไม่จุดธูปให้ควันความดีฟุ้งขจาย
ไม่ได้ลงรายชื่อที่ศาลเจ้า
ไม่มีหมูป่า J
ไม่มีหูฉลาม J
ไม่มีขบวนการเมนู J
อธิษฐานนิดหน่อยกับตัวเอง
หายใจสบายๆ อย่างช้าๆ
ชุดที่ใส่ก็ไม่ใช่ขาวเนี้ยบๆ
ข้าวกล้องต้มแกล้มกับเต้าเจี้ยว,
เต้าหู้ยี้ก้อนเดียว, ลูกหนำเลี๊ยบ,
ถั่วยี่สงคีบติดปลายตะเกียบ
บริโภคในความเงียบสงบ.
เมื่อไม้หนึ่งมีลูก ความรับผิดชอบและสายตาของพ่อได้เข้ามามีอิทธิพลในบทกวี ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูประคบประหงม ทำความเข้าใจกับอนาคตได้ถูกรวบรวมไว้ในชุดกวีที่ไม่เคยตีพิมพ์รวมเล่มชื่อ ‘ลูกชาย’
กระโจ๊ของใครนี่เผลี่ยว
ผุดช่องเตี่ยวออกมาแผล่มๆ
เหมือนดอกจำปีไม่แย้ม
เฉิดแฉล้มมีชีวิตชีวา
กระแจ๊มของใครนี่เหลียว
ผู้ใด๋เหลาแหลมเปี๊ยบราวแหลนคมกล้า
จะเป็นเนื้อหนังมังสา
โจนหมุนปฏิจจสมุปบาท
กระจ๊วยของใครนี่เสียว
จะขยายและเหี่ยว วนมรณะเวียนชาติ
สงบ หรือ อาละวาด ?
ใน สกปรกและสะอาด ของโลกียะ
ตอนนี้มันยังกระจึ๋ง
จึงโผล่และผึ่งอย่างอิสระ
ธรรมยังไม่วัฒนะ
รอปรุงแต่งสัจจะจากวัฒนธรรม.
ใน ‘บางใคร’ ซึ่งเป็นส่วนที่สั้นที่สุดในภาคกวีทั้งหก บทกวีของไม้หนึ่งเริ่มมีทิศทางไปในการพูดถึงชีวิตคนกลุ่มต่างๆ ในหลายแง่มุม ทั้งชนกลุ่มน้อย ชนชั้นล่าง ผู้หญิงในวรรณกรรม อาจกล่าวได้ว่าในภาคนี้เป็นการรวมบทกวีที่ว่าด้วยลักษณะชีวิตของผู้คน
สามสิบสี่หนาว รวดร้าวรึ ?
มิใช่โฉมสะคราญคร่ำครึในหอห้อง
มณฑาป่าเป็นที่ปรารถนาปอง
ไยนางต้องยินยอมอยู่เดียวดาย
สามสิบสี่หนาว ราวไร้รัก
รูปเงาใครจำหลักมิรู้หาย
ก้นบึ้งใจนางโจรกลับงมงาย
อยู่กับมันคนใกล้ที่ไกลเกิน
จับอิดนึ้ง เอย เซียวจับอิดนึ้ง
สนิทสนมกันจนไร้ความเคอะเขิน
คำ ตั่วเจ้ เซี่ยวตี๋ ยามหยอกเอิน
ยั่วล้อเพียงผิวเผินแต่เสียดลึก
ที่ผ่านมาสนใจรักแต่ผู้อื่น
คนรอคอยนางทุกคืนไม่รู้สึก
เมาน้ำตากี่ร้อยลิตรค่อยคิดนึก
ว่าการถูกผู้อื่นรักสุขกว่าเยอะ.
จากการมีช่วงชีวิตที่ได้เรียนรู้ถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ได้เห็นความทุกข์ยากของผู้ยากไร้ ทำให้ไม้หนึ่งเลือกเดินทางไม่สยบยอมต่ออำนาจที่เห็นคนไม่เท่ากัน เขาเลือกที่จะเป็นคนเสื้อแดงที่ต่อสู้กับระบบที่ลิดรอนระบอบประชาธิปไตย บทกวีใน ‘สถาปนาสถาบันประชาชน’ จึงมีท่าทีของการปลุกเร้าให้ลุกขึ้นสู้และไม่สยบยอมต่อชนชั้นที่ลวงตาลวงใจ
เราอยู่ที่นี่
ซุ่มซ่อนตัวอย่างเปิดเผย
โดยไม่เคยจากไปไหน
ในบึ้งใจ ของผู้ถูกกดขี่
เราอยู่ที่นี่
กินนอนท่ามกลางความ เป็น, ตาย
มีเซ็กซ์กับคนที่เรารัก
สืบลูกหลานรุ่นสู่รุ่น
เราไม่เคยสูญสลาย.
