คุณจดจำ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ในบทบาทไหนมากที่สุด?
ย้อนกลับไป 11 ปีที่แล้ว ณัฐวุฒิถือเป็นแกนนำการเคลื่อนไหวของการชุมนุมที่น่าจะมีมวลชนเยอะที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักชุมนุมยาวนานกว่า 2 เดือน ภายใต้ข้อเรียกร้องเดียวคือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต้องยุบสภา แต่ถ้ามองให้ไกลกว่านั้น ข้อเรียกร้องดังกล่าวยังแฝงความนัยว่า คู่ต่อสู้ของเขา นั่นคือ ‘อำมาตยาธิปไตย’ และระบอบ ‘อำนาจนิยม’ ต้องเลิกหนุนหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์
การชุมนุมครั้งนั้นจบไม่สวย คนเสื้อแดงเสียชีวิตไปกว่า 90 คน ตามด้วยกระแสสังคมที่ประณามณัฐวุฒิว่าเป็น ‘หัวหน้าผู้ก่อการร้าย’ และประณามคนเสื้อแดงว่าเป็น ‘ควาย’ เป็น ‘ทาสทักษิณ’ และเป็นคนต่างจังหวัดที่ไร้การศึกษา
แม้จะสลายคนเสื้อแดงได้ การเมืองไทยก็ไม่ได้เคลื่อนไปไหนไกล จากนั้นไม่นาน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณัฐวุฒิกลายเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่เขาต้องเผชิญกับการชุมนุมใหญ่อีกรอบของ กปปส. ซึ่งลงท้ายด้วยการ ‘พลิก’ อีกตลบเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกรัฐประหาร
ตลอดชีวิตทางการเมือง 14 ปี ของณัฐวุฒิ เขาถูกยุบพรรคไปแล้ว 3 พรรค และในช่วงเวลา 11 ปีที่ผ่านมา ณัฐวุฒิติดคุกไปทั้งสิ้น 3 รอบ รอบล่าสุดเพิ่งพ้นโทษ ได้รับการปลดกำไลอีเอ็มไปเมื่อ 29 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง
แต่แทนที่จะหยุดเคลื่อนไหว ณัฐวุฒิกลับเลือกที่จะเดินต่อ ด้วยการสะท้อนจุดยืนหลังจากพ้นโทษเพียงวันเดียว ผ่านถ้อยแถลง ‘ขอบคุณ’ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ นักศึกษา ที่ไม่ลืมและยังให้เกียรติ ‘คนเสื้อแดง’ ที่ถูกทำให้ด้อยค่ามาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมยังได้นำคำปราศรัยชื่อ ‘เสียงจากดินถึงฟ้า’ ของเขาไปอ่านในการชุมนุมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563
ในวันที่ณัฐวุฒิกลับมาอีกครั้ง เราชวนเขาคุยถึงบทบาท ตัวตน และอนาคต ทั้งของคนที่เป็นนักพูด เป็นแกนนำม็อบ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี และเป็นพ่อของลูกที่อายุไม่ห่างจาก ‘คนรุ่นใหม่’ ในเวลานี้เท่าไรนัก
ที่ผ่านมา คุณเคยผ่านมาแล้วหลายบทบาท ทั้งนักพูด แกนนำม็อบ นักการเมือง รัฐมนตรี คิดว่าช่วงเวลาไหนสนุกที่สุด และไม่สนุกที่สุด
กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ต่อสู้ร่วมกับประชาชน จะว่าสนุกมันก็คงไม่สนุกนัก เพราะมันเกิดโศกนาฏกรรม เกิดความสูญเสีย แต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่เราได้ใช้ศักยภาพทางการเมืองของเราอย่างสูงที่สุด และได้ใกล้ชิดกับประชาชนคนชั้นล่างมากที่สุดจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่วมเป็น ร่วมตาย ร่วมชีวิตกัน ได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วประเทศ เห็นสภาพจริงของปัญหา เห็นอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน โดยเฉพาะคนชั้นล่างที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่เป็นคนที่เสียงเบาที่สุดในสังคมไทย
จากประสบการณ์ตรงนั้น ก็เลยได้มีโอกาสต่อยอด เวลาทำหน้าที่ ส.ส. ทำหน้าที่รัฐมนตรี ก็ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า ในชีวิตการเดินทางบนถนนการเมืองต่อไปข้างหน้า ถ้าจะไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีก ผมรับได้ แต่ผมขอเป็นตัวตนที่ยืนกับประชาชน เหมือนที่เคยทำอย่างเข้มข้น ในช่วงเวลา 2-3 ปีนั้น แล้วที่เดินมาตลอด 10 กว่าปีนี้
ส่วนช่วงที่ไม่สนุกที่สุดคือช่วงหลังจากยุติการชุมนุมปี 2553 อันที่จริงแล้วการชุมนุมปี 2553 ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เป็นเรื่องที่เราสัมผัสมันอย่างเข้มข้นลึกซึ้ง แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น มันไม่มีความสุขเลย ในทางส่วนตัวคือผมถูกจำคุก ผมไม่ได้พบลูกสาวที่คลอดในวันที่ 10 พฤษภาคม ผมได้อุ้มลูกสาวจริงๆ ในวันที่ออกจากคุก ตอนที่เธออายุ 9 เดือนกว่า ผมพบลูกสาวครั้งแรกโดยเธอไม่รู้จักผม ผมพยายามจะอุ้ม แล้วเด็กก็ดิ้น ร้องไห้ เพราะเราไม่เคยเจอกัน
แต่ที่ยิ่งกว่าเรื่องส่วนตัวคือความสูญเสียของผู้คนนับร้อยจากการต่อสู้ทางการเมือง ทุกศพล้วนเป็นประชาชน พวกเขาเพียงใส่เสื้อแดงแล้วออกมาต่อสู้ เรียกร้องประชาธิปไตยบนถนนเท่านั้นเอง แล้วข้อเรียกร้องของเราในเวลานั้นมันพื้นฐานที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือเรียกร้องการเลือกตั้งภายใต้กติกาเดิม ใครจะลงสมัครก็ได้ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่เราไม่ยอมรับ ซึ่งตั้งในค่ายทหาร ถ้าจะลงสมัครอีกเราก็ไม่ขัดข้อง หากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ยังยอมรับรัฐบาลชุดนั้น เราก็พร้อมยอมรับการตัดสินของประชาชนในสนามการเลือกตั้ง แต่เราจะไม่หยุดต่อสู้ ต้องเดินไปข้างหน้าต่อ สุดท้ายสิ่งที่ได้มากลับเป็นความสูญเสีย
ประสบการณ์ตรงนั้นเป็นประสบการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตผม คืนวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นคืนที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตการต่อสู้ทางการเมืองของผม มันสอนผมหลายอย่าง และย้ำเตือนผมว่าสิ่งที่เราสู้มาไม่ใช่การแสดง ไม่ใช่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นเรื่องที่มันเกี่ยวกับเลือดเนื้อชีวิตของคนจริงๆ เราจะเหลวไหลหรือทรยศหักหลังต่อการต่อสู้นั้นไม่ได้
การชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 จบไม่สวย มีความรุนแรงเกิดขึ้น ในฐานะแกนนำ รู้สึกผิดกับมวลชนไหม ที่ทำให้เกิดความสูญเสีย
ผมไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เรากระทำทำให้พี่น้องประชาชนสูญเสีย ความผิดในมิตินั้นมันคงไม่มี แต่มันมีตรงที่เราประเมินสถานการณ์ผิดไป เราประเมินหัวใจของผู้มีอำนาจผิดพลาดไปอย่างมหันต์ ผมเคยนึกภาพในช่วงก่อนการชุมนุมใหญ่ว่า หนักหนาสาหัสที่สุดก็คงเป็นการเอากองกำลังออกมา มีแก๊สน้ำตา โล่ กระบอง กระสุนยาง เพื่อที่จะปราบปราม สลายการชุมนุม เพราะคนเสื้อแดงเราสู้มาตลอด เราไม่เคยมีอาวุธ เรายืนยันหลักการสันติวิธี ไม่เคยมีความรุนแรง หรือมีความสูญเสียใดๆ ก่อนการชุมนุมใหญ่ ปี 2553
