ปลายปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวอิ๊งค์’ – แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร บนเวทีประชุมใหญ่สามัญของพรรคเพื่อไทย ที่จังหวัดขอนแก่น ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรค เป็นการเปิดตัวพร้อมกับหัวหน้าพรรคคนใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ สลัดภาพเดิมของพรรค โดยมีส่วนผสมของคนอีกเจเนอเรชันหนึ่งมากขึ้นในทางการเมือง 

วันนั้น แพทองธารสวมชุดสูทสีขาวทับเสื้อยืดสีแดงที่สกรีนสโลแกนใหม่ของพรรคว่าพรุ่งนี้เพื่อไทยหลายคนวิเคราะห์ว่านี่คือการส่งสัญญาณว่า ตระกูลชินวัตรยังพร้อมสู้ทางการเมือง และตระกูลนี้ยังคงเหนียวแน่นกับพรรคเพื่อไทย

หากย้อนกลับมามองในภาพกว้าง บรรดาทายาทของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาทุกคน แพทองธารดูจะเป็นคนเดียวที่สนใจก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง

สองสัปดาห์ก่อน แพทองธารปรากฏตัวในที่ประชุม .. ของพรรคเพื่อไทย เธอระบุว่าเธอเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์สัปดาห์ที่แล้ว เธอปรากฏตัวอีกครั้ง รอบนี้เธอเป็นผู้จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปคิดเปลี่ยนโลก สร้างโลกที่ดีกว่าและแก้ปัญหาด้วยความคิดเชิงนวัตกรรมและเริ่มมีบทบาทในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังสงสัยก็คือ แท้จริงแล้วตัวตนของเธอลูกสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน การเติบโตในฐานะลูกสาวของนายกฯ ที่เรียกได้ว่าน่าจะมีทั้งคนรักและคนชังมากที่สุดในประเทศนั้นเป็นอย่างไร 

และคำถามที่หลายคนอาจยังสงสัยก็คือ ทำไมตระกูลชินวัตร ตระกูลที่อาจถูกกระทำทางการเมืองมากที่สุด แต่เป็นตระกูลที่เคยมีผู้รับตำแหน่งนายกฯ สองคน และถูกรัฐประหารทั้งสองรอบ จึงยังไม่เข็ดยังส่งทายาทรุ่นลูกมาลงสนามการเมืองอันโหดร้ายอีก และในวันข้างหน้า เป้าหมายและความฝันในทางการเมือง ของแพทองธาร อยู่ที่จุดใดกันแน่

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แพทองธารเปิดใจกับสื่อ เธอเปิดออฟฟิศของ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเธอนั่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บนอาคารที่มีชื่อเดียวกับนามสกุลของเธอ พร้อมกับเลือก The Momentum เป็นสื่อแรกในการตอบคำถามเหล่านี้ ให้เราได้ทำความรู้จักกับตัวตนของเธอไปพร้อมๆ กัน

ชีวิตของคุณอิ๊งค์ตอนเป็นลูกนายกฯ เป็นอย่างไร คุณพ่อมีเวลาให้คุณบ้างไหม และเขาสอนอะไรคุณบ้าง

เราเติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาที่คุณพ่อเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ตั้งแต่ก่อนเข้าการเมือง ตอนนั้นหลายคนเรียกคุณพ่อว่าเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สามแล้ว จนเราอายุได้ 8 ขวบ คุณพ่อก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รัฐบาลชวน หลีกภัย 1) พอเรา 12 ขวบ คุณพ่อก็ตั้งพรรคไทยรักไทย ตอนนั้นคุณพ่อก็มีแผนว่าจะลงชิงเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว 

พอมัธยมฯ ต้น คุณพ่อเป็นนายกฯ สมัยแรก หรือที่เขาเรียกกันว่า ทักษิณ 1 พอช่วงเราจะเข้ามัธยมฯ ปลาย จะเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อก็เป็นนายกฯ สมัยที่สอง พอตอนปี 3 คุณพ่อก็โดนรัฐประหาร เราโตขึ้นมา ตั้งแต่วันที่คุณพ่อเป็นนายกฯ สองสมัย จนโดนรัฐประหาร กระทั่งมาถึงช่วงมหาวิทยาลัย ชีวิตก็มีครบทุกรสชาติ 

แต่จริงๆ คุณพ่อเป็นแฟมิลีแมนมากนะ เขาอาจจะดูยุ่ง ใครเป็นนายกฯ คงไม่ยุ่งไม่ได้ สมัยนั้นคุณพ่อทำงานตลอด แม้แต่เสาร์อาทิตย์ก็ทำ แต่ก็จะหาเวลาให้ครอบครัวเสมอ สมมติจันทร์ศุกร์ไหนเขากลับบ้านเร็ว ก็จะโทรบอกทุกคนแล้วว่ากลับบ้านเร็วนะวันนี้ ทานข้าวเย็นที่บ้านกันนะครอบครัวก็จะได้คุยกันตลอดตอนที่กินข้าวด้วยกัน หรือเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ติดงาน คุณพ่อไปไดรฟ์กอล์ฟ เราก็ไปด้วย ไปนั่งรอ กิจกรรมอีกอย่างก็คือ คุณพ่อจะพาลูกๆ ไปช่วยเลือกเครื่องเสียง เพราะคุณพ่อจะชอบเครื่องเสียงมาก กิจกรรมอะไรที่คุณพ่อมี ก็จะเอาพวกเราเข้าไปด้วยตลอด

 

ความสัมพันธ์กับพี่น้องอีกสองคน เป็นอย่างไรบ้าง

ก็มีกันสามคนพี่น้อง พูดได้เต็มปากเลยว่า บ้านนี้สนิทกันมาก อาจเป็นเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันเยอะ ตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย ชีวิตเราก็มีหลากหลายรสชาติ แต่ทุกรสชาติก็จะอยู่กับพี่ๆ ของเราเสมอ ครอบครัวเราเลยสนิทกันมาก

 

เรื่องอะไรที่คุณพ่อมักสอนคุณบ่อยๆ 

คุณพ่อจะชอบเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ลงเลือกตั้งเป็นนายกฯ นโยบายต่างๆ ที่ไทยรักไทยเสนอตอนนั้น เราจะได้รู้ทุกขั้นตอน เช่น วันนี้มีการประชุมกับกลุ่มคุณหมอนะ วันนี้ประชุมกับนักวิชาการนะ เพื่อจะทำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แล้วคุณพ่อก็จะมีความอิน อินตรงที่ว่านโยบายนี้จะช่วยคนได้มากเลยนะ มันจะทำให้ โห อีกหน่อยถึงใครจะผ่าตัด เขาก็จ่ายเงินแค่ 30 บาทเท่านั้นคุณพ่อก็จะมาเล่าให้ครอบครัวฟัง เราก็อินไปด้วย 

