เธอเคยชื่อเด็กชาย Neil Andrew Megson เธอเป็นศิลปิน กวี นักดนตรี และเป็นกึ่งๆ เจ้าลัทธิ เป็นหนึ่งในแนวหน้าผู้บุกเบิกดนตรีทดลอง งานของเธอมักเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับ หนังโป๊ การค้ากาม และฆาตกรรมต่อเนื่อง เธอเป็นที่รู้จักในชื่อ Genesis Breyer P-Orridge เธอเคยทำวงดนตรี industrail band ชื่อ Throbbing Gristle ต่อมาก็ทำวงดนตรีชื่อ Psychic TV เธอเป็นเพื่อนกับ William S. Burrough นักเขียนคนดังเจ้าของหนังสือ The Naked Lunch ในตอนนั้นเธอยังเป็นผู้ชาย 

เธอเคยชื่อ Jacqueline Breyer เธอเกิดอเมริกา หนีออกจากบ้านตอนอายุสิบสี่ เธอเข้าสู่วงการในฐานะนักแสดงละครเวที นางแบบถึงลูกถึงคน และอาจจะเคยขายตัว เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กบาง ผิวเผือดผมทอง เธอพบ Genesis ในปี 1993 เจอกันตอนที่ Genesis เมามายในบ้านเพื่อนที่นิวยอร์ก ในปีเดียวกันนั้น ทั้งสองแต่งงานกันและ Genesis เรียกเธอว่า Lady Jaye ในวันแต่งงาน Lady Jaye สวมชุดเจ้าบ่าวที่เป็นกางเกงหนังและเสื้อกั๊กหนังโดยไม่สวมเสื้ออื่น Genesis แต่งชุดเจ้าสาวผ้าลูกไม้สีขาว พวกเขาเหมือนตัวประหลาดจากดาวเคราะห์อันโพ้นไกลที่ความรักไม่ได้ถูกนิยามเพียงแบบเดียว

จากนั้นทั้งคู่ตระเวนไปด้วยกันในทุกแห่งหน Lady Jaye เป็นเหมือนผู้จัดการวง คอยดูแลคนอื่นๆ ใน Psychic TV ตลอดมา Genesis มักจะอัดเสียงเธอและใส่มันลงในดนตรีทดลองของเขา พวกเขารักกัน เป็นกันและกัน เป็นมากกว่าคู่รัก พวกเขาอยากจะเป็นกันและกันไปตลอดกาล 

“คุณจะรู้ว่ามันเป็นยังไง เมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคนเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต และมันมีบางขณะที่เราอยากจะบริโภคกันและกัน แบบว่า พระเจ้า! ฉันอยากจะกินเธอ ฉันอยากจะรู้รสชาติของเธอ แล้วก็กลืนเธอลงไป แล้วเธอกับฉันจะได้กลายเป็นโมงยามที่งดงามที่สุดของการตกหลุมรักและเราจะไม่ต้องเป็นแค่ปัจเจกชนตัวคนเดียวอีกต่อไป ความรู้สึกอันเข้มข้นแบบนั้นแหละที่เรารู้สึกและอยากจะต้อยตามมันไป ไม่ใช่เพียงแค่พูดถึงมัน แต่ได้ใช้ชีิวิตอยู่กับมัน” *

คนทั้งคู่ทำโปรเจกต์ร่วมกันในนาม Pandrogeny Project แผนของพวกเขาคือไปศัลยกรรมพลาสติกเพื่อให้ใบหน้าและร่างกายของสองคนคล้ายกันที่สุดที่จะทำได้ Genesis เสริมหน้าอก แต่งตัวเป็นผู้หญิงอย่างจริงจังใบหน้าของทั้งคู่ถูกผ่าตัดให้คล้ายคลึงกัน คิ้ว คอ แก้มคาง ทั้งคู่แต่งตัวเหมือนกัน ออกไปถ่ายรูปด้วยกันในโดยใบหน้ายังคงพันด้วยผ้าพันแผล พวกเขาเป็นมากกว่าเป็นคู่รักกัน พวกเขากลายเป็นกันและกัน เป็นสิ่งที่ชีวิตหนึ่งเดียวที่มาจากคนสองคน ชื่อใหม่ของพวกเขาคือ ‘Breyer P- Orridge’ คนสองคนเป็นคนคนเดียว กลืนกินกันและกัน และเป็นกันและกัน 

และนี่คือสารคดีของคนสองคนที่ต่างก็เชื่อว่า ร่างกายของตนคือ ‘กับดักชื่อ DNA’ คนที่ค้นพบกันและกัน ค้นพบคนอีกคนที่เชื่อว่าพวกเขาไม่ต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว แต่พวกเขาคือนานารูปแบบของความเป็นไปได้ บนโลกที่ยังคงเชื่อใน ‘ความเป็นไปไม่ได้’ จนต้องควบคุม ‘ความเป็นไปได้’ แบบอื่นๆ และเรียกมันเป็นความผิดเพี้ยนเบี่ยงเบน