เมื่อพิจารณาจากภาพทั้งหกภาค ห้าภาคแรกของกวีคือภาพของปัจเจกบุคคลที่พบได้ทั่วไปในสังคม ภาพที่เป็นตัวแทนของประสบการณ์ร่วมของใครต่อใครที่เข้าถึงความรู้สึกของกวีได้จากประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่ภาคสุดท้ายเป็นภาคของภาพใหญ่ในเชิงสังคม ภาพของการไม่ยินดีสยบยอม และเป็นภาคของการเรียกร้องให้ปัจเจกบุคคลรวมตัวกันขึ้นเป็นขบวนการ
จากเรื่องราวและความแตกต่างในหกภาคกวี สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากในถ้อยเสียงสำเนียงคำของไม้หนึ่งคือความเจนจัดในชั้นเชิงกวี ไม้หนึ่งสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นจากการเข้าใจฉันทลักษณ์ที่เป็นโครงสร้างของบทกวีเป็นอย่างดี ก่อนจะทลายมันลงเพื่อสร้างทางของตัวเอง หลายครั้งเขาแสดงให้เห็นว่าเขียนอยู่ในกรอบเกณฑ์ได้อย่างดี แต่จะป่วยการอยู่ในกรอบไปใย ถ้าฉันทลักษณ์ไม่พอรับใช้ความรู้สึก
ไม่เพียงแต่ฉันทลักษณ์เท่านั้นที่ไม้หนึ่งหยิบฉวยมาปั่นหัวแล้ววางทิ้ง สัญลักษณ์ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของกวีก็ถูกนำมาใช้และเลิกใช้อย่างเหนือชั้น ในห้าภาคแรกเราจะเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ อย่างเด่นชัดในบทกวี ไม่ว่าจะเป็นปังตอ นก สุรา พ่อค้า หรือหญิงสาว แต่ในภาคสุดท้ายสัญลักษณ์ต่างๆ ปรากฏลดน้อยลง บทกวีกลับสู่ความเรียบง่ายตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ภาคสุดท้ายควรจะเป็นภาคที่ต้องใช้สัญลักษณ์ให้ซับซ้อนที่สุด เพราะสัญลักษณ์คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการเปิดเผยอย่างปกปิดเพื่อต่อสู้กับอำนาจไม่ชอบธรรมที่จะเข้ามาเบียดเบียนเสียงประท้วงที่เปล่งออกมาจากบทกวี
เป็นไปได้ว่าที่ไม้หนึ่งละทิ้งสัญลักษณ์มาใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมาและกลับไปเน้นที่เสียง สำเนียง จังหวะเพราะเขาต้องการสื่อสารกับผู้คนส่วนใหญ่หมู่มาก เขาไม่อยากให้ใครถูกกันออกไปจากการต่อสู้จากชั้นเชิงทางภาษาที่ต้องเข้าถึงผ่านประสบการณ์ความรู้ เพราะเขารู้ว่าภาษาคือเครื่องมือที่ทรงอิทธิพลในการขับเคลื่อนสังคม สร้างชนชั้น และเป็นเครื่องมือของการบิดเบือนความหมาย (มาถึงตรงนี้แล้วอดคิดถึงถ้อยคำทุเรศความรู้สึกและปกปิดความหมายอย่าง ‘น้ำรอระบาย’ ‘บัตรเขย่ง’ ‘กระชับพื้นที่’ ฯลฯ ไม่ได้) เขาจึงเลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเป็นสัญลักษณ์โดยรวมของปรารถนาในการทำลายโครงสร้างทางชนชั้น และเพื่อให้ความธรรมดาเป็นเครื่องมือในการส่งต่อความหมายเรียบง่ายทรงพลังสืบไป
ซึ่งนี่อาจเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เหตุผลของเขาถูกพรากไป
หากเทียบบทกวีของไม้หนึ่งกับบทกวีของกวีอื่นในไทยที่ได้รับการยกย่อง (ไม่ว่าใครทั้งนั้น) เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไม่ด้อยกว่าใครคนไหน เพียงเพราะทางที่เขาเลือกเดินไม่เยินยอมือที่มอบรางวัล ทำให้ผลงานของเขาถูกพูดถึงเพียงในวงจำกัด เพราะในประเทศนี้การได้รับรางวัลคือการการันตีถึงการถูกเผยแพร่ไปในวงกว้าง การถูกพูดถึงซ้ำๆ เป็นเส้นทางที่มาของรายได้ และการได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำราเรียน ซึ่งหมายถึงการสร้างความทรงจำร่วมของสังคม
ชีวิตไม้หนึ่งถูกความรุนแรงลบออกไปแล้ว เราเรียกร้องเอาเขากลับคืนมาไม่ได้ ทางเดียวที่เราทำได้คือการเปล่งเสียงความคิดของเขาซ้ำๆ เพื่อทำให้เขาไม่ถูกลืม
Please, don’t let his poetic soul fade away…
Tags: กวี, ไม้หนึ่ง ก.กุนที, เพื่อนไม้หนึ่ง, ลูกชายไม้หนึ่ง, กวีราษฎร