ตอนนั้นยังเป็นเด็กมัธยมฯ นั่งฟังก็แบบ จริงหรือ เขาจ่ายแค่ 30 บาทนี่นะ แต่เขาสามารถจะผ่าตัดได้เลย เราก็รู้สึกตื่นเต้น แปลกใจไปกับสิ่งที่คุณพ่อเล่า นี่แค่ตัวอย่างเดียว แต่ความจริงตอนนั้นเราอินกับทุกนโยบายของเขาเลย

 

ชีวิตของการเป็นลูกนายกฯ ในช่วงแรก หรือช่วงฮันนีมูนทางการเมืองของคุณทักษิณ เป็นอย่างไรบ้าง

แน่นอน เราภูมิใจอยู่แล้วในการที่มีคุณพ่อเป็นนายกฯ เราคิดเสมอว่าคุณพ่อเก่งในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แล้วตอนนั้น ถ้าจำกันได้ก็คือเศรษฐกิจดีมากๆ ทุกคนก็จะชื่นชมคุณพ่อ

แต่ถ้าถามว่าเราได้สิทธิพิเศษอะไรจากการเป็นลูกนายกฯ ไหม ไม่มี ไม่ได้ใช้เลย เราเองเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไปโรงเรียน ไปมหาวิทยาลัยตามปกติ ไม่มีตำรวจพาไป ไม่มีการดูแลเป็นพิเศษ อาจจะโดนโจมตีมากกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ 

คือถ้าเราเป็นเหมือนบุคคลสาธารณะคนอื่นๆ อันนั้นคือจบ แต่ในอีกด้านหนึ่ง พอเราเป็นลูกนายกฯ เป็นลูกนักการเมืองที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่สามารถถูกวิจารณ์ได้ในระบอบประชาธิปไตย แน่นอนว่ามีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ตั้งแต่โตขึ้นมาก็โดนเสมอ นับแต่วันที่เรายังไม่มีการ์ดตั้งรับเลยด้วยซ้ำว่าเราจะทนกระแสต่างๆ เหล่านี้ได้หรือไม่

 

พอถึงช่วงเวลาที่เริ่มมีม็อบไล่คุณทักษิณ ไปจนถึงเกิดการรัฐประหาร (19 กันยายน 2549) คุณต้องเจอกับอะไรบ้าง

ช่วงที่แรงๆ คือช่วงที่กำลังจะเกิดการรัฐประหาร มีม็อบพันธมิตรฯ (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) เราเรียนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ในฐานะลูกนายกฯ เราก็ค่อนข้างที่จะรู้และรับมันได้ว่าทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น

แต่สุดท้าย มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เช่น เราอยู่ในห้องเรียน แล้วก็โดนชี้มาว่าอุ๊งอิ๊งค์ พ่อเธอน่ะซึ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนนะ มันไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมประชาธิปไตยแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาวิจารณ์ว่ารัฐบาลเป็นอย่างไร นายกฯ ไม่ควรทำเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลหนึ่งสองสามสี่ห้า แต่จะเป็นแบบพ่อเธอน่ะ ไม่ควรทำอย่างนี้มันก็ต่อเนื่องกันไป

ถามว่าโดยส่วนตัวรู้สึกอย่างไรบ้าง ทั้งหมดเราก็รู้สึกลึกๆ ในใจอยู่บ้าง จริงๆ เราไม่ชอบหรอก แต่ในจุดนั้นไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ให้คนไม่พูดถึงก็คงไม่ได้

ภาพ: AFP

ตอนคุณยังเด็กกว่านี้ เห็นสภาพแบบนั้นแล้ว ยังนึกอยากเข้ามาทำงานการเมืองตามแบบคุณพ่อไหม

ตอนคุณพ่อเป็นนายกฯ สมัยแรก และตอนที่คุณพ่อเล่านโยบายต่างๆ เราอยากเข้ามาทำงานการเมืองนะ การเมืองคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันทำให้หลายๆ อย่างเป็นไปได้เวลาที่คุณพ่อพูด ทุกอย่างดูง่าย แล้วก็เกิดขึ้นได้จริง การเมืองคือความเป็นไปได้

ถึงเราจะเป็นเด็ก ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังมากมาย แต่ทั้งหมดทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลง คุณพ่อเองก็เป็นฮีโร่ของเราอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าสู่การเมือง เราก็อยากพัฒนาประเทศ อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ นั่นคือ passion ของเด็กที่มีความฝัน ก็คิดว่าอยากทำงานการเมือง อย่างไรก็ตาม พอมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น เราก็รู้สึกถอยเหมือนกัน รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแรงเหมือนกัน 

แต่พอถึงวันนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกที่เป็นอารมณ์แล้ว เป็นความรู้สึกที่ เฮ้ย! เรามีลูก แล้วลูกเราจะโตขึ้นมาในประเทศแบบไหน ในสังคมแบบไหน ในเศรษฐกิจแบบไหน อันนี้เราคิดอีกแบบ มันเป็นช่วงอายุของเราด้วยที่โตขึ้นมา มีความคิดที่เปลี่ยนไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

เพราะฉะนั้น ในวันนี้ที่ได้เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย มาเป็นประธานคณะที่ปรึกษาฯ ก็รู้สึกเลยว่า อยากจะเป็นส่วนหนึ่งเหมือนกันที่ได้ผลักดันอะไรสักอย่างให้กับประเทศนี้ได้บ้าง

 

ถ้าอย่างนั้น การที่คุณอิ๊งค์เลือกเรียนรัฐศาสตร์ มาจากความชื่นชมในตัวคุณพ่อ และความสนใจแวดวงการเมืองใช่ไหม

ถ้าดูประวัติการเรียนเรา ก็จะเห็นว่าใช่เลย ช่วงที่เรียนรัฐศาสตร์เพราะคิดว่าเราน่าจะมีบทบาทอะไรได้บ้างที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่พอเหตุการณ์เปลี่ยนไป ตอนเรียนปริญญาโท เราก็เลือกเรียนเกี่ยวกับการโรงแรม เพื่อที่จะมาช่วยบริหารงานที่บ้าน เพราะที่บ้านทำธุรกิจ hospitality อยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนมาทางด้านนี้แทน

 

ความทรงจำแรกของสังคมไทยที่มีต่อคุณน่าจะเป็นเรื่องการสอบเอ็นทรานซ์เข้าจุฬาฯ ช่วงนั้นคุณโดนโจมตีหนักมากว่า คุณทักษิณมีส่วนในการช่วยให้คุณเข้าจุฬาฯ ได้ ความทรงจำของคุณต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร

