ว่ากันว่าโปรเจกต์นี้เริ่มต้นในปี 2005 

ในตอนนั้น Ilya Khrzhanovsky เพิ่งประสบความสำเร็จจาก 4 หนังยาวเรื่องแรกที่คว้ารางวัลจาก เทศกาลภาพยนตร์รอตเตอร์ดาม เขาได้พบกับเศรษฐีชาวรัสเซีย Sergei Aidonev และนำเสนอโปรเจกต์ ‘Dau’ ที่เริ่มต้นจากการเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากชีวประวัติของ Lev Landau นักฟิสิกส์คนสำคัญ ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1962 จากการเป็นผู้ศึกษาควอนตัมฟิสิกส์คนแรกๆ 

Landau เป็นหนึ่งในวีรบุรุษของโซเวียต ผู้ซึ่งเป็นแนวหน้าของทีมวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ ผู้ซึ่งมีชีวิตส่วนตัวน่าสนใจสุดขีดเพราะเขาไม่เชื่อในระบบผัวเดียวเมียเดียว เชื่อในเรื่องรักเสรี และพยายามเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาของเขาเห็นคล้อยตาม หนังได้แรงบันดาลใจจากสถาบันวิจัยลับของ Landau ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ยุค 1930’s จวบจนมรณกรรมของเขาในปี 1968 ว่ากันว่านอกจากมันจะเป็นสถาบันทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อความก้าวหน้าของโซเวียตแบบสุดขอบแล้วมันยังเป็นเหมือนดินแดนเล็กๆ ที่ Landau กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของเขาที่อาศัยในนั้นทดลองความเชื่อเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์และเพศด้วย 

โปรเจกต์เร่ิมต้นจากตรงนี้ ขยายตัวออกไปอย่างน่าสะพรึง Ilya สร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่หมด สถาบันลับที่ว่าถูกก่อสร้างขึ้นมาจริงๆ ในพื้นที่ของสระว่ายน้ำเก่าในยูเครน ด้วยความกว้างเท่ากับสองสนามฟุตบอล และเขาเรียกสถาบันนี้ว่า ‘Dau’ ที่ซึ่งทุกอย่างถูกออกแบบให้เหมือนกับอยู่ในสหภาพโซเวียตในสมัยกลางศตวรรษที่ 20 เขาเริ่มหานักแสดงโดยคัดเลือกจากคนที่ไม่เคยเป็นนักแสดงมาก่อน โดยมากเลือกบทให้ตามงานการในชีวิตจริง ภารโรงเล่นเป็นภารโรง สาวเสิร์ฟเล่นเป็นสาวเสิร์ฟ นักวิทยาศาสตร์เล่นเป็นนักวิทยาศาสตร์ หนักหนาที่สุดคือ อดีตเคจีบีเล่นเป็นเคจีบี และ พวกนีโอนาซีมาเล่นเป็นพวกฝ่ายขวาเหยียดผิวหัวรุนแรง 

ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาตัวประกอบและ ‘ผู้เข้าร่วมกระบวนการ’ นับร้อยชีวิต ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในสถาบันที่ว่านี้จริงๆ  ในทุกๆ วันแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายจากยุคนั้นจริงๆ แม้แต่ชุดชั้นในก็ถูกทำขึ้นตามแฟชั่นในยุคนั้น ใช้สกุลเงินโซเวียตเก่าที่สามารถเอามาซื้ออาหารเครื่องใช้ได้จริงในกองถ่าย พวกเขาใช้ชีวิตกันในนั้น ตัดขาดจากโลกภายนอก มียามคอยเฝ้าปากทาง ไม่มีโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ห้ามพูดศัพท์ที่ไม่ได้อยู่ในยุคโซเวียต นักแสดงตัวหลักอาจมาอยู่แค่ชั่วคราวสองสามเดือนแล้วจากไป แต่คนที่เหลืออยู่ที่นั่น บางคนย้ายครอบครัวจากมอสโควไปที่นั่น บางคนพบรักแต่งงานและมีลูกที่นั่น ถึงที่สุดการถ่ายทำทอดยาวออกไป บางแหล่งข่าวบอกว่าการถ่ายทำให้เวลาสามปี แต่บางแหล่งข่าวบอกว่านานกว่านั้น กล่าวถึงที่สุดนับจากโปรเจกต์เร่ิมต้นจนมันออกฉายในปารีสเป็นครั้งแรก มันใช้เวลาไปทั้งสิ้น 13 ปี 