แต่พอถึงสถานการณ์จริง เมื่อมีปืนติดลำกล้อง มีพลแม่นปืนซุ่มอยู่ตามตึกสูง มีการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหาร ไม่ว่าจะเป็นรถหุ้มเกราะ มีทหารออกมาหลายหมื่นนาย นี่คือสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เมื่อกำลังเหล่านั้นออกมาปฏิบัติการทางทหารก็เสมือนทำสงครามกลางเมืองกับประชาชนมือเปล่า นั่นเป็นเรื่องนอกเหนือจินตนาการของผม นี่คือสิ่งที่รู้สึกผิดว่าเราประเมินหัวใจของคนมีอำนาจพลาดไปมาก เราประเมินความอำมหิตเพื่อรักษาอำนาจต่ำกว่าความเป็นจริง ดังนั้น มันก็ทำให้ผมและเพื่อนๆ อีกหลายคนต้องแบกรับ เราพยายามทวงถามความยุติธรรมในการทำให้เรื่องนี้ไม่เงียบลงไป
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ทั้งผมและพรรคพวกพยายามตามคดีจากการสลายการชุมนุมในปี 2553 แต่ตามทุกครั้งก็เจ็บหนักทุกที เพราะยิ่งเดินเท่าไหร่ ก็พบว่าวนกลับมาที่เก่า ผมจึงไปนั่งน้ำตาคลออยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะผมต้องทนนั่งฟังเขาแถลงจนจบ โดยมีข้อสรุปว่าคดีทั้งหมดไม่สามารถเอาผิดผู้มีอำนาจหรือผู้สั่งการเวลานั้นได้ ทั้งที่ถ้าไม่มีการสั่งการ กำลังทหารก็ออกมาไม่ได้
ผมไม่อยากให้การต่อสู้ของคนยุคนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้น ผมห่วงใยคนที่เป็นแกนนำ ห่วงใยคนที่มาชุมนุม แน่นอนว่าพวกเขากล้าหาญ มุ่งมั่น ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อย่าประเมินหัวใจของคนถืออำนาจต่ำไป อย่าประเมินหัวใจของคนที่มีอำนาจพอที่จะสั่งลั่นไกต่ำไปเด็ดขาด
ผมจะไม่ใช้คำว่าข้อแนะนำ เพราะผมถือว่า เมื่อยืนต่อสู้ในสนามนี้ด้วยกันแล้ว ผมเคยเดิมพันชีวิตและอิสรภาพอย่างไร วันนี้พวกเขาก็เดิมพันชีวิตและอิสรภาพแบบนั้น ดังนั้น สถานะของผมในปี 2553 และสถานะของแกนนำนิสิตนักศึกษาทั้งหลายในวันนี้ถือว่าเท่ากัน แต่ผมอยากจะแชร์ว่า อย่าทอดทิ้งหลักสันติวิธี ยืนยันหลักการนี้ให้แข็งแรง ให้ชัดเจน นี่คือด้านที่เข้มแข็งที่สุดที่จะหันออกไปปะทะกับอำนาจที่เขาถืออยู่ เมื่อใดก็ตามที่พิราบพยายามจะเป็นเหยี่ยว เราจะเจอกับพญาอินทรี แล้วไม่มีทางที่เราจะต้านทานความรุนแรงแบบนี้ได้ พลังบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาวเป็นพลังที่จะหยุดการกระทำรุนแรงโดยรัฐได้ หากเรายังคงยืนหยัดรักษาแนวทางนี้อยู่
ผมเข้าใจว่าสู้กันมานาน เห็นเพื่อนติดคุกติดตะราง ถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมต่างๆ ความเจ็บปวดเจ็บแค้นมันมี การบรรดาโทสะ การอยากชนะเร็ว การอยากตอบโต้ให้รัฐรู้สึกได้รับผลกระทบหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้าง แต่นั่นไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ที่จะประสบความสำเร็จ ในเมื่อข้างหลังของแกนนำทั้งหลาย มีเยาวชน มีประชาชน มีคนหนุ่มสาวเดินร่วมทางมาอีกมากมาย เราจึงต้องคิดอ่านโดยเอาความปลอดภัยของคนเหล่านั้นเป็นที่ตั้ง
ผมได้มีโอกาสสนทนากับอานนท์ (อานนท์ นำภา แกนนำม็อบราษฎร) ในช่วงสั้นๆ รอบแรกที่เขาเข้าไปในเรือนจำ เขาถามว่าผมคิดอย่างไรกับการต่อสู้นี้ ผมก็บอกว่าผมคงแสดงความเห็นไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าองค์กรนำเขาคืออะไร ไม่รู้ว่าเขาปรึกษากันแบบไหน ยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ ผมบอกแต่เพียงว่าขอให้อานนท์นึกถึงคำนี้ไว้เสมอว่า เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่มวลชนกำลังเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ จะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก เอาความปลอดภัยของประชาชนมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง สู้วันนี้แล้วยังไม่สำเร็จ ก็อย่าให้มีคนเจ็บคนตาย วันพรุ่งนี้ค่อยมาสู้กันใหม่
หลังจากนั้น อานนท์ก็ได้รับการประกันตัว พอเจอผมอีกที เขาก็เล่าให้ฟังว่า เช้ามืดหลังการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เขานึกถึงคำที่ผมบอกเขาว่า ‘เอาความปลอดภัยของประชาชนขึ้นมาก่อน’ เขาเล่าว่า เช้ามืดวันนั้น เมื่อเห็นว่าคนเหลือไม่มาก ประเมินดูแล้วว่าตำรวจจะเข้าสลายแน่ เลยประกาศยุติการชุมนุม ส่งคนกลับบ้านก่อน แล้วลงไปให้ตำรวจควบคุมตัว ทุกอย่างไม่มีการสูญเสีย
ผมได้ยินก็ยังชื่นชมเขาว่า สิ่งที่เราได้แลกเปลี่ยนกับเขาในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่สูญเปล่า และเขาพร้อมที่จะเปิดรับเรื่องบางเรื่องไปใช้ในสถานการณ์จริงเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ที่ไหน แต่วันนี้ตั้งใจอยากจะเล่าเพื่อให้ผู้มีอำนาจเขาได้ยิน ได้รู้บ้างว่าเด็กๆ เขาไม่ได้คิดที่จะมาหาเรื่องหาราว ไม่ได้คิดจะมาตีรันฟันแทงอะไรด้วย เขาก็ตัดสินใจบนความรับผิดชอบ บนความปลอดภัยของประชาชน ผู้มีอำนาจก็ควรจะตัดสินใจบนหลักการเดียวกัน เอาความปลอดภัยของเยาวชนเป็นตัวตั้ง ปัญหานี้ไม่ได้แก้ด้วยการทุบตีเด็ก ไม่ได้แก้ด้วยการจับเด็กไปขัง มันแก้ได้ด้วยการเปิดใจรับฟัง แล้วหาทางออกจากความขัดแย้งนี้ด้วยกัน
มีคนบอกว่า แม้ยึดหลักสันติวิธี แต่ก็จะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ถูกตราหน้าว่าใช้ความรุนแรงได้อยู่ดี ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่มีชายชุดดำโผล่เข้ามา มีเหตุปะทะ ทำให้ถูกคนเสื้อแดงถูกกล่าวว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ในมุมมองของคุณ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผมกับพรรคพวกส่วนใหญ่ที่เป็นแกนนำ คุณวีระ คุณจตุพร อยู่ราชประสงค์ เราประเมินว่ารัฐบาลต้องการยึดคืนพื้นที่ที่ราชประสงค์ เพราะเขาพูดมาตลอดว่าให้เราถอนตัวจากราชประสงค์ กลับมาที่ผ่านฟ้า ดังนั้นพวกผมก็ไปตรึงกันที่นั่นตั้งแต่ช่วงสายๆ ของวันที่ 10 ก็มีการส่งข่าวจากผ่านฟ้าว่าเห็นกำลังทหารทำท่าจะออกจากกรมกอง น่าจะมีการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า