(นิ่งคิด) จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาจะ 20 ปีแล้ว คือพอตอนที่เราเข้ามา มันก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์ ถูกไหม แล้วอาจารย์ทุกคนก็ผ่านหมด รับรองเราหมด ทุกอย่างมีกระบวนการตรวจสอบทั้งหมด แต่คนก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ดี 

อันที่จริงก็เข้าใจธรรมชาติของการเมืองว่า จำเป็นต้องดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม แต่สำหรับเราตอนนั้น มันก็เป็นปมใหญ่อยู่แป๊บนึง แล้วก็เล็กไปเลย เพราะชีวิตในมหาวิทยาลัยมันเข้มข้นกว่า 

วันนี้ ถ้าพูดกันจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ คงรู้สึกว่า ขนาดนี้เลยหรือ เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้เล่าทุกเรื่องที่เจอ เพราะตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่กำลังแบกรับปัญหาระดับประเทศ เราก็ไม่ใช่คนที่จะรู้สึกว่า เอาปัญหาเด็กอายุ 19-20 ไปแก้ด้วยนะ ช่วยฉันแก้ปัญหาด้วยนะ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราปรึกษาปัญหากันเองระหว่างพี่น้อง อาจมีบางเรื่องที่เรานำไปเล่าให้พี่ๆ เขาฟัง แต่เอาเข้าจริง เรื่องดราม่าต่างๆ ที่เจอ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเท่าไร เพราะเขาเผชิญเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่านั้นมาก 

 

บรรยากาศที่จุฬาฯ ตอนนั้นที่คุณบอกว่าเข้าไปแล้วเข้มข้นกว่าตอนสอบเอ็นทรานซ์ มันเป็นอย่างไรหรือ

อย่างในห้องสมุด เราเดินเข้าไปตากแอร์ตอนเที่ยง คนเห็นก็รู้ว่าใคร เราก็จะไปทุกวันอยู่แล้ว ทีนี้ พอเขาเห็นว่าช่วงหนึ่งเราไปบ่อย ก็มีป้ายทำจากผ้าดิบเลยนะ แขวนอยู่หน้าห้องสมุด ตรงนั้นเป็นบันไดใช่ไหม ก็ต้องเดินผ่านบันได แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าห้องสมุดไป ป้ายใหญ่มาก เขียนด่าคุณพ่อว่าคนขายบะหมี่ต้องจ่ายภาษี นายกฯ ของประเทศไม่จ่ายหรือตามซุ้ม บนพื้นทางเดินก็มีคนพ่นสีว่าคุณพ่อ 

ในที่ที่เราอยู่ทุกวัน ไปมหาวิทยาลัยทุกวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็นเราก็ใช้เวลาตรงนั้น ใช้เวลาที่นั่นทุกวันกับเพื่อนเรา ในชีวิตของเราก็มีป้ายพวกนี้ประกอบอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเหตุการณ์ค่อนข้างแรง

ส่วนของเราก็เคยมีข่าวออกไปมั้ง ที่มีอาจารย์บางท่านที่จุฬาฯ ที่แรงกับเราเลย สมมติว่าเขาไม่ชอบนโยบายคุณพ่อ หรือไม่ชอบสิ่งที่รัฐบาลคุณพ่อทำ เขาก็ว่าเราโดยตรง นั่งๆ อยู่ก็ชี้มาที่เราเลย เราก็รู้สึกหน้าเย็นๆ มีหลายครั้งที่รู้สึกว่าเหมือนจะไม่ไหว แบบอีกนิดจะร้องไห้แล้ว แต่มันก็ต้องไหวน่ะ 

เรื่องเหล่านี้ทำให้พอเราโตขึ้นมาแล้ว เราเพิ่งรู้ว่าช่วงนั้นเรากลายเป็นคนร้องไห้ไม่ออกเป็นปี ร้องไม่ออกเลย ไม่รู้ทำไม จนกระทั่งเพื่อนทักว่า เฮ้ย! เจอเรื่องแบบนี้ไม่ร้องไห้หรือ เราก็อึ้ง แล้วคิดในใจ ร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรก็จำไม่ได้ มันร้องไม่ออก เหมือนร่างกายปิดสวิตซ์น้ำตาไปแล้ว 

เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงร้องไห้ไม่ออก หรือเพราะความที่คุณเป็นลูกคุณทักษิณ จึงเสียน้ำตาไม่ได้ หรือต้องแกร่งไว้ก่อน

มีครั้งหนึ่ง หลังจากที่คุณพ่อโดนยึดอำนาจไปแล้ว ตอนนั้นคุณพ่ออยู่ที่อังกฤษ กำลังทำทีมแมนเชสเตอร์ซิตี พี่สาวพี่ชายก็ไปช่วยทำงาน คุณแม่ก็อยู่อังกฤษด้วย เขาประชุมเรื่องแมนฯ ซิตีกันอยู่ จำได้เลย แล้วเราก็รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว ซึ่งก็เหงานะ 

ตอนนั้นเรารู้สึกว่าโดนเยอะจัง โดนกระแสทั้งเพื่อนในคลาสที่มีคนที่แรงใส่เราด้วย แต่ที่คิดขึ้นมาตลอดก็คือ เราไม่ควรจะเอาปัญหาของเราไปทำให้พ่อแม่หนักใจ เลยระบายกับพี่สาว ตอนนั้นโทรไปหาพี่สาวที่อังกฤษแล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง ร้องไห้เลย ร้องหนักมาก ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าเขาประชุมกับคุณพ่อคุณแม่อยู่ 

พี่สาวเขาก็ตกใจเหมือนกันว่า ทำไมเราถึงร้องไห้หนักขนาดนั้น เขาก็บอกพ่อกับแม่ว่า น้องร้องไห้นะ แล้วหลังจากนั้น พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามาก เปลี่ยนความสนใจมาที่เราเลยว่า อิ๊งค์เป็นไงบ้าง โอเคไหม อยู่ที่บ้านได้ไหม ตอนนั้นคือจบ เรารู้สึกเลยว่า เฮ้ย! เราไม่น่าที่จะปล่อยออกมาขนาดนั้น เหมือนทำให้เขาลำบากใจ เลยรู้สึกว่าต่อจากนี้ไปเราต้องเข้มแข็ง แล้วมันคงไปกดสวิตซ์อะไรสักอย่างในตัวที่อาจจะเข้มแข็งไปหน่อย หลังจากนั้นก็คือร้องไห้ไม่ออกเป็นช่วงใหญ่ๆ พอเจอเรื่องต่างๆ เลยกลายเป็นไม่ร้องไห้ คงโดนกดไปแล้ว ตอนนี้หายแล้วนะ แต่ก็อย่าจี้มาก เดี๋ยวร้อง (หัวเราะ