บรรดานักแสดง ต้องแสดงตลอดเวลา เพราะเขาและเธอทำงานเหมือนกับงานประจำ เพียงแต่อยู่ในเซ็ตของโซเวียตยุค 1950’s แม้ว่ากล้องจะไม่ได้ถ่ายทำ มีไมโครโฟนซ่อนในทุกที่ ในโคมไฟ ใต้โต๊ะที่หน้าต่าง หรือแม้แต่ในกระจกที่เป็นกระจกมองสองด้าน Ilya Khrzhanovsky เปลี่ยนกองถ่ายของเขาให้กลายเป็น Panopticon (ที่คุมขัง) ที่เขาจะมองเห็นและกำกับนักแสดงของเขาได้ตลอดเวลา ว่ากันว่าเขาแคสต์นักแสดงไปทั้งหมดสี่แสนคน และหลายคนต้องเจอกับการสัมภาษณ์ที่เกือบจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ 

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเชิญนักวิทยาศาสตร์ตัวจริง นักบวชจากศาสนาต่างๆ ศิลปิน นักร้อง มาเข้าฉากจริงๆ (ตัวอย่างเช่น Marina Abramovich) บางคนก็มาเลคเชอร์จริงจัง เขาถ่ายมันไว้ นำมาใช้ในหนัง 

ตัวห้องทดลองก็สร้างขึ้นใหม่ จำลองห้องทดลองประหลาดพิสดารแบบโซเวียต มีห้องหนูทดลอง ห้องกรงกระจกที่เอาลิงกับคนมาประจันหน้ากันเพื่อศึกษาพฤติกรรม หรือปิรามิดเพิ่มพลังงานสร้างความเหนือมนุษย์

มีข่าวฉาวโฉ่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะในหนังที่ดูเหมือนไม่มีวันเสร็จเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบทความใน GQ เมื่อปี 2011 ที่พูดถึงความกักขฬะ ผเด็จการ และแนวโน้มที่จะล่วงละเมิดทั้งทางกายภาพ วาจา และทางเพศต่อนักสแดงของเขาเอง ซึ่งการที่ต้องอยู่ในเซตอย่างยาวนานร่วมกับคนร้อยพ่อพันแม่จำนวนมากทำให้ไม่มีใครรู้อีกแล้วว่ามันคือการแสดงหรือไม่ และ ความกลัว เซ็กซ์ หรือความเมามายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแสดงหรือการลักลอบถ่ายของจริง

ท่ามกลางข่าวฉาวทั้งมวล ในที่สุดงานช้ินนี้ที่งอกจากหนังเรื่องเดียวไปเป็นหนังอย่างน้อย 14 เรื่อง (และอาจจะมีสารคดีเบื้องหลัง ทีวีซีรีส์และอื่นๆ ตามมา) ออกฉายครั้งแรก ในสามเมือง ปารีส เบอร์ลิน และลอนดอนในปี 2018  โดยเปิดตัวครั้งแรกที่ปารีส แต่ไม่ใช่ในเทศกาลภาพยนตร์หากเป็นการปิดพิพิธภัณฑ์สามตึกเพื่อจำลองสถาบันขึ้นมาใหม่ และฉายหนังทั้งหมด รวมถึงฟุตเตจจากการถ่ายทำ ที่มีความยาวมากกว่า 700 ชั่วโมง ผู้ชมจ่ายต่าตั๋วเพื่อรับวีซ่าเข้าสถาบัน และต้องแลกโทรศัพท์มือถือกับ อุปกรณ์นำชม ก่อนจะไปห้องต่างๆ ที่มีนักแสดงประจำการอยู่ และที่สุดก็สามารถไล่ดูหนัง13 เรื่องแรกได้ 