ยกแรก เรานึกว่าเป็นแผนลวงให้พวกผมย้ายมาที่ผ่านฟ้า แล้วของจริงจะเข้าราชประสงค์ ก็เลยยังรอติดตามสถานการณ์จนตกเย็น พอรู้ว่ามีการขว้างแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ลงมากลางเวที มีการระดมกำลังทหาร พร้อมอาวุธครบมือ ก็เลยรีบออกจากราชประสงค์มายังผ่านฟ้า มันมีความรุนแรง มีเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร้องไห้ระงมของผู้คน แล้วมันก็มีปฏิบัติการที่เราเห็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือการใช้ปืนติดลำกล้องยิงใส่ประชาชน
คืนนั้น หลังจากความสูญเสียทำท่าจะลุกลามบานปลายไม่มีหยุด ผมก็เจรจาทางโทรศัพท์กับคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลสั่งยุติปฏิบัติการ ผมจะได้ประกาศเรียกประชาชนที่ตกอกตกใจตามที่ต่างๆ มารวมกันหน้าเวทีราชประสงค์เป็นที่เดียวกันเพื่อให้ผ่านคืนนั้นไปให้ได้ เพราะมันเป็นการปราบปรามประชาชน ไม่ใช่การขอคืนพื้นที่ ไม่ใช่การกระชับพื้นที่ มีการใช้กระสุนจริง มีการกล่าวหาว่าพวกผมจัดตั้งกองกำลังเพื่อปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ ผมยืนยันว่าเราไม่มีกองกำลัง
พวกผมไม่ได้มีการจัดตั้งกองกำลังเหล่านั้น เราไม่มีแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธ ถ้าหากจะมีกองกำลังปะปนเข้ามร่วมปะทะด้วย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็จะต้องจับกุมดำเนินคดีหรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดกับผู้กระทำผิด ไม่ใช่แค่บอกว่ามีชายชุดดำเข้ามาปะทะกับเจ้าหน้าที่ คนที่ตายทุกคนเป็นชาวบ้าน เป็นชายเสื้อแดง หญิงเสื้อแดง ไม่มีอาวุธ มีแต่มือเปล่าๆ ทุกศพไม่มีแม้แต่คราบเขม่าดินปืน นี่คือข้อเท็จจริง
ดังนั้น สถานการณ์การต่อสู้ที่มันเกิดขึ้นนี้ แม้ว่าความรุนแรงมันจะไม่บานปลายจนกลายเป็นความสูญเสีย แต่มันมีสัญญาณอยู่บ้าง ว่าเกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะหรือการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ แม้ว่าในขณะนั้นยังเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม แต่อย่าลืมว่าผู้มีอำนาจปัจจุบันเขามีพลังในกองทัพเพียงพอที่จะเอากองกำลังทหารติดอาวุธเหมือนกับที่พวกผมเคยเจอในปี 2553 ออกมาเมื่อใดก็ได้ ในเวลานั้น เขาอ้างอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็แสตนด์บายอยู่ตลอดเวลา ด้วยการอ้างสถานการณ์โควิด ดังนั้น ก็เป็นเรื่องที่คนเป็นแกนนำและคนที่มาร่วมชุมนุมต้องตระหนัก พยายามรอบคอบรัดกุม เพื่อไม่ให้เผชิญกับเหตุการณ์เช่นนั้น
อย่างไรก็ดี ยุคนี้ดูเหมือนจะมีช่องทางป้องกันเหตุรุนแรงหรือช่องทางที่ทำให้รัฐตัดสินใจใช้ความรุนแรงยากขึ้นจากเทคโนโลยีทั้งหลาย สมัยผมชุมนุม เราถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ดาวเทียม เมื่อมีสถานการณ์ชุลมุน เราไม่สามารถย้ายกล้องโทรทัศน์ตามไปถ่าย บันทึกภาพเหตุการณ์ได้ทันกับแง่มุมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กว้าง แต่วันนี้ ทุกคนถ่ายทอดสดได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก หรือแพลตฟอร์มต่างๆ แล้วเวลาเกิดสถานการณ์ก็จะมีคลิปแง่มุมต่างๆ มายืนยันความจริง ยืนยันข้อกล่าวหาของรัฐหรือของไอโอโดยทันที ซึ่งสมัยก่อนพวกผมไม่มี
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ฝ่ายรัฐตัดสินใจใช้กำลังยากขึ้น หรือถ้าใช้ไปแล้วความชอบธรรมก็หายไป การจะถูกกดดันจากสังคมหรือถูกกดดันจากคนที่เคารพความจริงก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าสิบกว่าปีก่อนที่ผมต่อสู้มา
หลายคนบอกว่ามีบทเรียนจากเสื้อแดงว่าสู้ไปเดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตาย ตายฟรีด้วย สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ เรื่องนี้คุณมองอย่างไร
เที่ยวนี้สู้แล้วอย่าตาย อย่าเป็นเหยื่อให้เขายิง ให้เขาฆ่าได้ง่ายๆ ถ้าเราสู้แล้วรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องผู้ร่วมขบวนการ ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายได้ ข้อครหาเรื่องสู้แล้วตายฟรีก็จะหมดไป คงเหลือแต่คำถามว่าสู้แล้วเมื่อไหร่จะชนะ เมื่อไหร่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองนี้ได้บ้าง
ที่จริงพลังจากการต่อสู้นี้มันได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมากๆ ในสังคมไทย นั่นคือทำให้เพดานความคิดของผู้คนมันเคลื่อนไปอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การพูดจาปราศรัยกันบนเวทีการเมืองกลายเป็นหัวข้อสนทนา ในวงข้าว วงงาน วงวิชาการ วงพบปะสังสรรค์ทั่วไป นอกจากนี้ เนื้อหาสาระที่เกิดขึ้นจากวงสนทนาเหล่านั้นส่งสัญญาณว่า สังคมนี้กำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทีนี้ก็อยู่ที่ทุกฝ่ายว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร จะอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
ผมพูดตั้งแต่วันแถลงข่าวครั้งแรกหลังถอดกำไลอีเอ็มว่า เราปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ทุกฝ่าย ทุกคน ทุกส่วน สามารถอยู่กับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยสันติ ไม่มีความจำเป็นที่ใครจะต้องทำลายล้างใคร หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้พังลงไปโดยสิ้นเชิง มันเดินหน้าไปด้วยกันได้ ผมยังเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจด้วยว่า คนหนุ่มสาวที่เขาออกมาสู้ก็ไม่ได้ประสงค์ที่จะทำลายล้างใครหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จนไม่เหลืออะไรเลย พวกเขาเพียงอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับพวกเขาที่โตขึ้นมาเท่านั้น
ทีนี้ถามว่ารอหน่อยไม่ได้หรือ ความเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา มันคงไม่สามารถเกิดขึ้นฉับพลันทันทีชั่วนับนิ้วมือเดียว ส่วนตัวผม คนวัยผมก็คิดแบบนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้คือการเดินทางไกล มันคงจะรีบฉกฉวยเอาความสำเร็จสั้นๆ ไม่ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราต้องพยายามเข้าใจพลังของคนหนุ่มสาวที่ออกมาสู้ด้วย เขากำลังเติบโตเข้าสู่โลกอาชีพ กำลังเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เพื่อสร้างโลกของตัวเอง เพื่อรองรับคนที่เกิดขึ้นมาในรุ่นต่อๆ ไป