 

วันที่รัฐบาลคุณทักษิณโดนรัฐประหาร คุณอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ 

ช่วงนั้นอยู่ปี 3 กำลังจะสอบมิดเทอม เราก็ขับรถไปคอนโดฯ เพื่อน จะไปอ่านหนังสือกัน จู่ๆ คุณแม่ก็โทรมาให้รีบกลับบ้าน เพราะมีรถถังออกมา ให้กลับบ้านได้แล้ว เราก็ตกใจนะ ต้องรีบขับรถกลับ 

ระหว่างขับรถกลับบ้าน คุณแม่ก็โทรมาบอกว่ากลับบ้านไม่ได้แล้ว มีทหารมาปิดซอยบ้าน ดักไว้หมดแล้ว ตอนนั้นตกใจมาก เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ แล้วก็ได้ยินเพื่อนบอกก่อนที่จะขับรถออกจากคอนโดฯ เขาก็พูดว่า ถนนเส้นนั้นเส้นนี้มีรถถังออกมา ในหัวก็นึกไม่ออกว่า การเอารถถังมาปิดถนนมันเป็นอย่างไร 

พอวันนั้นขับรถกลับ คุณแม่ก็บอกให้เปลี่ยนเส้นทางไปเซฟเฮาส์ อยู่ในที่ที่คิดว่าจะไม่มีคนตาม ไม่มีคนรู้ แล้วก็ไปอยู่กับคุณแม่ ตอนนั้นพี่โอ๊คก็อยู่อีกที่หนึ่ง เพราะมาจากคนละที่กัน มาเจอกันไม่ทัน ก็ต้องกระจายตัวกัน เราอยู่กับคุณแม่ ขณะที่พี่เอมกำลังเรียนอยู่ที่อังกฤษ ส่วนคุณพ่ออยู่ที่อเมริกา ไปประชุมที่สหประชาชาติ 

 

ความรู้สึกแรกของการเป็นลูกนายกฯ ที่ถูกยึดอำนาจ แล้วชีวิตไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นอย่างไรบ้าง

ในวันนั้น คำว่ารัฐประหารยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่ในหัว ยังไม่คิดว่าเขาสามารถทำได้จริง เพราะไม่ได้มีการยึดอำนาจมาแล้ว 15 ปีได้มั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กับครอบครัวก็คือ กระทบกับชีวิตในมหาวิทยาลัยเต็มๆ เพราะตั้งแต่ที่มีม็อบพันธมิตรฯ ออกมา ก็แบ่งเป็นสองฝั่งอยู่แล้ว คือมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบ เวลาเราไปไหนหรือไปเดินห้างฯ ก็มีคนแสดงสีหน้า แสดงอาการที่ไม่ชอบออกมา จนทุกวันนี้มีคนถามว่า ถ้าเจอทักได้ไหม เราก็จะบอก ทักได้เลย ยิ้มได้เลย เพราะว่าเราเคยเจอแบบไม่ยิ้ม ไม่ทัก หรือตะโกนว่าเรามาแล้วหลายรอบ ทั้งหมดก็เป็นอะไรที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

และถ้าให้เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเองว่า วันหนึ่งเคยเป็นลูกนายกฯ และอีกวันหนึ่งคุณพ่อโดนรัฐประหารไปแล้วรู้สึกอย่างไร วันนี้นึกย้อนไป เราต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่นะ เขาสร้างครอบครัวที่แข็งแรงมาก ถึงโดนรัฐประหารก็ยังไม่รู้สึกว่าโลกมันสลาย เราแค่รู้สึกเป็นห่วงคนในครอบครัว รู้สึกห่วงว่าจิตใจเขาจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของความเป็นห่วงเป็นใยกันมากกว่า

แต่ความรู้สึกต่างๆ นั้น ไม่เคยเปลี่ยน เรายังเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิม เรายังมีพี่สองคนเหมือนเดิม เรายังเห็นหน้ากัน นี่คือสิ่งที่ยังคงอยู่

 

บังเอิญเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งที่คุณทักษิณเคยถามคุณว่าเป็นลูกพ่อลำบากขนาดนั้นเลยหรืออยากรู้ว่าขณะนั้นที่ได้ยิน คุณอิ๊งค์รู้สึกอย่างไร

นี่ตั้งใจมาถามจี้เราใช่ไหม (ยิ้ม) ไม่ลำบาก เราไม่เคยลำบากในการเป็นลูกคุณพ่อ เพราะว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด แน่นอนว่าการเป็นลูกนายกฯ การผ่านวิกฤตในชีวิตต่างๆ ของเด็กอายุ 18-20 มาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ มันมีเรื่องยากแน่นอน ไม่ใช่ทุกอย่างง่ายหมด แต่สิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตวันนี้ ก็คือการได้เป็นลูกคุณพ่อ

 

แล้วในทางการเมือง ที่ตอนนั้นคุณทักษิณก็มีข้อกล่าวหา มีคดีความต่างๆ คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับข้อกล่าวหาเหล่านั้น

รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม รู้สึกว่าคำนี้มีอยู่จริง คือคำว่าไม่ยุติธรรม

 

หลังจากการยึดอำนาจ ช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่บอกอะไรกับคุณบ้าง

(นิ่งคิด) ตอนนั้นเราคุยกันหลายอย่าง คือจริงๆ ด้วยความที่เราต่างอยู่กระจายกัน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น เราไม่รู้ว่าเขามาดักตรงไหน มารอเราอย่างไร เราสายตาสั้น และช่วงนั้นยังไม่ได้ทำเลสิก เราก็เตรียมแว่นไว้ในองศาที่เราสามารถหยิบได้ตลอดเวลา เพราะว่าบางทีก็มีเรื่องของความปลอดภัย มีแบบโดนปิดซอยแล้ว เราไม่สามารถอยู่บ้านได้ ช่วงหนึ่งจะออกจากบ้านไปตอนกลางคืน ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเลย แล้วเวลานั้นก็มีหลายคนที่ถูกเชิญเข้าไปในค่ายทหาร 

ตอนนั้นพวกเราลำบากกันมาก แต่คุณพ่อคุณแม่ก็อธิบายตลอดนะ ทำให้รู้ว่าเหตุการณ์มันควบคุมไม่ได้หรอก มันมีอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่พวกเราก็ยังมีกันและกันในครอบครัว ไม่เป็นไรนะ สุดท้ายเรายังคงอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความมั่นใจได้