สารคดีไม่ได้เป็นบทสัมภาษณ์ ภาพเกือบทั้งหมดมาจากโฮมวิดีโอที่คนทั้งคู่ถ่ายไว้ ภาพคอนเสิร์ต การเดินเล่นไปด้วยกัน การแต่งตัวด้วยกัน ปาร์ตี้กับมิตรสหาย ทำกับข้าว เล่นดนตรี รื้อค้นข้าวของ หรือไปหาหมอ แต่งตัวเหมือนกันออกไปเที่ยวกัน จูบกันในที่สามธารณะ ในขณะที่เสียงของหนังคือการสนทนากับ Genesis ที่เล่าให้ฟังถึงชีวิตของเขาตอนที่ยังมี Lady Jaye ตัดสลับกับเพลงของพวกเขา หนังเป็นเหมือนการตัดปะเอาสิ่งละอันพันละน้อยร้อยเข้าด้วยกันด้วย cut-up technique อันเป็นเทคนิคที่ Burrough ใช้ในการเขียนงาน เทคนิคที่เขาได้มาจาก จิตรกร กวีและนักเขียนอย่าง Brion Gysin ซึ่ง Genesis ที่ได้รู้จัก Gysin ผ่านทาง Burrough และนับถือ Gysin ในฐานะอาจารย์ 

เทคนิค Cut up คือการเขียนขึ้นย่อหน้าหนึ่ง จากนั้นเอาข้อความมาตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วเรียบเรียงข้อความเหล่านั้นใหม่ให้ได้ความหมายใหม่ หนังสร้างขึ้นจากการหยิบเอาชีวิตของ Genesis และ Lady Jaye ผ่านทางชิ้นเล็กชิ้นน้อยของวีดีโอ และเสียงเล่า เรียบเรียงมันขึ้นใหม่ในความหมายใหม่ ซึ่งก็สอดรับพอดีกับโปรเจกต์ Pandrogeny ของคนทั้งคู่ เพราะมันคือโปรเจกต์ที่คิดขึ้นมาจาก Cut up Technique หากเปลี่ยนจากถ้อยคำและข้อความให้เป็นร่างกายของพวกเขาเอง 

“นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย!”

“เราล้วนมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเป็นใครก็ได้ที่เราอยากจะเป็น ฉันทั้งป่วยไข้และเหนื่อยหน่ายเหลือทนที่จะต้องถูกบอกว่าฉันควรดูเป็นอย่างไร นี่ไม่ใช่ร่างกายของฉัน นี่ไม่ใช่ชื่อฉัน นี่ไม่ใช่ตัวตนของฉัน!! บางคนมีหน้ามาบอกเธอควรจะดูเป็นแบบนี้ บางคนถึงกับกล้าดีมาบอกว่าฉันควรจะเป็นเหมือนคนแบบที่ฉันเคยเป็นก่อนหน้าซึ่งฉันไม่ได้เป็น ฉันขอปฏิเสธ! ที่จะเป็นเหมือนคนนั้น!” *

นี่คือถ้อยแถลงของ Genesis ในวีดีโอชิ้นนั้น Lady Jaye แต่งตัวเป็นทหารนาซี กล่าวคำ สงครามครั้งสุดท้าย และ Genesis คอสเพลย์เป็น ฮิตเลอร์ในชุดกระโปรง กล่าวถ้อยแถลงของการไม่ยอมเป็นคนแบบเดิมที่จำกัดเพศแค่หญิงชาย เป็นอย่างที่สังคมอยากให้เป็นอีกต่อไป 

พวกเขาใช้ Cut up technique ในการประกอบร่างกายของตนขึ้นมาใหม่ เสริมหน้าอก ตัดกราม เสริมริมผีปาก คนสองคนพยายามที่สุดที่จะเดินทางมาบรรจบเป็นคนที่ใกล้กันที่สุด ร่างกายของพวกเขาเป็นทั้งถ้อยแถลงของมนุษย์ชนิดใหม่ ที่วิทยาศาสตร์ได้ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ สภาวะข้ามของมนุษย์แบบ transhuman ที่สร้างตัวตนในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า ดีกว่าที่ไม่ได้หมายความแค่ในเชิงวิทยาศาสตร์ว่าสมบูรณ์กว่า หรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจากการเป็นโรค หากหมายถึงดีกว่าในแง่ของความพึงพอใจที่มากกว่า เป็นอย่างที่ตัวเองอยากจะเป็น 