หนังออกฉายอย่างเป็นทางการในเทศกาลภาพยนตร์ครั้งแรกที่เบอร์ลินเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยหนังสองเรื่องที่เข้าฉายคือ Dau Natasha ยาว 2 ชั่วโมง (หนังได้รางวัลหมีเงินไป) และ Dau Degeneration หนังยาว 6 ชั่วโมงที่เข้าฉายนอกสายประกวด หลังจากฉายแล้วหนังทั้งสองเรื่องก็ปล่อยให้เข้าชมผ่านระบบสตรีมมิ่งในเว็บไซต์ของหนังเองโดยมีค่าเข้าชมเรื่องละ 3 เหรียญ 

Dau Natasha เล่าเรื่องของนาตาชา สาวเสิร์ฟในโรงอาหารของสถาบัน และความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังกับ โอลกา สาวเสิร์ฟรุ่นน้อง สองคนสาละวนทำงานในโรงอาหาร ยามว่างก็พูดคุยเรื่อยเปื่อย ดื่มเหล้าจนเมาและทะเลาะกันด้วยเรื่องเช่นการไม่ยอมถูร้านก่อนกลับบ้าน นาตาชาเป็นสาวใหญ่ที่ผ่านโลกผ่านรักมาแล้ว เธอเคยรักผู้ชายที่มีเมียแล้วและไม่คิดว่าผิดอะไร ยังถวิลหาเขาอยู่เนืองๆ ในขณะที่โอลกายังสาว ยังสวย และไม่เคยรักมาก่อน สองคนมองชีวิตแตกต่างกันไปอย่างยิ่ง นาตาชาชอบใช้อำนาจเล็กๆ น้อยที่ตัวเองมีขู่เข็ญโอลกา บังคับให้ทำนั่นนี่ เพื่อที่จะมานั่งดื่มปรับทุกข์กันในเวลาต่อมา 

ลูกค้าของโรงอาหารคือเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่กำลังทดลองอะไรลับๆ อยู่ในแล็บ บางครั้งมากับครอบครัว บางครั้งก็มากันเอง  บางครั้งก็สุภาพเรียบร้อยดี แต่พอเมาได้ที่ก็ก้อร่อก้อติกสองสาวราวกับเป็นวัตถุทางเพศสาธารณะ

เราอาจจะบอกว่านาตาชาเป็นสาวเสรีนิยม และทุกคนสามารถที่จะเป็นเสรีนิยมไปจนกว่าจะถูกจับได้

วันหนึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์พานักฟิสิกส์จากฝรั่งเศสมากินอาหารในโรงอาหาร ลามไปจนถึงไปปาร์ตี้ที่บ้านโอลกา ทุกคนเมาคว่ำ (ตลอดทั้งเรื่องตัวละครเมาตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าเมาเฉพาะเข้าฉากหรือเมาจริงๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในกองถ่าย) แล้วนาตาชาก็ร่วมรักกับหนุ่มฝรั่งเศสอย่างบ้าคลั่งรุนแรง 

หลายวันต่อมา มีคนมาเรียกเธอไปพบ เธอเข้าไปในห้อง นายตำรวจลับบอกให้เธอนั่งลง บอกให้เธอดื่ม ตบหน้าเธอ บังคับให้เธอเขียนคำสารภาพ บอกว่าเขารู้ทันเธอ  เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความเป็นปัจเจกชนไว้ ผ่านทางการจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้สวยอยู่เสมอ เสื้อผ้าจึงถูกกระชากออกเพื่อให้เธอเปลือยและอับอาย นำไปสู่ฉากการทรมานอันลือลั่นด้วยขวดเหล้า ตัวละครเจ้าหน้าที่ อชิปโป ที่ทำการสืบสวนนาตาชา ใช้ลูกไม้แบบพูดสุภาพด้วยท่าทีของคนที่รู้ทุกอย่าง และวางอำนาจใช้กำลังบังคับโดยสงบนิ่ง แผ่มวลยะเยียบคุกคาม เมื่อใช้กำลัง เขาฉับไวรวดเร็วไม่อาจขัดขืน ตัวนักแสดงเป็นอดีตเคจีบีจริงๆ เล่นได้น่ากลัวจนเหมือนไม่ได้แสดง เพียงแสดงทริคการสืบสวนของเคจีบีออกมาหน้ากล้อง เสียดายที่เขาตายก่อนที่หนังจะออกฉาย