แล้วถ้าเกิดเขามองไปข้างหน้าแล้วไม่เชื่อมั่นอนาคตของประเทศ เขามองไม่เห็นโอกาสของการที่จะเกิดชีวิตดีๆ ได้ ภายใต้วิถีทางที่มันกำลังเป็นอยู่ ผมว่าเขามีสิทธิ์ส่งเสียง คนอย่างพวกผมมองไปข้างหน้าก็ยังต้องการเห็นอนาคตที่ดีกว่า แต่คนรุ่นที่กำลังโตมา คำว่าอนาคตมันมีความหมายและมีความสำคัญกับพวกเขามากยิ่งกว่าคนวัยพวกเรา ดังนั้น เขามีสิทธิ์ออกแบบสังคมที่เขาต้องการ มีสิทธิ์เรียกร้องสภาพบ้านเมืองที่เขาเห็นอนาคต
ทีนี้มันก็มีความต่างแล้วล่ะ นอกจากความต่างเรื่องหลักการ ความต่างเรื่องจุดยืนทางการเมือง หรือความต่างด้านความต้องการทางการเมืองแล้ว มันก็มีความต่างเรื่องของวัย เรื่องของยุคสมัย ซึ่งผมว่าเราต้องทำความเข้าใจ ในบ้านหลังหนึ่งมันก็มีหลายวัย มีปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน ทำไมเราอยู่กันได้ ความต่างเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
คำตอบก็คือ เพราะเรารักกันจริงๆ เราปรารถนาดีกันจริงๆ เราอยากเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเราจริงๆ ไม่ว่าจะต่างแค่ไหน มันก็จะอยู่ด้วยกันได้ ทีนี้ พอขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้น จากคำว่าบ้านเป็นคำว่าประเทศ มันก็คำถามเดียวกันคือ เราปรารถนาดีกันจริงๆ หรือเปล่า เรารักกันจริงไหม ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจกันแต่ละคน
คุณรักคนหนุ่มคนสาว รักเยาวชนที่กำลังเติบโตมาเป็นกำลังสำคัญของชาติจริงหรือเปล่า หรือคุณรักเขาเพียงเพื่อเป็นฐานหนุนอำนาจที่คุณจะต้องถือไว้ตลอดกาล คุณรักเขาเพราะเขาจะต้องเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้อำนาจซึ่งคุณเป็นเจ้าของมันไปตลอดกาล
ผมพยายามเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ ไม่มีประโยชน์หรอกที่ใครจะบอกว่า เรารักเด็กๆ นะ เรารักคนหนุ่มคนสาวนะ ตราบเท่าที่เด็กๆ หรือคนหนุ่มคนสาวคิดเหมือนเรา เชื่อเหมือนเรา และยอมที่จะอยู่ใต้อาณัติเราไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงมันทำไม่ได้
ผมเชื่อว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จำนวนไม่น้อยอยากให้ลูกตัวเล็กๆ อยู่นานๆ ผมยังเป็นเลย หลังออกจากคุก ผมได้อุ้มลูกสาวอายุ 9 เดือน พอลูกเริ่มพูดได้ ผมก็อยากให้ลูกอายุสักขวบ สองขวบ สามขวบ เพราะเด็กๆ มันน่ารัก ไม่ค่อยเถียง ไม่ค่อยงอแง หลอกง่าย ดื้อนิดเอาขนมให้ก็จบแล้ว ดื้อนิดกล่อมนอน หลับก็เงียบเสียงไป แต่เราหยุดความเติบโตของลูกได้ไหมเล่า เราหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้ไหมเล่า เพราะวันหนึ่งลูกผมก็โตขึ้น ลูกชายอายุ 12 ขวบเถียงกับผมได้ เขาคิดไม่เหมือนผม เขารู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้ หรือเขารู้ใกล้ๆ กันกับสิ่งที่ผมเคยรู้มาตลอด เพราะเขาเรียน ศึกษา เขามีสังคม มีแหล่งที่จะเข้าถึงข้อมูล นี่คือความเปลี่ยนแปลง
และผมจะทำยังไงเมื่อลูกโตขึ้น ผมจะทำยังไงเมื่อลูกพูดได้ ผมจะทำยังไงเมื่อลูกบอกว่าต้องการชีวิต ต้องการอนาคตของเขาเอง ผมจะต้องบังคับให้เขาเล็กลงไปเท่าเดิม ต้องทุบตี ทำร้าย จับเขาขังไว้ในห้องใต้ดิน นั่นคือการแก้ปัญหาหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วผมต้องอยู่ใกล้ๆ เขา ฟังเขา พยายามหาช่องทางที่จะเดินไปด้วยกันกับเขา แล้วสร้างสังคมสองวัยหรือทุกวัยของบ้านเมืองนี้ไปด้วยกัน
ผมว่าผู้มีอำนาจควรนั่งคิดเรื่องนี้ดีๆ อย่าเขียนเลยคำขวัญวันเด็ก เขียนทุกวันแต่คิดจะขังเด็กอยู่ทุกวัน เขียนมาทำไม อย่าบอกเลยว่าทุกอย่างทำเพื่ออนาคตของเยาวชน ในเมื่อวันที่เยาวชนเรียกร้องอนาคตของตัวเอง คุณก็ให้เขาไม่ได้ แล้วคุณก็ลากเขากลับไปสู่อดีตอันเจ็บปวดของสังคมไทย ใครคิดไม่เหมือนก็ขัง ใครคิดไม่เหมือนก็ฆ่า ใครคิดไม่เหมือนต้องทำลาย
มองย้อนกลับไป คุณบอกว่าคำปราศรัยของคุณหลายอย่างยังนำกลับมาใช้ได้อยู่ สาเหตุที่มันไปไม่ถึงไหนถือเป็นความล้มเหลวของขบวนการคนเสื้อแดงไหม ที่วันนี้ยังสู้กันเรื่องเดิม คู่ต่อสู้ก็ยังอาจจะเป็นคนเดิมอยู่
หากมันจะมีความล้มเหลว ผมน้อมรับ แต่ผมไม่อยากจะให้เรียกว่าเป็นความล้มเหลวของเสื้อแดง ทุกสิ่งทุกอย่างจากการต่อสู้ของพวกเราสิบปีที่ผ่านมา อะไรก็ตามที่เป็นข้อผิดพลาด ผมว่าแกนนำต้องแสดงความรับผิดชอบ แกนนำต้องน้อมรับเอาไว้ เพราะประชาชนคนเสื้อแดงไม่เหลือบ่าพอที่จะแบกรับอะไรเอาไว้อีกแล้ว ถ้าเทียบกับความเจ็บปวดสูญเสียและสิ่งที่ถูกเหยียบย่ำมา
คุณคิดดูว่า ออกจากบ้านมามือเปล่าๆ เขายิงทิ้งเสียเฉยๆ ผมยืนยันว่ายิงทิ้ง เพราะยิงแล้วไม่มีคดี ยิงแล้วไม่มีใครต้องรับโทษ ยิงแล้วคดีไม่ถึงศาล ไม่เรียกว่ายิงทิ้งจะให้เรียกว่าอะไร ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้าย ไร้การศึกษา เป็นควาย เป็นอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนว่าจะมีชีวิต แต่ถูกยิงทิ้งกลางเมืองหลวงได้โดยไม่ต้องมีใครสนใจ สังคมนี้ บ้านเมืองนี้ มีคนบางกลุ่มเจ็บปวดกับหมูหมากาไก่ถูกฆ่า เรียกร้องความยุติธรรมให้กับหมาแมวที่ไหนก็ได้ที่ถูกทำร้าย แต่กับคนเสื้อแดงถูกยิงตายเป็นร้อย มีคนออกมาล้างถนน ส่งรอยยิ้ม ออกมาพูดถึงสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง ทั้งที่พวกเราเพิ่งนอนตายอยู่ตรงนั้น ดังนั้นความผิดพลาดที่เกิดจากการต่อสู้มีครับ ถ้าพวกผมแน่จริง ภาระไม่ตกกับคนรุ่นนี้
แต่ว่าคุณูปการของพี่น้องเสื้อแดง คุณูปการของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่สู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ วันนี้ วิธีคิดของคนหนุ่มสาวที่เขาพูดถึงคนเสื้อแดงมันเป็นคำตอบว่า ผลของการต่อสู้มันมี มันส่งต่อกันได้ และมันสืบทอดเจตนารมณ์กันได้
สิ่งเหล่านั้นเป็นเกียรติยศของคนเสื้อแดงทั้งหมด เป็นเกียรติยศของคนที่บาดเจ็บล้มตาย ผมย้ำคำว่าของคนเสื้อแดงและคนที่บาดเจ็บล้มตาย แกนนำอย่างเราคงไม่ต้องมารับเกียรติยศต่างๆ เหล่านี้ เพราะที่สุดแล้ว พลังจริงๆ อยู่ที่ประชาชน
แล้วคุณหดหู่ไหมที่คำปราศรัยเดิมยังใช้ได้อยู่ ซึ่งสะท้อนอีกนัยหนึ่งว่าบ้านเมืองไม่ได้ขยับไปไหนเลย