ในช่วงเวลา 15 ปีกว่าที่คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว คุณเป็นอย่างไรบ้าง ได้ทำอะไรบ้าง แล้วรู้สึกอย่างไรกับการเมืองที่ดูเหมือนจะทำร้ายครอบครัวคุณอย่างหนักหนาสาหัส

เอาจริงๆ เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเมืองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เรายังยิ้มได้ เรายังทำนู่นทำนี่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ผ่านอะไรมาเลยนะ เราผ่านแน่ แต่สุดท้าย มันขึ้นกับตัวบุคคลมากกว่าว่าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นๆ อย่างไร ทุกคนมีโหมดเอาตัวรอดของตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 

คนเรารับมือกับแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน ถามว่าในใจเวลาผ่านวิกฤตต่างๆ มา เราผ่านความบอบช้ำไหม มันมีแน่ ไม่มีใครไม่มีหรอก ผ่านมาขนาดนี้แล้ว เพื่อนสนิท เพื่อนที่เคยสนิทกัน เมื่อเขาคิดต่าง ก็หายไป

ใช่ เราควรจะพูดว่ามันเป็นประชาธิปไตย ใครๆ ก็คิดต่างกันได้ เราก็คิดแบบนั้นแหละ เพื่อปลอบใจตัวเอง แต่สุดท้ายคนที่โดนก็คือพ่อไง มันยากนิดหนึ่งกับการที่พอมันเป็นเรื่องส่วนตัว เราเริ่มมีความรู้สึกเยอะ แต่เราก็ผ่านมันมาได้ ด้วยความรู้สึกว่าเราไม่สามารถคอนโทรลได้ทุกเรื่อง ไม่สามารถแก้ไขได้ทุกเรื่อง ทางเดียวที่ทำได้ คือต้องเข้มแข็ง

15 ปีกว่าที่ผ่านมา ผ่านอะไรมาบ้างหรือคะ ผ่านเยอะมาก แค่ในเรื่องของชีวิต วันนี้ก็แต่งงานแล้วเนอะ มีลูกแล้ว ตอนนี้คุณพ่อก็เป็นคุณตาแล้ว คุณพ่อก็เป็นคุณตามาตั้ง 7-8 ปีที่แล้ว เราก็หาจุดที่ครอบครัวเราจะมีความสุขร่วมกันได้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา

 

ทำไมดูเหมือนคนในตระกูลชินวัตรถึงไม่เข็ดกับเรื่องการเมือง ทำไมยังเลือกที่จะอยู่ในสนามการเมืองต่อไป ทั้งที่ยังมีหนทางทำงานอื่นๆ อีกมากมาย

ในแง่ของธุรกิจ บ้านเราทำธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แน่นอนละ วิกฤตครั้งนี้โดนเต็มๆ ไม่ใช่แค่ของเรานะ ทุกประเทศทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริการโดนทั้งหมด 

เรารู้สึกเลยว่าได้ผ่านวิกฤตเรื่องของธุรกิจ ได้เซนส์ของภาคธุรกิจเข้ามา แล้วพอมองประเทศชาติ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง ก็ยังไม่มีอะไรที่ดีขึ้น คิดจริงๆ จินตนาการจริงๆ ว่าสุดท้ายลูกจิ๋วของเราจะโตขึ้นมาในประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบไหน มีโอกาสแบบไหนบ้างที่รอเขาอยู่ วันนี้เรายังนึกไม่ออก 

อีกส่วนคือ เรารู้สึกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองหลัก และเราเองก็น่าจะมีส่วนในการช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ไปเป็นกลไกหนึ่งของสภาฯ ก็จะมีสิทธิ์ในการพัฒนาประเทศชาติให้ไปข้างหน้าได้ ให้เป็นพื้นที่สำหรับโอกาสของคนรุ่นใหม่ สำหรับคนรุ่นลูกรุ่นหลานเราจะได้มีโอกาสต่อไป 

ตรงนี้ เราคิดว่าถ้าทำอะไรได้ เราก็จะทำ จะช่วยพัฒนาประเทศไทยต่อไป หรือช่วยเป็นประตูหนึ่งให้มีการเชื่อมต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น เด็กรุ่นใหม่รุ่นนี้ไปจนถึงรุ่นที่เป็นเบบี้บูมเมอร์ โอเค เขาอาจจะไม่ใช่รุ่นที่จะมาทำงานจริงจังเหมือนกับคนรุ่นที่ขึ้นมาใหม่ แต่เขาก็จะเป็นที่ปรึกษาได้ อย่างคุณพ่อเองเป็นคนที่อินกับเทคโนโลยีมากๆ แล้วก็อัพเดตตัวเองอยู่เสมอ ยังเคยคุยกับคุณพ่อเลยว่า เสียดายเนอะ เสียดายโอกาสต่างๆ ที่ประเทศเราพลาดไป มันประเมินค่าไม่ได้จริงๆ

 

คุณอิ๊งค์เลือกก้าวเข้ามาบนเส้นทางการเมืองแบบนี้ ถามจริงๆ ว่ากลัวบ้างไหมที่คุณอาจจะเจออะไรเหมือนกับคุณทักษิณ หรืออย่างคุณยิ่งลักษณ์ อาของคุณ เจอกันมาแล้ว

พูดจริงๆ ว่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเหมือนกันนะคะกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราเชื่อว่าความยุติธรรมต้องมีบ้างล่ะ ถ้าเราไม่มีความหวังสำหรับชีวิตเลย มันจะมีอนาคตได้อย่างไร เราว่ามันต้องมีความหวัง

 

คุณมองเห็นอะไรในพรรคเพื่อไทย ถึงได้เข้ามารับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาฯ ของพรรค

ที่มองเห็นในพรรคเพื่อไทย ก็คือศักยภาพของคน และทรัพยากรคนที่มีคุณค่า เรารู้สึกได้เลยว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถทำได้ด้วยคนหนึ่งคน เราหนึ่งคนทำไม่ได้หรอก มันต้องอาศัยทีม ต้องอาศัยพรรค ต้องอาศัย passion

 

เมื่อตระกูลชินวัตรเข้ามาเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว ครั้งก่อนเป็นน้องสาวคุณทักษิณ ครั้งนี้เป็นลูกสาวคุณทักษิณ อาจมีคนตั้งคำถามว่าพรรคเพื่อไทยเป็นธุรกิจครอบครัวมากกว่าสถาบันการเมืองหรือเปล่า คุณคิดอย่างไรกับประเด็นนี้