นาตาชาค่อยๆ สูญเสียศักดิ์ศรีพื้นฐานที่สุดของเธอไป นั่นคือศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ และมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเธอทำผิด เพราะเธอสมควรได้รับโทษ แต่มันเป็นเพราะเธอคือเครื่องมือชิ้นหนึ่ง การลงทัณฑ์ที่กระทำต่อเธอ หรือแม้แต่การร่วมรักของเธอกับชายแปลกหน้าถึงที่สุดก็อาจเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งในการบริหารอำนาจ

ในชั่วโมงแรกของหนัง หนังถ่ายทำฉากปาร์ตี้ เมาเหล้า บ้าคลั่งเหล่านี้อย่างยาวนาน กล้องกวัดไกว กวาดจับทุกตัวละครที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าในสังคมที่เคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่การแต่งกาย การแสดงบทบาทที่เหมาะสม การเป็นมนุษย์ที่มุ่งสู่สังคมสมบูรณ์แบบ (ซึ่งเรื่องนี้จะถูกขยายผลอย่างชวนผวาในภาคต่อไป) ได้กดทับผู้คนเอาไว้จนเหลือเพียงทางออกเดียวคือการเมามายอย่างไม่ได้สติ อิสรภาพเดียวที่มีคืออิสระในความเมา

ในทางตรงกันข้าม ส่ิงที่น่าสนใจที่สุดซึ่งหนังเน้นย้ำบ่อยครั้งมากในเรื่องต่อไปก็คือ การเขียนคำสารภาพ ในหนัง ตัวละครถูกจับให้นั่งในห้องทึบ เขียนคำสารภาพความผิด เขียนโดยเขียนตามคำบอก คำสารภาพกลายเป็นแหล่งกำเนิดของการป้ายสี ข่มขู่ การลดทอนความเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกระทำต่อร่างกาย หากเป็นการกระทำต่อจิตวิญญาณ บังคับให้เขียนเรื่องโกหกและบังคับให้ยอมรับว่าเป็นคนโกหกเสียเอง คำรับสารภาพจึงต้องเขียนด้วยลายมือ และเซ็นกำกับไว้

ชีวิตในสหภาพโซเวียตจึงถูกจำลองลงเป็นชีวิตในสภาพปิดล้อมที่ถูกจับตาตลอดเวลามีทางออกไม่กี่อย่างสำหรับผู้คนที่จะดำรงตนในฐานะปัจเจกชน (ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างการเป็นปัจเจกชนกับการเป็นกระฎุมพี) และการทำลายล้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้คน สิ่งที่สยองขวัญและอันตรายคือมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคนที่เป็นขบถ กระทำผิด ต่อต้านรัฐ แต่มันเกิดขึ้นกับใครก็ได้ รัฐเลือกโจมตีช่องโหว่ จุดอ่อน ทางออกไม่กี่ทางที่เหลืออยู่ของผู้คน และที่รุนแรงกว่านั้นคือการทำลายผู้คนไม่ได้เกิดจากการเป็นไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง หรืออำนาจรัฐ แต่เป็นเพียงเกมทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ กล่าวให้ถูกต้องคือรัฐ (ในที่นี้คือสสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ลับ) ไม่ได้มองเห็นคนในฐานะคนเธอไม่ได้เป็น ‘สหาย’ ‘พลเมือง’ หรือแม้แต่ ‘มนุษย์’ เธอเป็นเพียงเครื่องเล่น สิ่งของ หมากบนกระดาน เท่านั้น

การลดทอนความเป็นมนุษย์รุนแรงมากขึ้น จนถึงขั้นทำลายล้างในภาคต่อมาอย่าง Dau Degenration 

ภาคนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายปีหลังจาก Dau Natasha สถาบันยังคงเดิม นักวิทยาศาสตร์บางคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ทีมงานในโรงอาหารเปลี่ยนไป มีคนทำงานหน้าใหม่ มีเด็กๆ ที่มาเข้าร่วมศึกษางานวิจัย และมีเจ้าหน้าที่อชิปโปที่ไต่ขึ้นตำแหน่งระดับสูงไปเรื่อยๆ

ในภาคที่ยาวหกชั่วโมงนี้เริ่มจากศาสนา สถาบันเชิญหมอผีจากที่ต่างๆ มาทำพิธี เชิญพระและแรบไบมาเลคเชอร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ และเลคเชอร์ของแรบไบชราจะกลายเป็นเสียงวอยซ์โอเวอร์ที่เป็นเหมือนบทสรุปและคำทำนายไปตลอดเรื่อง เมื่อเขาเริ่มต้นว่า เช่นเดียวกับ คริสเตียน พุทธ และยิว รวมถึงคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความเชื่อเฉพาะชุดหนึ่งและพิธีกรรมจำเพาะชุดหนึ่งก็เป็นศาสนาหนึ่ง และดูเหมือนว่าศาสนาในเรื่องนี้คือคอมมิวนิสต์และพิธีกรรมทางวิทยาศาสตร์ หนังฉายความคลั่งไคล้วิทยาการล้ำหน้าของโซเวียต วิทยาศาสตร์นำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญหลุดพ้นจากการกดขี่ เฉกเช่นเดียวกับเป้าหมายของศาสนา หากความเจริญในเรื่องไม่ใช่สังคมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขยายอัตตาอย่างที่เราเข้าใจในโลกเสรีนิยม แต่มันคือการสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สมบูรณ์กว่า แข็งแกร่งกว่า การสร้างความสมบูรณ์ในตัวปัจเจก หากมองย้อนกลับไปในแง่หนึ่งก็คล้ายคลึงกับการฝึกตนของมนุษย์ในการเข้าหาพระเจ้า หรือนิพพาน มันคือการควบคุมร่างกาย จิตใจ เปลี่ยนคนให้เป็นนักบวชในศาสนาที่แตกต่างกัน

เลยพ้นไปจากการเลคเชอร์วิชาต่างๆ ศาสนา จิตวิทยา ฟิสิกส์ ก็คืองานปาร์ตี้เมาหัวราน้ำ ในบ้านของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นคนนี้ การจัดปาร์ตี้เต้นรำตามเพลงจากพวกตะวันตก การลักลอบคบหา จูบ เล่นชู้ ของผู้คนในสถาบัน ที่เกิดขึ้นในความเมาของงานปาร์ตี้หนึ่งสู่งานปาร์ตี้หนึ่ง ผัวเมียหน่ายแหนงกัน คนหนึ่งลักลอบคบหากับอีกคน ทุกคนทำตัวเหมือนอยู่ในโลกเสรีในพื้นที่ปิด เว้นแต่ความเมาบ้าคลั่งทำลายล้างที่โซเวียตยิ่งกว่าความโซเวียตใดๆ 

ในห้องทดลองพวกเขากำลังทดลองการสื่อสารทางโทรจิต เรื่อยไปจนถึงการเล่นกับการพยายามกระตุ้นคลื่นสมองของทารก และสร้างมนุษย์ที่ดีกว่า ฉลาดกว่า แข็งแกร่งกว่า และสมบูรณ์แบบ ข้างบนนั้น ผู้อำนวยการสถาบันหลอกปล้ำเลขาสาวของตนอย่างหน้าไม่อาย เปลี่ยนออฟฟิศของตนให้เป็นห้องเชือด ในโรงอาหาร คนงานเล่นไพ่แก้ผ้ากันในโรงอาหารจนดึกดื่น ความเสื่อมถอยของศีลธรรมร่วงหล่นไปจนถึงขีดสุดในสถาบันวิทยาศาสตร์พิสดารแห่งนี้ 

แล้ววันหนึ่ง อชิปโปก็เดินเข้าไปในออฟฟิศของผู้อำนวยการ ด้วยวิธีการที่เรารู้กันดี เขาบังคับให้ผู้อำนวยการลาออก เขียนคำแถลงโกหกเรื่องการตัดสินใจลาพัก อ่านมันต่อหน้าทุกคน จากนั้น อชิปโปก็ขึ้นเป็นผู้อำนวยการ เป้าหมายคือล้างบางเสรีภาพและความเสื่อมถอยทางศีลธรรมของสหายชาวคอมมิวนิสต์ทุกคน 