จะว่าหดหู่ก็คงมีบ้าง หดหู่ในแง่ที่ว่า มันน่าจะเสร็จเรียบร้อยกันไปแล้วตั้งแต่เราสู้กันครั้งใหญ่ แต่ความจริงก็คือยังมีเด็กๆ ต้องติดคุกติดตะรางจากการต่อสู้ทางการเมืองอยู่จนวันนี้ อย่างไรก็ตาม มันยังเป็นข้อยืนยันว่าโจทย์ข้อใหญ่ในสังคมไทย มันยังไม่เปลี่ยนแปลง มันทำให้เรื่องราวที่พูดไว้ตั้ง 10 กว่าปีที่แล้ว ยังเป็นเรื่องทันสมัย คนที่สู้วันนี้ฟังแล้วยังเข้าใจ หลับตาแล้วยังนึกว่าเขาพูดสดๆ ใน พ.ศ. นี้ด้วยซ้ำไป
ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จากที่อยู่บนเวทีเสื้อแดงไปเป็นรัฐมนตรี เป็นนักโทษ สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในตัวณัฐวุฒิคืออะไร
อายุนี่แหละครับ เปลี่ยนทุกวัน แล้วทำให้ประสบการณ์ที่ผ่านพบมันบอกอะไรผมพอสมควร ทำให้ผมได้พบเห็นเหตุการณ์ ทั้งที่เล่าได้ในทางสาธารณะ ทั้งที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวที่ยังไม่ถึงวาระที่จะถ่ายทอดสู่กันฟัง มันทำให้ผมมีข้อสรุปว่า ชีวิตผมต้องทำเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไร ในบทบาทไหน รูปธรรมจะออกมาขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นตัวกำหนด
10 ปีที่แล้ว หรือมากกว่า 10 ปี ผมยืนเป็นแกนนำทุกเวที แต่วันนี้ เวทีการต่อสู้ไม่ใช่เวทีของผมแล้ว มันเป็นเวทีของคนหนุ่มสาว เป็นเวทีของคนยุคปัจจุบันที่เรียกหาอนาคตของตัวเอง แต่ถ้าผมจะยืนเคียงข้างได้ ถ้าผมจะทำอะไรที่เป็นการทำให้การต่อสู้ของคนหนุ่มสาวมันออกดอกออกผลได้มากขึ้น ผมก็จะทำ ถ้าหากเป็นสิบกว่าปีที่แล้วออกมาจากคุก ผมจะกระโจนขึ้นเวทีตั้งแต่วันแรก
แต่มาในวัยขนาดนี้ ผมต้องหาความพอดี ผมต้องเคารพ ให้เกียรติน้องๆ ที่เขาสู้กันมา และยังยืนหยัดสู้อยู่ แล้วผมต้องรู้ด้วยว่าการที่พวกเขายืนกันเป็นคนหนุ่มสาว ยืนกันอย่างที่พวกเขาเดินกันมา คือความเข้มแข็งทางการเมือง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องให้มีนักการเมืองหรือแกนนำการเมืองในยุคก่อนเข้าไปแซมไปแทรก มันอาจทำให้ความเข้มแข็งที่มีอยู่แล้วพร่ามัวด้วยซ้ำ
แล้วในบทบาทนักการเมือง โดนรัฐประหารสองรอบ โดนยุบพรรคสามครั้ง อะไรคือบทเรียนที่คุณเรียนรู้
ตราบใดที่เรายังยืนตรงข้ามกับอำนาจเผด็จการ อำนาจนอกระบบ เราก็อาจจะเจอประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลา สังคมใดก็แล้วแต่ที่การยุบพรรคการเมืองเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ สังคมใดก็ตามที่การปลดรัฐบาล ปลดผู้นำรัฐบาล สามารถทำได้ตามสัญญาณของมวลชน ตามสัญญาณของฝ่ายการเมืองตรงกันข้าม สังคมนั้นเกิดวิกฤติความขัดแย้งแน่นอน แล้วเราก็อยู่แบบนี้มาแล้ว 10 กว่าปี
อย่าว่ากันแต่ยุบมาแล้ว 2-3 พรรคเลย อนาคตข้างหน้าเผลอๆ จะมีการยุบกันอีก ใครบ้างจะกล้าฟันธงว่า ต่อไปเพื่อไทยไม่ถูกยุบแล้ว ก้าวไกลไม่ถูกยุบแล้ว คุณกล้าเชื่อเหรอว่านักการเมืองที่ต่อสู้กับเผด็จการจะมีใครบ้างที่ไม่ต้องเข้าคุกอีก คุณกล้าบอกเหรอว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อติดคุก 3 รอบจบแล้ว ไม่มี 4 ไม่มี 5 ตัวผมเองยังไม่กล้าคิดเลย นี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน
และนี่คือสิ่งที่เตือนใจเราตลอดเวลาเหมือนกันว่ามันก็ต้องสู้กันต่อไป มันเจ็บปวด เหนื่อยล้า แต่ท้อไม่ได้ แล้วถ้านับตั้งแต่วันแรกที่ผมยืนบนเวทีเคลื่อนไหวทางการเมืองคือ 23 มีนาคม 2550 ก็ 14 ปีเข้าไปแล้ว ผมว่าเวลาทั้งหมดก็ไม่ได้สูญเปล่า สิ่งที่เราสู้มา โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงของคนหนุ่มสาวขานรับการต่อสู้ของเรา ผมว่าสายลมของการเปลี่ยนแปลงมันพัดแรงขึ้นทุกวัน
ยังคาดหวังกับการเมืองในระบบอยู่ไหม ถ้ามีโอกาสยังอยากกลับไปเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีอยู่ไหม
ขณะนี้ สถานะทางการเมืองของผมคือถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ผมไม่สามารถเป็น ส.ส. ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ดังนั้นความคาดหวังเรื่องนี้ไม่มี หรือต่อให้มีสิทธิทางการเมืองใหม่ สำหรับผม วันนี้ถ้าเป็น ส.ส. ได้ เป็นรัฐมนตรีได้ หรือทำงานการเมืองในระบบในฐานะใดๆ ได้ ผมก็จะทำ เพราะผมเชื่อว่าผมยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะสร้างประโยชน์ได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็น ผมไม่มีปัญหา ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเมื่อผ่านทั้งหมดมา 10 กว่าปี ผมรู้แล้วว่าชีวิตผมคืออะไร ชีวิตผมคือการต่อสู้ร่วมกับประชาชนแบบนี้ คือการยืนหยัดอย่างนี้
กระนั้นเถอะ สำหรับประชาชนไทย สำหรับสังคมประชาธิปไตย คุณสิ้นหวังกับการเมืองในระบบไม่ได้ คุณจะละวางความเชื่อมั่นต่อวิถีทางประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนไม่ได้ ประเทศไทยก็เหมือนกัน ไม่ว่าสภาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหลวแหลกแค่ไหน ไม่ว่านักการเมืองจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างไร ยังไงคุณก็ต้องรักษาระบบนี้ไว้ ประเทศนี้ไม่ควรขับเคลื่อนด้วยการเมืองบนถนน ประเทศต้องขับเคลื่อนด้วยการเมืองในระบบ เพราะฉะนั้น ไอ้ที่ขัดแย้งกันบนท้องถนน วันหนึ่งมันต้องถูกกลับมาว่ากันในสภา เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประเทศยังมีความขัดแย้งกันบนท้องถนน ก็เท่ากับว่าเรากำลังเผชิญปัญหา เรายังออกจากวิกฤติไม่ได้
ดังนั้น วันหนึ่งการต่อสู้บนท้องถนนต้องหมดไป แล้วต้องให้กระบวนการของสภาหรือกลไกในระบบทำหน้าที่ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า คนส่วนหนึ่งในประเทศนี้ถูกทำให้สิ้นศรัทธาต่อการเมืองในระบบ เพราะฉะนั้น เมื่อพลังนี้ออกมายืนกลางท้องถนน เมื่อเขาร้องเรียก เขาจึงเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามา และมันเป็นมาแล้ว ต่างกรรมต่างวาระ ในรอบสิบกว่าปีนี้
ดังนั้นเราต้องช่วยกัน คนเป็นนักการเมืองต้องกล้ายืนหยัดในหลักการที่ถูกต้องเพื่อรักษาศรัทธาประชาชนไว้ให้ได้ คนเป็นประชาชน ถ้าคุณไม่ชอบนักการเมืองไม่เป็นไร คุณไม่ชอบบทบาทของตัวแทนประชาชนก็ไม่ว่า แต่คุณเกลียดหรือรังเกียจระบบการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยไม่ได้ ถ้าไม่ชอบนักการเมือง คุณมีโอกาส คุณก็ต้องเลือกคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่ เลือกแล้วเลือกอีก ตามแต่วาระที่มี จนกว่าจะพอใจ