เราอาจนับการแปลงเพศ การฉีดสเตียรอยด์ไปจนถึงการทำเลสิกได้ในนามของสภาวะข้ามมนุษย์ ทั้งหมดยืนอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับการปรับแต่งร่างกายตนเองของคนคู่นี้ ในโลกที่เชิดชูความเป็นมนุษย์ สภาวะข้ามมนุษย์ที่เลยพ้นไปจากการรักษาโรคยังถูกมองในฐานะความเบี่ยงเบน ความผิดปกติและน่าอาย ความไม่พอใจและการเปลี่ยนตัวเองของ Genesis จึงเป็นแถลงการณ์ที่ท้าทายโดยตัวมันเอง ผ่านทางการข้ามขนบของรักต่างเพศ ที่อาจครอบคลุมแม้แต่ในวิถีของการรักเพศเดียวกันโดยให้สองฝ่ายมีบทบาทชัดเจนแบบหญิงชาย หรือยึดมั่นพันผูกในระบบผัวเดียวเมียเดียว สมาทานศีลธรรมแบบชนชั้นกลางเพื่อให้เป็นไปตามข้อความประเภท “จะเป็นตุ๊ดก็ได้ ขอให้เป็นคนดี” ก็พอ ซึ่งมันอาจไม่ผิดที่คู่รักร่วมเพศจะยึดขนบแบบเดียวกับรักต่างเพศ แต่วิธีคิดเช่นนี้ได้กีดกัน ตัดทอน ขับไสคู่รักร่วมเพศแบบอื่นๆ หรือแม้แต่คู่รักต่างเพศแบบอื่นๆ ให้ออกไปจากปริมณฑลของ status quo ของสังคม 

โลกของชายมีนมแต่งหญิงกับสาวงาม จึงเป็นการท้าทายทั้งร่างกายที่ถูกขังในคุกของ DNA ท้าทายขนบความรักแบบเดียวที่โลกให้การยอมรับ และท้าทายความเป็นมนุษย์แบบดั้งเดิม 

แต่เลยพ้นไปกว่านั้น การเป็นกันและกัน เป็นถ้อยแถลงของการดื่มกินตัวตนของอีกฝ่ายเพื่อสร้างตัวตนใหม่ พวกเขาเหลือเพียงนามเดียวและเป็นนามของมนุษย์สองคนที่รวมเป็นหนึ่ง การดื่มกินโมงยามของความรักนั้นคือสุดยอดปรารถนาของโลกปัจจุบันที่ “ความรักชนะทุกสิ่ง” คู่รักที่ไม่มีอะไรน่ารักตามนิยามผิวเปลือกฉาบฉวยของความรักจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง

แต่หนังไม่เป็นแถลงการณ์ทางการเมือง ชีวิตก็เช่นกัน สิ่งที่สารคดีเรื่องนี้มุ่งมองและเล่าออกมาอย่างงดงาม คือชีวิต และชีวิตอันผิดรูปแบบของคนสองคนที่รักกันและกันอย่างลึกซึ้ง ฉายให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ในร่างกายที่พยายามไปพ้นจากเรือนร่างของมนุษย์ พวกเขายังคงติดกับดักของความรัก หรือในที่สุดค้นพบว่าความรักจะสามารถช่วยให้พวกเขาแหกคุกได้ 

หนังเล่าไปจนถึงโศกนาฏกรรมปัจจุบันทันด่วนของชีวิต จนถึงตอนนั้นเมื่อมองย้อนกลับไป ภาพทั้งหมดกลายเป็นแสงเรืองของความสุขในชีวิตของขบถที่บ้าคลั่งหม่นหมอง ที่ใช้ชีวิตและร่างกายของตนเองเป็นพื้นที่ของการอ่านบทกวีและสงครามมาโดยตลอด เราค่อยๆ เห็นแสงที่ฉายส่องลงไปในชีวิตนั้นเพียงชั่วยามหนึ่ง บาดแผลงดงามที่ชีวิตทิ้งไว้ให้ ทั้งรอยแผลผ่าตัดไปจนถึงแผลเป็นในใจ และชีวิตก็ดำเนินต่อไป

เราอาจคิดว่ามันเป็นสารคดีของคนบ้า แต่อันที่จริงแล้ว นี่คือสารคดีของมนุษย์ที่เปลือยเปล่าสองคนที่เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ที่มากกว่าการเป็นร่างกายที่ต้องเป็นอย่างที่มันเคยเป็น และการทดลองของพวกเขาได้ทิ้งร่องรอยงดงามเอาไว้

 

*ข้อความตัวเอียง แปลจากเสียงเล่าของ Genesis ในหนังเรื่องนี้

Fact Box

The Ballad of Genesis and Lady Jaye จะจัดฉายในโปรแกรมพิเศษที่เป็นการร่วมมือระหว่าง Filmvirus และ Allaince Francaise กรุงเทพ ในโปรแกรม WTXAF Double Bill โปรแกรมฉายหนังควบที่จะเลือกเอาหนังสั้นไทยหนึ่งเรื่องมา สนทนากับภาพยนตร์ขนาดยาวเชื้อสายฝรั่งเศสอีกหนึ่งเรื่องที่ร่วมประเด็น ความรู้สึก ความใฝ่ฝัน และจิตวิญญาณ เพื่อหวังให้เกิดบทสนทนาข้ามภาษา วัฒนธรรม ในโลกร่วมสมัยนี้  โดยมุ่งหมายจะจัดฉายเดือนละครั้ง คัดสรรโดยชาว FILMVIRUS ซึ่งในแต่ละรอบฉายจะมีการผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาแนะนำโปรแกรมและสนทนากับคนทำหนังสั้นจากไทย โดยในครั้งนี้จัดฉายร่วมกับ ‘หยดน้ำตารวมกันเป็นมหาสมุทร’ ภาพยนตร์สั้นโดย สิริภัช นมรักษ์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 

https://www.facebook.com/events/2515173302142121/