ใครจะคิดอะไรก็คิดได้ เรื่องนี้ต้องใช้เวลา ใช้สถานการณ์ และให้โอกาสเรากับพรรคเพื่อไทยได้พิสูจน์มากกว่าว่าเราทำอะไรได้บ้าง และเรามี passion ในการพัฒนาประเทศอย่างไร

 

เมื่อเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทยแล้ว เท่าที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ได้ทำอะไรบ้าง หรือให้คำปรึกษาเรื่องใดบ้าง

ความตั้งใจของเรา เราอยากให้มีดีเอ็นเอของพรรคไทยรักไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ข้อดีคือ ประชาชนอยากเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองมากขึ้น ก่อนหน้านี้ เรามองว่าประชาชนกับพรรคการเมืองมีจุดเชื่อมต่อกันน้อยลง แต่ถ้าประชาชนเข้ามาแล้ว เราอยากเชื่อมพรรคการเมืองกับประชาชนที่มีความสามารถ แล้วนำความคิดเห็นต่างๆ มาเป็นข้อดีในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป โดยผ่านตัวกลางอย่างพรรคการเมือง 

เราอยากได้ดีเอ็นเอเดิมนั้นของพรรคไทยรักไทย แต่ในเวอร์ชันใหม่ ที่มีนวัตกรรมต่างๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ได้เพื่อพัฒนาพรรคอย่างเดียว แต่เพื่อพัฒนาประเทศได้ หรือก้าวไปในระดับโลกได้ 

ตั้งแต่เข้ามาประชุมที่พรรคหลายๆ รอบ ได้คุยกับทีมงาน มีแผนอีกหลายแผนเหมือนกันที่พวกเราอยากทำ และพร้อมทำเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป

ตอนนี้เราไม่ได้คิดหรอกว่า เราเข้ามากับพรรคเพื่อไทย แล้วเราจะสามารถดีดนิ้ว แล้วสุดท้ายทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่ว่าเราค่อยๆ เข้ามาเพื่อที่จะทำงานเป็นทีม รวมกลุ่มกับพรรคเพื่อไทยในการแก้ปัญหาที่เราสามารถแก้ได้ เริ่มจากจุดเล็กๆ ไปหาจุดที่ใหญ่ขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เรามีความหวัง และพยายามทำมันทุกวัน

คุณอยากเห็นอะไรในการเมืองไทย

อยากเห็นคนรุ่นใหม่ได้รับโอกาส ไม่ใช่แค่โอกาสทางการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นเวทีให้เขาแสดงศักยภาพของเขา ยกตัวอย่างเช่น ปกติ นักท่องเที่ยวของประเทศเราเยอะมากนะ ถ้าก่อนโควิด ไทยเป็นประเทศที่ต่างชาติเลือกเลย ถ้าเราสามารถสนับสนุนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ให้มากขึ้น ดึงศักยภาพของเด็กรุ่นใหม่ออกมา จะช่วยอะไรได้อีกเยอะ 

เราลองไปดูในอินเทอร์เน็ต ก็เห็นความสามารถต่างๆ ของพวกเขา ที่เขาทำคลิปขึ้นมาเพื่อบอกตัวตนของพวกเขา เราว่าคนไทยมีความเป็นครีเอทีฟสูงมาก แล้วก็มีความสามารถเยอะมาก แต่ไม่มีเวทีให้เขาได้แสดงออก ตรงนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยสามารถผลักดันเด็กๆ ให้ได้แสดงทั้งในเวทีระดับประเทศ และในเวทีโลก จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสอีกมาก

เพราะเราไปต่างประเทศบ่อย เราได้เห็นโอกาสของประเทศต่างๆ เยอะ เห็นการเรียนการสอนเด็กที่ล้ำหน้าไปมาก อย่างตอนสมัยคุณพ่อเป็นนายกฯ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศชาติดีจริงๆ จนสิงคโปร์หันมามองแล้วว่าประเทศไทยขึ้นไปสูสีกับเขาแล้ว ประเทศเราพลาดช่วงเวลาตรงนี้ไปเยอะมาก 

 

บทบาทการเมืองของคุณจะอยู่ตรงไหน นอกเหนือจากการเป็นประธานคณะที่ปรึกษาฯ ของพรรคเพื่อไทย

ที่แน่ๆ คือได้เห็นเราอยู่ในพรรคเพื่อไทยเหมือนตอนนี้ ตำแหน่งตอนนี้ก็ยังทำหน้าที่ของประธานคณะที่ปรึกษาฯ เป็นหลัก

 

จะได้เห็นคุณเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปไหม

โอ้โฮ ยุบสภาฯ ก่อน เดี๋ยวว่ากัน (ยิ้ม)

 

พูดถึงในพี่น้อง 3 คน คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า คุณอิ๊งค์เป็นคนที่เหมือนคุณทักษิณมากที่สุด

หน้าใช่ไหม อันนี้ใช่ จังหวะการพูดด้วยหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเราพูดเร็วกว่า 

ภาพ: AFP

คือนอกจากหน้าคุณจะเหมือนคุณพ่อแล้ว ท่าทางคุณก็ดูโผงผางเหมือนกันด้วย

ไม่เลย เราเรียบร้อย เราเป็นสาวหวาน (หัวเราะ) ล้อเล่น คือเรามีอารมณ์ขันเหมือนคุณพ่อ แต่จริงๆ แล้วที่บ้านก็เป็นคนมีอารมณ์ขันกันทุกคน แต่ที่เหมือนที่สุดคือหน้าตา อันนี้เหมือนคุณพ่อแน่นอน ไม่มีใครเถียง 

ส่วนที่ไม่เหมือน คือคุณพ่อเป็นคนใจดี แต่เราก็ไม่ได้ใจร้ายนะ และคุณพ่อเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรามองโลกในแง่ร้ายนะ เพียงแต่คุณพ่อมองโลกในแง่ดีมากกกก (ลากเสียงยาว) พูดตรงๆ นะ เขาเป็นคนไม่โกรธ ไม่อาฆาต คุณพ่อจะพูดตลอดเวลาว่าช่างมันเถอะ ให้มันผ่านไป ไม่ต้องไปสนใจ

แต่เขาจะเป็นคนที่จริงจังในการทำงาน มันต้องได้ ต้องเป๊ะ เขาเป็นคนจริงจังชนิดที่ว่าโปรเจ็กต์ที่เขาดัน อย่างไรก็ต้องเกิดให้ได้ อีกอย่างหนึ่ง คือเขาเป็นคนเหนือ เป็นคนพูดเนิบๆ เป็นคนใจดี หลายคนที่ไม่รู้จัก อาจรู้สึกว่าคุณพ่อดุ แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย

ที่เราชอบแซวกันในบ้านคือคุณพ่อเป็นคนเนิร์ด ไม่ชอบทำผิดกฎ เขาจะอึดอัด ถ้าต้องเข้าแถวแล้วมีคนไม่เข้าแถว เขาจะทำหน้าอึดอัด เรารู้ เราเห็นหน้าเขาก็รู้ว่าไม่ชอบอะไรแบบนั้น

 

สรุปว่าคุณสมบัติอะไรที่คุณได้จากคุณพ่อของคุณมากที่สุด

นอกจากหน้าก็แก้ม (หัวเราะ) หน้าอันดับหนึ่ง แต่จริงๆ เราคิดว่าคงได้ความเป็นคนมุ่งมั่นเหมือนกัน เราก็ค่อนข้างจะเป็นคนแบบนี้ล่ะ อย่างที่เห็น เขาเรียกว่า ‘you get what you see.’ แบบนี้

 

แล้วกับคุณแม่ล่ะ คุณอิ๊งค์มีอะไรที่คุณเหมือนคุณแม่บ้างไหม

ไม่แน่ใจ ต้องไปถามคุณแม่ เราเอาสิ่งที่อยากเหมือนคุณแม่แล้วกัน เราอยากเลี้ยงลูกให้รักกันเหมือนที่คุณแม่ทำ คือไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร อาจจะต้องไปจดโน้ตจากคุณแม่ เพราะว่าจริงๆ พอเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่น้องคือกำแพงที่หนานุ่มของกันและกันอย่างมาก ถ้าไม่มีพี่น้อง พูดได้เลยว่าเราจะงงมากว่าชีวิตจะไปต่ออย่างไร คือเหมือนเขาปูทางมาให้เรารักและเห็นใจกันมาก นี่คือสิ่งที่เราอยากเหมือนคุณแม่ 

 

วันนี้ ที่คุณก็เป็นแม่คนแล้ว การเลี้ยงลูกของคุณมีอะไรที่แตกต่างหรือเหมือนกันกับคุณแม่ของคุณบ้าง

สิ่งที่คุณแม่สอนโดยที่คุณแม่อาจจะไม่รู้ตัวว่าคุณแม่สอน คือการทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนตัวเองมากกว่า ในสังคมหรือสภาวะการเมืองที่มันเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณแม่เองก็คงไม่ทราบเหมือนกันว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนได้ขนาดนี้ แต่คุณแม่ได้เตรียมเราให้รับมือไหว นี่คือสิ่งที่เราอยากถ่ายทอดสู่ลูก ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่หลังจากนี้ สังคมและโลกทั้งใบจะเปลี่ยนเร็วมากแน่นอน ไม่ว่าจะเทคโนโลยี ไม่ว่าจะนวัตกรรมต่างๆ 

เราอยากสอนลูกให้มีความยืดหยุ่น ให้ปรับตัวได้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปทางไหน และอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีความสุขได้ ให้เขาเป็นเด็กที่มีความฝัน กล้าฝันไว้ก่อน เพราะถ้าไม่มีความฝัน ไม่มีความหวัง ก็หมด ไปต่อไม่ได้

 

ทุกวันนี้คุณอิ๊งค์ได้คุยกับคุณพ่อบ่อยไหม

อยากให้ดูโทรศัพท์เลย ถามว่าวันละกี่รอบดีกว่า อย่างน้อยก็วันละสองรอบ

 

อยู่ไกลกันอย่างนี้ คุณพ่อฝากฝังอะไรคุณไว้บ้าง

ฝากหลาน คุณตาคิดถึงหลานทุกวัน ถ้าในครอบครัวเราจะรู้เลยว่า คุณพ่อไม่ค่อยทำอะไรให้ตัวเอง สมมติว่าเราไปหาเขา เขาจะไม่พูดเลยว่าไปหาเขาได้รึยัง คิดถึงมากแล้วนะ ไม่เคย เพราะเขารู้ว่าลูกเขามีครอบครัว มีงานต้องทำ มีเรื่องของตัวเอง 

เราจะไปหาของเราเองเมื่อเราว่าง แล้วพอเราไปถึง คุณพ่อไม่เคยขอให้เราดูแลเขาเลย แต่เขาดูแลเรา เข้าครัวทำอาหารทันที ลูกอยากไปไหน จำได้ว่าลูกคนนี้ชอบร้านนี้ ชอบทำอย่างนี้ในประเทศนั้นที่เราเดินทางไป เขาเป็นคนที่เอาครอบครัวมาก่อนตัวเองเสมอ

ประสบการณ์จากการทำธุรกิจของคุณ มีอะไรที่อยากนำมาปรับใช้กับงานการเมืองมากที่สุด

ต้องบอกว่าในเชิงการทำธุรกิจสองปีที่เราได้เจอวิกฤตเข้มข้น เราต้องหัดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องมองปัญหาทั้งจาก outside in และ inside out เราต้องตัดสินใจทำหลายอย่างใน 2 ปีที่ผ่านมา จู่ๆ 2 ปีนี้ก็เป็น intensive course ให้ชีวิตเราพอสมควร คิดว่าการบริหารจัดการ การแก้ไขปัญหา สำหรับอายุเท่านี้ที่ได้เจอวิกฤตมาประมาณนี้ ก็น่าจะพอปรับใช้ได้บ้าง ถ้านำเอาจุดนี้ไปใช้กับพรรคการเมือง

 

สมัยก่อน คนค่อนข้างมองตระกูลชินวัตรและพรรคไทยรักไทย รวมถึงคนเสื้อแดงในแง่ลบ แต่เวลาผ่านไป กระแสก็ค่อยๆ เปลี่ยน คุณมองเห็นว่าสังคมวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

คนเสื้อแดงในวันนั้น ไม่ได้ออกมาเพื่อจะเซฟทักษิณคนเดียวนะ เขาออกมาเพราะว่าเขาต้องเซฟเรื่องปากท้องของเขา เพราะว่าเศรษฐกิจมันพังจากการรัฐประหาร พอประเทศมีรัฐประหาร คนที่จะเข้ามาลงทุนก็หาย อันนี้คือ fact เลย 

คนเสื้อแดงได้ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อปากท้องที่ดี เพื่อเศรษฐกิจ เพื่อความเป็นอยู่ของเขาที่มันเคยดี แต่มันถูกทำลายลง เราก็เห็นด้วยแล้วก็อินในส่วนที่เกิดขึ้น 

สมัยนั้นมีบางคนยังไม่เข้าใจเรา หรืออาจจะแอนตี้เรา แต่วันนี้เขากลับมาขอโทษ บอกว่าเข้าใจทุกอย่างแล้ว เราก็ดีใจ เพราะ เวลานั้น อธิบายอะไรไป ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครได้ยิน แต่วันนี้ วันที่มีคนเข้าใจเรา เราก็รู้สึกดี