แล้วณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังเป็นนักการเมืองอยู่ไหม
ผมเป็นนักการเมือง และผมเป็นมาแล้วทั้งชีวิต เพราะผมต้องการให้คนมีทัศนคติต่อคำว่านักการเมืองในสภาพที่เป็นจริงว่า นักการเมืองก็เป็นคน มีชั่วมีดี มีกิเลศตัณหาด้วยกันทั้งนั้น เราไม่ได้ต้องการพระอรหันต์ ไม่ได้ต้องการนักบุญชั้นวิเศษอะไรมาทำหน้าที่แทนประชาชน แต่เราเอาคนธรรมดาที่สามารถผ่านการตัดสินใจของประชาชน มีกลไกตรวจสอบที่แข็งแรงและทำงานได้จริงๆ
ดังนั้น ผมจะอยู่หรือไม่อยู่ในสภา ผมก็จะเรียกตัวเองว่านักการเมือง และพร้อมที่จะยืนในฐานะนักการเมืองให้คนพิสูจน์ว่านักการเมืองมันก็มีแต่ละแบบ แบบผมมันก็มี จะชอบหรือไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ผมเป็นแบบนี้
เวลาพูดถึงณัฐวุฒิในหมวกของรัฐมนตรี ที่ผ่านมามักจะมีคนแชร์คลิปที่คุณโดนนักข่าวต้อนจนมุมเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เล่าให้ฟังหน่อยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
(ตอบทันที) มันเกิดสิ่งที่ผมบอกคนอื่นมาตลอดว่าอย่าทำ โดยเฉพาะก่อนที่ผมจะมาเป็นนักการเมือง ผมเป็นนักพูด ผมเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศมา 4-5 รุ่น ผมเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรการพูดสำหรับผู้นำของสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผมรับผิดชอบหลักสูตรนั้นโดยการสอนอยู่สิบกว่ารุ่น สิ่งหนึ่งที่ผมบอกนักเรียนในห้องเรียนของผมก็คือ คุณอย่าไปพูดหรือพยายามพูดในสิ่งที่คุณไม่รู้ และผมก็ยึดถือสิ่งนี้มาทั้งชีวิต
วันแถลงข่าวโครงการรับจำนำข้าวคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมฝืนหลักการนี้ ผมไม่เคยเกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าวเลย ผมไม่เคยเข้าประชุมเรื่องการขับเคลื่อนโครงการจำนำข้าว ไม่เคยมีส่วนรับผิดชอบ ไม่เคยมีชื่อเป็นกรรมการชุดใดๆ ในโครงการรับจำนำข้าว เดี๋ยวนี้นักสืบโซเชียลมีเยอะ ฟังผมพูดตรงนี้ก็ลองไปค้นข้อมูลเก่าที่กระทรวงพาณิชย์ ไปค้นข้อมูลเก่าของรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ดูได้ว่ามีชื่อผมไปเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวตรงไหน ไม่มี
เหตุการณ์วันนั้นมีการประชุมรัฐมนตรีหลายคนที่บ้านพิษณุโลก ประชุมเสร็จตอนเกือบเที่ยง ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์เรียกผมไปสั่งการว่า วันนี้ท่านบุญทรง (บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น) จะแถลงข่าวเรื่องจำนำข้าว ขอให้ผมช่วยลงไปนั่งด้วย เมื่อได้รับมอบหมาย ผมก็บอกว่าครับ
พอกลับมาที่กระทรวงก็โทรถามท่านบุญทรงว่าจะแถลงเรื่องอะไร ท่านก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง จนเหลือเวลาสักสิบกว่านาที ถึงเวลาที่จะต้องลงมาแถลง ซึ่งวันนั้นมาสายแล้ว ท่านก็ส่งแฟ้มให้หนาปึ้กแล้วบอกว่าเรื่องราวที่จะแถลงทั้งหมดอยู่ในแฟ้มนี้ ผมก็ไม่ได้เปิดอ่าน เพราะด้วยเวลาขนาดนั้น ด้วยแฟ้มหนาขนาดนั้น ไม่รู้จะอ่านตรงไหน ผมก็ลงไปนั่งโดยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
นี่ไม่ใช่เป็นการปัดสวะ ผลักผิดให้พ้นตัว แต่ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ แล้วการแถลงก็เริ่มขึ้น ผมเห็นจังหวะของการแถลงเริ่มตอบสื่อมวลชนไม่ได้ ก็พยายามที่จะช่วยสื่อสารว่าอะไรอยู่ตรงไหน อะไรที่ผมพอจะแสดงความเห็นอะไรได้ก็พูดออกไป อย่าให้มันเดดแอร์ ให้มันเป็นบรรยากาศที่ชวนอึดอัด แล้วผู้สื่อข่าวก็ถามผมอย่างที่คลิปเขาตัดต่อมา
หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผู้สื่อข่าวกระทรวงพาณิชย์ 2-3 คน วิ่งมาที่ลิฟต์ และต่อว่าผมว่ารัฐมนตรีจะลงมานั่งทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย มานั่งแล้วเกิดเหตุการณ์นี้รัฐมนตรีบอบช้ำเปล่าๆ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร รุ่งเช้าวันต่อมาผมได้พบนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ผมก็เดินไปบอกว่า ท่านครับ เมื่อวานด้วยหัวใจล้วนๆ นะครับ
ถ้าด้วยความคิด ผมจะไม่ไป แต่ท่านมอบหมาย ผมก็ไปนั่ง เรื่องมันมาแบบนี้ ส่วนที่ว่าเขาจะตัดเอาภาพไปล้อเลียน ไปด่าว่า นึกว่าแน่จริง ทำไมตอบอะไรไม่ได้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะผมเป็นนักการเมือง ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะรู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยตั้งแต่ต้น นั่นเป็นบทเรียนสำหรับคนที่จะทำหน้าที่นักการเมืองว่า คุณอย่าพยายามพูดในสิ่งที่คุณไม่รู้
เข็ดไหมกับการเป็นรัฐมนตรี
จะบอกว่าเข็ดคงไม่ใช่ เพราะนั่นไม่ได้เกิดจากการทำงานผิดพลาด ไม่ได้เกิดจากการทำในสิ่งที่ผมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรับผิดชอบแล้วทำไม่สำเร็จ แต่เกิดจากผมพยายามพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ ไม่ได้เกี่ยวข้องมาเลยตั้งแต่ต้นเท่านั้น
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากๆ คือ แกนนำคนเสื้อแดง ‘สู้แล้วรวย’
สู้แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ รวยนี่ก็คือติดคุกมาแล้ว 3 รอบ รวยติดคุกนี่เห็นแล้ว รวยคดีเพราะยังมีรออีกหลายคดี แล้วก็รวยคนที่ชิงชัง คนที่ไม่เข้าใจ คนที่แสดงปฏิกิริยาไม่สบายใจอย่างเปิดเผยเมื่อเห็นหน้า ส่วนทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ได้มีอะไรมากมายกว่าที่เป็นมาหรอกครับ
ถ้าสู้แล้วมีเงินทองทรัพย์ศฤงคารจริงๆ ขอโทษนะครับ ผมเลิกไปตั้งนานแล้วไม่ดีกว่าเหรอ เขาบอกผมสู้แล้วรวยตั้งแต่ปี 2552-2553 ถ้ารวยแล้วเลิกสิครับ แล้วเหตุการณ์มาถึงวันนี้จนถึงน้องๆ เขาต่อสู้ ผมไม่ได้กลับไปอยู่ในพรรคเพื่อไทย ผมก็เป็นณัฐวุฒิแบบนี้แล้วประกาศยืนเคียงข้างน้องๆ ในสถานการณ์นี้เผลอๆ จะจับผมใส่คุกเข้าไปอีกคน
ดังนั้น ข้อกล่าวหาว่าสู้แล้วรวยก็ดี จำนำข้าวตอบไม่ได้ โกงไปแล้วเท่าไหร่ ข้อเท็จจริงจะเป็นบทพิสูจน์ ถ้าผมมีส่วนเกี่ยวข้องว่าทุจริตในโครงการจำนำข้าว ผมคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