ในทางหนึ่งเขารับฟังเลคเชอร์จากเพื่อนนักวิทยาศาสตร์เรื่องของการที่โซเวียตเป็นพื้นที่ปิด เมื่อปิดสังคมการไหลเวียนของข้อมูลโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ปิดไปด้วย ยิ่งช่องทางเข้าออกของข้อมูลน้อย ก็ยิ่งเข้าใจน้อย ประมาณการว่าในอนาคตงานวิจัยจะเป็นอนันต์ เป็นกราฟที่เร่งขึ้นไปไม่รู้จบ แต่การปิดตัวเองทำให้กราฟกลายเป็นระฆังคว่ำร่วงหล่น เขารับฟังข้อเสนอของการเปิดประตูข้อมูลเพื่อให้เกิดช่องทางสื่อสารกับโลก เขารับฟังอย่างตั้งใจ

แต่ที่เขาทำคือการห้ามปาร์ตี้ ไม่มีเพลงตะวันตก เด็กวัยรุ่นชายถูกลากไปโกนหัว  หนักข้อที่สุดคือเขาดึงเอาบรรดานักกีฬาของโซเวียตเข้ามาที่สถาบัน เดิมที่หนุ่มๆ กลุ่มนี้มาเพื่อเป็นอาสาสมัครเข้ารับการทดลองพัฒนามนุษย์ ผ่านเครื่องมือพิสดารมากมายในแล็บ แต่วันหนึ่งอชิปโปเรียกหนุ่มๆ กลุ่มนี้เข้าไปพบและไล่ถามทัศนคติ คนพวกนี้มีร่างกายสูงใหญ่สมส่วนหล่อเหลา เป็นนักกีฬาที่ไม่ดื่มและไม่สููบบุหรี่ เชื่อมั่นว่าพลานามัยที่สมบูรณ์จะมอบจิตใจที่แข็งแกร่งให้ เชื่อว่ามนุษย์ต้องรักษาตัวเองเพื่อสืบพันธุ์ให้ได้ลูกหลานที่มีพันธุกรรมที่ดียิ่งขึ้น พวกคนโสโครกไร้วินัยเป็นเผ่าพันธุ์ขั้นต่ำกว่าที่ควรถูกกำจัด ถูกลดชั้น ไม่ใช่มนุษย์ พวกผิวเหลือง ผิวสีเป็นพวกชั้นต่ำที่ไร้ค่า จุดสูงสุดของความหมกมุ่นทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันนำไปสู่ความเชื่อใน eugenics อันคือหลักการการคัดเลือกเผ่าพันธุ์น่าสยองขวัญที่นาซีเคยใช้มาก่อน คนหนุ่มสาวสุขภาพแข็งแรงฉลาดเฉลียวผสมพันธุ์กันเพื่อสร้างทารกที่สมบูรณ์แบบ ผนวกเข้ากับ social darwinism ที่เอาหลักการของดาร์วินมาให้เป็นสิทธิ์ในการกดขี่ทำร้ายทำลายล้างผู้อื่น เพราะคนที่เอาตัวรอดไม่ได้นั้น ‘ตายได้ตายก่อนเลย’

แกงค์นักกีฬาขวาจัดรับบทโดยคนที่เป็นนีโอนาซีจริงๆ พวกนั้นเข้าไปทำลายบรรยากาศงานปาร์ตี้ ข่มขู่คุกคาม ทำลายข้าวของ ทำลายงานศิลปะโดยอ้างว่าเป็นศิลปะของพวกต้อนรับคนผิวเหลืองและผิวสี ข่มขู่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นแขก เลยเถิดไปถึงการลากหมูเป็นๆ มาเชือดคอและชำแหละในห้องรับแขกของบ้านผู้คน จนถึงที่สุดเหตุการณ์ลามปามไปสู่อาชญากรรมกวาดล้างสังหารหมู่ที่มีรัฐรู้เห็นเป็นใจ