 

เด็กรุ่นใหม่อาจจะเกิดไม่ทันยุคคุณทักษิณ ถ้าให้คุณพูดถึงตัวตนของคุณทักษิณให้ฟัง คุณจะบอกพวกเขาว่าอะไร

ถ้าใครฟังเขาบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าคุณพ่อเป็นคนที่อัพเดตตัวเองเสมอในทุกอย่างและทุกที่ที่ไป อีกทั้งยังคอยอ่านหนังสือ อ่าน text ต่างๆ เขาเป็นคนที่อัพเดตตัวเองอยู่เสมอ

วันนี้ เรารู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อเป็นนายกฯ แล้วนะ แต่อยากให้ประเทศดีเหมือนตอนนั้น ที่ทุกคนมีโอกาสในชีวิต จริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความตั้งใจ คุณพ่อพูดตลอดว่าคุณพ่อเป็นเด็กบ้านนอกที่หัวดี แล้วเขาก็รู้สึกว่าเด็กบ้านนอกอีกหลายๆ คนยังคงไม่มีโอกาสนั้น โชคดีที่คุณพ่อมีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบด็อกเตอร์ 

วันนั้น เขาคิดว่าเขาเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ได้โอกาส ทุกวันนี้เขาก็ยังคิดว่า ยังมีเด็กในเมืองและเด็กชนบทที่ยังไม่ได้รับโอกาสอีกเยอะ อันนี้เป็น passion ของเขาตั้งแต่เข้ามา เขาต้องการจะพัฒนาให้ประเทศไทยได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ ให้ทั่วถึงมากกว่านี้ 

มันเป็นสิ่งที่เป็น passion ของเขาจริงๆ ถ้าเขาไม่มี passion เขาไม่มีทางทำได้

 

หมายเหตุ: บทความนี้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565

Fact Box

  • แพทองธาร ชินวัตร เป็นลูกสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 และ คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ มีพี่อีกสองคน คือโอ๊ค’ - พานทองแท้ ชินวัตร พี่ชายคนโต และเอม’ – พินทองทา คุณากรวงศ์ พี่สาวคนรอง
  • แพทองธารจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี โดยช่วงปิดภาคเรียนก่อนจะประกาศผลเอ็นทรานซ์ เธอเคยทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาสยามดิสคัฟเวอรี โดยได้ค่าจ้างชั่วโมงละ 23.75 บาท และปรากฏเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หลังจากทักษิณซึ่งดำรงตำแหน่งนายกฯ ไปเยี่ยมเธอที่ร้าน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2547
  • ต้นเดือนเมษายน 2547 ชื่อของแพทองธารกลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า ร้อยตำรวจเอก วรเดช จันทรศร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาในขณะนั้น ซึ่งรู้จักกับทักษิณ ใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสม โดยเปิดดูข้อสอบเอ็นทรานซ์ และนำข้อสอบไปเก็บไว้ในห้องทำงาน ทั้งยังอาจมีกรณีข้อสอบรั่วซึ่งเกี่ยวพันไปถึงตัวแพทองธารซึ่งสอบเอ็นทรานซ์ในปีนั้น โดยฝ่ายตรงข้ามทักษิณเห็นว่าคะแนนสอบเอ็นทรานซ์รอบสองของแพทองธารสูงผิดปกติ ซึ่งอาจโยงใยไปถึงกรณีข้อสอบรั่ว รวมถึงยังมีสื่อมวลชนรายงานว่า ทักษิณกดดันให้คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ภาคอินเตอร์ฯ  แก้กฎให้ลูกสาวเข้าเรียนได้ ซึ่งในที่สุด แพทองธารมีคะแนนจีพีเอไม่ถึงเกณฑ์ ทำให้ไม่ได้เข้าเรียนในคณะนิเทศศาสตร์
  • วันที่ 1 พฤษภาคม 2547 ทักษิณได้ออกมาขอร้องผู้สื่อข่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ผมอ่านข่าวแล้วสะเทือนใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าลูกผมจะสอบได้หรือเปล่า ได้เรียนหรือเปล่า แต่กลับถูกบูชายัญไปเรียบร้อย หาว่าผมไปบังคับเขาให้เปลี่ยนกฎเพื่อลูก สำนึกบ้างเถอะ ขอไหว้อีกที อย่าเอาลูกผมเป็นเหยื่อเลย พ่อคนเดียวก็พอแล้ว ผมรู้สึกขมขื่นที่เห็นเขาแอบร้องไห้คนเดียวในห้อง แต่พยายามปลอบพ่อ กลัวพ่อเครียด ในที่สุด แพทองธารได้ยื่นคะแนนเอ็นทรานซ์อีกรอบในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม จนได้เข้าศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
  • ผลสอบของคณะกรรมการอุดมศึกษา ชุดที่ สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน ซึ่งแต่งตั้งโดย อดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในเวลานั้น ระบุว่า หากพิจารณาจากวิธีวิทยาทางสถิติ พบว่าข้อสอบเอ็นทรานซ์ไม่ได้รั่วเป็นวงกว้าง ผลสอบของแพทองธารในวิชาที่ร้อยตำรวจเอกวรเดชนำข้อสอบไปดูก่อนนั้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของร้อยตำรวจเอกวรเดชเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากธรรมเนียมและจารีตปฏิบัติ และทำให้เกิดความเสื่อมเสียความศรัทธา อย่างไรก็ตาม ผลสอบเรื่องนี้ก็ยังไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องใดกับบุตรสาวของนายกรัฐมนตรี 
  • แพทองธารสมรสแล้วกับ ปิฎก สุขสวัสดิ์ มีบุตรสาวหนึ่งคน ชื่อธิธารพิธีมงคลสมรสของเธอจัดขึ้นถึง 3 รอบ แต่รอบที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด คือพิธีมงคลสมรสที่โรงแรมโรสวูด ประเทศฮ่องกง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 ที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จฯ ร่วมงานด้วย โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นในวันเดียวกันกับการปราศรัยใหญ่ของหลายพรรคการเมือง ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ 24 มีนาคม 2562 เพียงแค่สองวัน
  • ปัจจุบัน แพทองธารดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจโรงแรม บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ดูแลโรงแรมต่างๆ ในเครือ เช่น โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ โรงแรมเทมส์วัลลีย์ เขาใหญ่ สนามกอล์ฟอัลไพน์ และโรงแรมเอสซี ปาร์ค 
Tags: , , , , , , , ,