คุณมีบทเรียนอะไรจะถ่ายทอดบ้าง ในฐานะแกนนำที่เคยผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน
การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องหอมหวาน เสียงปรบมือโห่ร้องของผู้คนอาจจะทำให้เราเคลิบเคลิ้มมีพลัง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของการต่อสู้ เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าเทียบกับทั้งหมดที่เราต้องเผชิญ ติดคุก 8-9 เดือน เราติดของเราเอง เจ็บปวดบอบช้ำก็ลูกเมียพ่อแม่พี่น้องของเราเอง อุปสรรคต่างๆ ที่ต้องผ่านในช่วงเวลาแบบนั้น เราต้องจัดการตัวเอง
การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในหลายเหตุการณ์ของชีวิต นั่นคือชีวิตของเรา คนข้างหลังที่จะต้องได้รับผลกระทบหากเรามีอันเป็นไป นั่นเป็นเรื่องของเราทั้งหมด จะไปคาดหวังเรียกร้องให้ประชาชนเขามาแบกรับความเสี่ยง แบกรับความเจ็บปวดด้วยไม่ได้ เพราะประชาชนที่เขาออกมาร่วมต่อสู้ เขาก็เสียสละอะไรมามากมายไม่ต่างจากเรา
ดังนั้น ถ้าเลือกที่จะเดินบนวิถีทางของการต่อสู้ ถามหัวใจตัวเองบ่อยๆ สบตาตัวเองในกระจกบ่อยๆ ว่ายังไหวไหม ยังใช่หรือเปล่า ถ้าหัวใจมันเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ เหนื่อยล้า พักบ้างก็ได้ ผมเชื่อว่าไม่มีใครว่าอะไร แต่อย่าเปลี่ยนข้าง อย่าเปลี่ยนทาง อย่าหักหลังต่อหลักการที่ถูกต้อง หรือถ้าสบตาตัวเองในกระจกแล้วเริ่มหลบตาตัวเอง ก็หาคำตอบเสียว่าคุณกำลังทำอะไรที่มันน่าอับน่าอายในการต่อสู้นี้ไหม คุณกำลังมีลับลมคมในอะไรที่แม้แต่ตัวเองก็มองหน้าตัวเองไม่ได้ เส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันยาวไกล มันต้องสามารถทดสอบและพิสูจน์ทราบได้ทั้งกับตัวเอง และกับคนอื่น
ผมล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางนี้มาตลอดสิบปีของการต่อสู้ และแน่นอน เมื่อออกจากคุกมาแล้วแถลงข่าวเคียงข้างคนหนุ่มสาว คำว่าสู้แล้วรวยก็มาทันที เป็นพวกทุจริตฉ้อโกงก็มาทันที เป็นพวกเผาบ้านเผาเมืองก็มาทันที ถ้าผมรู้สึกเจ็บปวดแล้วเอาข้อกล่าวหาเหล่านั้นมาเป็นเครื่องกดทับ ผมคงเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะโดนมาสารพัด แต่ผมพร้อมจะเดินต่อ อย่างน้อยที่สุด 10 กว่าปีมานี้ ผมเห็นคนหนุ่มคนสาวเขาเริ่มพูดว่าเขาเข้าใจเรา ดังนั้น เดินต่อไปอีก 10-20 ปี ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันจะเข้าใจเรามากขึ้น หรือไม่มีใครเข้าใจเราอีกแล้ว แต่บ้านเมืองมันคืนมาสู่ระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ก็ถือเป็นสิ่งคุ้มค่า
ถ้าคนรุ่นใหม่เดินมาบอกว่ามาสู้กับพวกเราเถอะ คุณจะตอบอย่างไร
ทุกวันนี้ผมก็สู้กับพวกเขาอยู่แล้วนะ หมายความว่าผมให้กำลังใจ จุดยืนของผมก็อย่างที่พูด เพียงแต่รูปแบบของการต่อสู้ มันเป็นเรื่องของยุคสมัย แล้วรูปแบบของน้องๆ ทุกวันนี้ที่เขายังสู้อยู่ หลายเรื่องมันยังใหม่สำหรับผม การนัดหมายกันที่รถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการชุมนุมไม่มีแกนนำ การตั้งเวทีปราศรัยที่มันต่างกัน สมัยผมนี่มันเวทีชุมนุมข้ามวันข้ามคืนเป็นเดือนๆ เดี๋ยวนี้ 3-4 ชั่วโมงก็กลับ สมัยก่อนองค์การนำของผมมีการจัดตั้ง มีโครงสร้าง มีเครือข่ายทั่วประเทศ แต่ละจังหวัดขึ้นอยู่กับการนำของส่วนกลาง แม้จะไม่ใช่สายการบังคับบัญชาที่เป็นทางการ แต่เราเชื่อกัน ฟังกัน และเดินไปด้วยกัน
แต่รูปแบบวันนี้ องค์กรนำก็ยังไม่เห็นสิ่งที่เป็นเอกภาพ มีความแตกต่างของขบวนนำ แล้วก็ยังไม่เห็นโครงสร้างการนำที่ชัดเจน ยังไม่มีภาพลักษณ์หรือรูปธรรมของการเชื่อมประสานกับโครงสร้างมวลชนส่วนภูมิภาค นอกจากเครือข่ายมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่ายนักศึกษาเขาทำกัน
ผมไม่ได้บอกว่าที่ผมสู้มาสิบกว่าปีนั้นมันดูดีกว่า ถ้าดีกว่า น้องๆ คงไม่ต้องมาเหนื่อยในวันนี้ แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่น้องๆ ทำอยู่วันนี้ก็อาจจะมีบางมุมที่ต้องการพัฒนาการ ต้องการการแก้ไขปัญหา ดังนั้นคำว่าสู้ด้วยกันมันขึ้นกับเงื่อนไขของสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเวลา วันนี้คนหนุ่มคนสาวยืนเรียงกันบนเวทีมันเข้มแข็งอยู่แล้ว ถ้านายณัฐวุฒิไปยืนเรียงอยู่กับน้องๆ คนหนุ่มคนสาว สักพักก็จะกลายเป็นคนที่ถูกผมล้างสมอง จะกลายเป็นขบวนการสู้แล้วรวย เป็นขบวนการทาสทักษิณ เป็นขบวนการอะไรก็ตามที่เขากล่าวหาผม มันจะลามไปถึงน้องๆ ด้วย
คนที่ออกมาต่อสู้จำนวนไม่น้อยอาจจะรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังในการจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ ไม่รู้เมื่อไหร่จะชนะ ในฐานะที่คุณเคยประสบกับห้วงเวลาแบบนี้ มีอะไรจะบอกกับพวกเขาไหม
มันเป็นการเดินทางไกล เรื่องนี้มันไม่จบด้วยการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะฉะนั้นถ้ามันเป็นการเดินทางไกล การสะสมชัยชนะ การเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าไปกดดันตัวเอง อย่าไปถามว่าเมื่อไหร่เราจะชนะ ในเมื่อเรามีแค่หัวใจ มีมือเปล่าๆ มีเพียงความมุ่งมั่น มีเพียงทุนรอนของตัวเอง ของกันและกันเท่านั้นที่ออกมาสู้
คิดในมุมกลับกัน ฝ่ายตรงข้ามที่เขามีอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ฝ่ายเผด็จการที่เขาผนึกกำลังกันมายาวนาน เขาก็ต้องคิดเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะชนะไอ้พวกนี้ได้สักที สู้กันมาสิบกว่าปีแล้วนึกว่ายิงเสื้อแดงเป็นร้อยแล้วจะจบแต่ดันไม่จบ อยู่ๆ ก็เกิดเด็กรุ่นนี้มา แล้วเด็กรุ่นนี้ก็ตะโกนเรียกคนเสื้อแดงมาจับมือกันอยู่กลางถนน คุณคิดว่าในรูปการณ์แบบนี้ ฝ่ายไหนน่าจะเครียดมากกว่า ฝ่ายไหนน่าจะเผชิญกับการกดดันมากกว่า ผมว่าไม่ใช่ประชาชนนะ
นอกจากนี้ ขอให้ระลึกเสมอว่าการต่อสู้เพื่อหาชัยชนะมาให้กับประเทศไม่จำเป็นต้องทำลายกันและกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพังพินาศลงไปเพื่อให้เรายืนอยู่ในจุดของชัยชนะโดยลำพัง ปลายทางของการต่อสู้อาจจะไปสู่จุดที่ไม่มีใครชนะเลย แต่สังคมนี้เกิดความลงตัว เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ แล้วไปกันต่อได้ แล้วถ้ามันเกิดแบบนี้ นั่นหมายความว่าไม่มีฝ่ายไหนได้เต็มร้อย ฝ่ายคนหนุ่มสาวที่เรียกร้องก็จะไม่ได้ตามข้อเรียกร้องของตัวเองเต็มร้อย ฝ่ายผู้ถืออำนาจซึ่งแสดงท่าทีว่าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงมาสู่จุดที่สังคมมันจะไปต่อได้