หนังฉายภาพที่เราอาจจะคุ้นเคยกันดี นั่นคือการเรืองอำนาจของระบบฟาสซิสต์สุดโต่ง เหตุการณ์ในสถาบันวิจัยในโซเวียตในยุคทศวรรษ 1960’s กลับเป็นแบบจำลองของสังคมในหลายๆ พื้นที่หากเพียงเปลี่ยนชื่อผู้เล่น การเสื่อมถอยของสังคมในสายตาของอนุรักษ์นิยมที่ต้องการควบคุมแช่แข็งสังคมแบบเดิมที่สงบเรียบร้อยและมีตนเองเป็นศูนย์กลางของอำนาจ นำไปสู่การปลุกผีของชาตินิยมสุดโต่ง ลัทธิของความเป็นเลิศของมนุษย์บางเผ่าพันธุ์ คอมมิวนิสต์ วิทยาศาสตร์ล้วนเป็นศาสนาในตัวมันเอง มันทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกดขี่โดยศักดินา โดยความไม่รู้ โดยความงมงาย หรือความชั่วร้ายในจิตใจ แต่เมื่อมันถูกเร้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุด มันได้ลดทอนความดีงามให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว และมอบอำนาจสมบูรณ์ให้ความดีงามนั้น ซึ่งในที่สุดในนามของความดีงาม  ความไม่รู้ ความงมงาย และความชั่วร้ายในจิตใจก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นเพื่อจัดการกับสิ่งไม่ดีไม่งามในสายตาของฟาสซิสต์!

Dau Degeneration จบลงด้วยความสยองขวัญ และดูเหมือนเป็นจุดจบของสถาบันไปจริงๆ แต่สำหรับโปรเจกต์ Dau นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น จากข้อมูลที่ได้ ผลย้อนไปหาเหตุ ยังมีหนังที่อีก 14 ภาคที่จะย้อนไปเล่าตั้งแต่ที่มาที่ไปของสถาบัน ชีิวิตของ Dau ผู้ก่อตั้งสถาบัน (ซึ่งในภาคนี้เป็นเพียงสิ่งตกค้างที่พูดไม่ได้ไร้อำนาจ) ชีวิตของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ มิติคู่ขนาน ความรักและความแค้น อีกมากมาย ซึ่งน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง 

ดู Dau ทั้งสองภาคได้ที่ https://www.dau.movie/en/

 

อ่านเพิ่มเติม

https://www.theguardian.com/film/2019/jan/26/inside-the-stalinist-truman-show-dau-i-had-absolute-freedom-until-the-kgb-grabbed-me?fbclid=IwAR3AG6glc3lu_bW–A_yiM0NhjGmLLfQolDeRDJ17hZF0FF7AVjfy-FMaCM

https://www.nytimes.com/2020/02/28/movies/dau-berlina.html?fbclid=IwAR24Rpe8GJYhhHI3GEsfZ5wEYoSf7kNqvn34f5Hfm1odKuOj97yh-OB0Dps

https://www.gq.com/story/movie-set-that-ate-itself-dau-ilya-khrzhanovsky?fbclid=IwAR3x1Abx-fHfPSxgIH0bdpUnKGcG962S-vVpoN24J2nzXZO4T6HtiOgb-u0

https://www.nytimes.com/2019/01/28/arts/dau-opening-paris.html?fbclid=IwAR1ShCXuH9es3NGfSLNycOidJv9KnegQk4kK0mxI0-YxXS1WZhf8BKHYi0U

https://variety.com/2020/biz/news/dau-director-ilya-khrzhanovsky-defends-controversial-film-berlinale-1203516725/?fbclid=IwAR2cy-XflXs9pRdEWkRAcMB_pMiGR0rYp2HaSlu5RUqSv9bA8nmoJ3vj_CE

https://news.artnet.com/exhibitions/ilya-khrzhanovsky-1451311?fbclid=IwAR1VYDgDf8McUvs1EsAs2YuAu3UeA5RyMHJW9ZAuW1N98u4HooqQr6qAOfg

Tags: , , , ,