ผมว่าต้องเผื่อใจคิดว่าปลายทางมันเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้จินตนาการว่าเรากำลังทำสงคราม กำลังเปิดฉากเข่นฆ่าจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เหลือเลย ผมจินตนาการเห็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติ จินตนาการเห็นพลังของการเมืองในระบบจะกลับมา หลังจากการต่อสู้ข้างนอกนั้นได้ข้อยุติแล้ว
มันมีทฤษฎีว่าคนเสื้อแดงอาจจะเปลี่ยนข้างไปอยู่ฝ่ายอนุรักษนิยม หลังจากฝั่งนั้นใช้นโยบายแจกเงินมากกว่าในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คิดเห็นอย่างไร
ผมว่าเป็นไปได้ คนที่เคยใส่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจจะเปลี่ยนข้าง ย้ายแนว ด้วยความจำเป็นของชีวิต เหตุผลทางเศรษฐกิจ หรืออะไรก็ตาม แต่สำหรับคนที่ลงลึกกับการต่อสู้จริงๆ คนที่ผูกพันกับการต่อสู้จนเกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นมาแล้วจริงๆ ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ไม่เปลี่ยน และเชื่อว่าคนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่
เขาเคยใส่เสื้อแดง วันนี้ถอดเสื้อแดงเพราะว่าเหตุผลต่างๆ ก็ไม่ว่ากัน เช่นเดียวกันคนที่เคยคล้องนกหวีด คนที่เคยร่วมกับคุณสนธิ คุณจำลอง ผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปปิดประตูใส่ การเคลื่อนที่ของพลังมวลชนมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เมื่อพลังของมวลชนได้เคลื่อนที่เข้ามาหาจุดของอุดมการณ์หรือหลักการที่ถูกต้อง โอกาสที่จะตอกยึดกับหลักการนั้นมันสูงกว่า
ผมเชื่อว่าสวิงโหวตจากเสื้อแดงไปเป็นพลังประชารัฐ หรือจากเสื้อแดงไปเป็น กปปส. กับจาก กปปส. หรือพันธมิตรไปเป็นเสื้อแดง โอกาสที่จะปักอยู่กับเสื้อแดงมันสูงกว่าโอกาสที่เสื้อแดงจะไปปักที่อื่น เพราะหลักการมันถูก
อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคุณในช่วงที่ติดคุกว่าคุณยังเป็นณัฐวุฒิคนเดิม ทั้งที่กระบวนต่างๆ พยายามทำลายเราไม่ให้เป็นคนเดิม
ผมมีพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้ด้วยกันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ผมสงสารเขา ผมคิดว่าคนเสื้อแดงเจ็บปวดมามาก เสียสละมามาก และอดทนอย่างมาก กว่าจะผ่านวันเวลามาได้ ดังนั้น ตราบเท่าที่ภาระหน้าที่ในการต่อสู้ยังอยู่ ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้ หรือไปหักหลัง ทำให้พวกเขาเจ็บช้ำไม่ได้
ผมปรารถนาจริงๆ ให้บ้านเมืองนี้เปลี่ยนแปลงไปสู่หลักการที่ถูกต้องและดีกว่า ปรารถนาจริงๆ ที่ทำให้คนยากจนหรือคนชั้นข้างล่างได้ลืมตาอ้าปากหรือเติบโตขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เป็นพลังที่ทำให้เราต้องสู้ต่อไป การถูกจองจำในคุกตะรางไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอลงหรอก เพราะทุกครั้งที่เราเข้าไป ผมกำหนดความคิดตัวเองว่านั่นคือการเข้าไปต่อสู้ แล้วทุกครั้งผมจะออกมาด้วยความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจที่มากกว่าเดิมเสมอ เมื่อกำหนดว่าเข้าไปสู้แล้วต้องออกมาอย่างแข็งแกร่ง มันก็ส่งพลังถึงคนที่ได้พบเห็นว่าคนเสื้อแดงเป็นแบบนี้ นี่คือสิ่งที่คนเสื้อแดงเขาทำกัน เพื่อให้เขาเห็นว่าคุกตะรางไม่ได้ลดทอนหัวใจสู้ ไม่ได้ลดทอนศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ถ้าเรายังตั้งใจที่จะสู้
จากที่เคยสัมภาษณ์รุ้ง ปนัสยา เขาบอกว่าการเข้าคุกเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสพอสมควร คุณเป็นห่วงเด็กๆ ไหมที่ต้องไปอยู่ในนั้น
ผมเป็นห่วง แล้วก็เห็นใจทั้งตัวน้องๆ พ่อแม่ และครอบครัว เพราะผมได้สัมผัสน้องๆ หลายคนในเรือนจำ แล้วเห็นว่าพวกเขายังเป็นเด็ก พวกเขาไม่ควรจะมาเจอแบบนี้ ดังนั้นสภาพจิตใจและสภาพร่างกายคงจะยากลำบากที่จะผ่านแต่ละวันไปได้ แต่เราก็ต้องอยู่กับโลกของความจริง ความจริงก็คือพวกเขาเลือกที่จะมายืนต่อสู้ พวกเขาเลือกที่จะเผชิญกับทุกอย่างในสถานการณ์ต่อสู้
ดังนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมเรียกร้องอยู่แล้วว่าเอาเด็กออกมาจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ แต่ถ้ายังไม่ถึงวันนั้น ก็ต้องส่งกำลังใจให้นักสู้ทุกคนที่อยู่ในเรือนจำว่าคุณต้องผ่านมันไปให้ได้ ผมบอกตั้งแต่ผมยังอยู่ข้างใน แล้วน้องๆ สลับสับเปลี่ยนกันเข้าไป ไม่รู้จะอยู่อีกกี่วันนะ แต่ต้องผ่านไปให้ได้ เท่าที่เห็นทุกคนก็ผ่านมา ล้มลุกคลุกคลานยังไงก็ผ่านมา คราวนี้ก็เช่นกัน ผมหวังว่าพวกเขาจะผ่านออกมาได้
Fact Box
- ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เกิดที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อเสียงจากการเป็น ‘นักพูด’ ในรายการ สภาโจ๊ก และรายการ รัฐบานหุ่น ทางไอทีวี โดยเป็นเงาเสียงของ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รวมทั้งยังเป็นวิทยากรอบรมเรื่องการพูด ก่อนจะเบนเข็มเข้าสู่ถนนการเมือง
- เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคชาติพัฒนา ก่อนย้ายมาอยู่พรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 2548 ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทว่าสปอตไลต์เริ่มส่องมายังณัฐวุฒิ เมื่อเขาเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
- ที่ผ่านมา พรรคที่ณัฐวุฒิสังกัดถูกยุบไป 3 พรรค ได้แก่ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักษาชาติ ขณะเดียวกัน ณัฐวุฒิ ยังต้องเข้า-ออกเรือนจำอีก 3 รอบ ด้วยคดีที่เกี่ยวพันกับการชุมนุมทางการเมืองทั้งสิ้น
- ‘นปก ใสยเกื้อ’ คือชื่อลูกชายของณัฐวุฒิ ซึ่งพ้องกับตัวย่อของขบวนการคนเสื้อแดง (แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก.) ก่อนที่ขบวนการ นปก. จะเปลี่ยนชื่อเป็น นปช. ในภายหลัง ด้านลูกสาวชื่อว่า ‘ชาดอาภรณ์’ ซึ่งแปลว่าเสื้อแดง ลูกสาวของเขาเกิดวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ช่วงเวลาตึงเครียดก่อนที่ทหารจะเริ่มสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553