ที่ดินบนหัวมุมถนนอโศกตัดกับเพชรบุรีของสถานทูตญี่ปุ่นถือว่าเป็นที่ดินที่มีทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในย่านเขตธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางคมนาคม และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และทำให้เป็นที่จับตามองว่า เมื่อเปลี่ยนมือแล้ว ที่ดินในทำเลใจกลางกรุงผืนนี้จะถูกนำไปเพิ่มมูลค่าในรูปแบบใดที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองได้อย่างลงตัว
คำตอบของการพัฒนาที่ดินผืนนี้ถูกเฉลยในอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น พร้อมกับการเปิดตัวของ สิงห์ เอสเตท บริษัทใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เจาะตลาดพรีเมียมโดยเฉพาะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ SINGHA COMPLEX โครงการมิกซ์ยูสระดับลักชัวรีแห่งแรกในบริเวณนี้ ที่รวมเอาอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมไว้ในที่เดียว
เบื้องหลังการใช้ประโยชน์ของที่ดินในลักษณะนี้ส่วนหนึ่งมาจากการตัดสินใจของ นริศ เชยกลิ่น CEO ของ สิงห์ เอสเตท (Premier Lifestyle Developer) ที่ต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ในการใช้ชีวิต และเป็นธุรกิจที่เขาบอกว่าการสร้างแบรนด์ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดทั้งสินค้าและบริการ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสังคมและสภาพแวดล้อมให้ยั่งยืน
โครงการมิกซ์ยูส ความคุ้มค่าที่มาพร้อมกับความท้าทาย
“ความท้าทายในการออกแบบโครงการมิกซ์ยูสอยู่ที่ความลงตัวของการจัดสรรพื้นที่ เราควรจะมีอะไรมาก อะไรน้อย และทำอย่างไรให้มันมี synergy ซึ่งกันและกัน เพราะถ้าเราทำแล้วไม่บาลานซ์ ภาพรวมก็อาจจะออกมาไม่ดี” นริศเล่าถึงสิ่งที่เขามองว่าเป็นความท้าทายที่สุดในการบริหารจัดการคอมเมอร์เชียลคอมเพล็กซ์ที่ต้องรองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย
เดิมที อาคารสูง 42 ชั้นที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากรูปทรงของรวงข้าวบาร์เลย์นี้ ถูกวางโพสิชันให้เป็นตึกออฟฟิศที่มีส่วนของรีเทลเพื่อรองรับผู้เช่า แต่นริศเห็นว่าการใช้ประโยชน์ของพื้นที่สามารถทำได้มากกว่านั้น โดยเพิ่มคอนโดมิเนียมเข้ามา ซึ่งเป็นความลงตัวในแง่ของการทำธุรกิจและความสะดวกสบายผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงานที่นี่
“ด้วยความที่ที่ดินมีราคาสูงขึ้น การใช้ประโยชน์ในที่ดินควรจะต้องมีความหลากหลาย ซึ่งการใช้ประโยชน์แต่ละด้านจะมีผลตอบแทนทางการเงินแตกต่างกัน อย่างการทำอาคารสำนักงาน ถ้าเทียบผลตอบแทนกับราคาที่ดินและต้นทุนการก่อสร้างอาจจะไม่ได้เงินคืนมาภายในระยะเวลารวดเร็ว ตรงกันข้ามกับคอนโดมิเนียมที่จะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นดีกว่า แต่ไม่มี upside potential ในระยะยาว ซึ่งอาคารสำนักงานให้เช่าจะเข้ามาเสริมในเรื่องนี้
อีกเรื่องก็คือการทำอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะมันมีเรื่องของซัพพลายและดีมานด์ด้วย ถ้าเราทำออฟฟิศหรือคอนโดมิเนียมเยอะๆ ในที่เดียว ตลาดอาจจะไม่รองรับ แต่เมื่อเราปรับการใช้ประโยชน์ของที่ดินให้ผสมผสาน ก็ทำให้เราใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างจากการใช้ที่จอดรถ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ถ้าเป็นอาคารสำนักงานเขาก็จะใช้น้อย แต่ส่วนพื้นที่อยู่อาศัยหรือรีเทลก็จะมีคนใช้ที่จอดรถมากกว่า เมื่อลักษณะการใช้งานต่างกัน เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากที่จอดรถได้มากขึ้น” หัวเรือใหญ่ของ สิงห์ เอสเตท พูดถึงจุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูส
คุณภาพที่ดีบนทำเลที่ใช่ สองปัจจัยสร้างความสำเร็จ
“จริงๆ ก่อนจะที่เปิดตัวโครงการ เราก็ห่วงเหมือนกันนะ ห่วงว่าคอนโดจะขายได้ไหม ออฟฟิศจะมีคนเช่าหมดไหม” ผู้บริหารใหญ่เล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อโครงการที่ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดโครงการหนึ่งในชีวิตการทำงานของเขา “แต่เมื่อเทียบระหว่างความกังวลกับความมั่นใจ เราก็คิดว่าความมั่นใจมีมากกว่า เพราะคิดและทำมาหลายโครงการแล้ว และด้วยทำเลนี้และศักยภาพขององค์ประกอบต่างๆ เราก็เชื่อมั่นว่าน่าจะสำเร็จ”
ทำเลที่ใช่คือสิ่งที่เขาย้ำหลายครั้งในบทสนทนา ซึ่ง ณ เวลานี้ ย่านเพชรบุรีตัดใหม่ที่เคยมีภาพลักษณ์ของความเป็นย่านความบันเทิงยามค่ำคืน คือทำเลที่เขามองว่าใช่ในการทำโครงการนี้ โดยนริศพูดถึงเรื่องนี้ว่า “เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเมื่อราคาที่ดินสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจในย่านนี้พัฒนาขึ้นมาก ขณะเดียวกันเราจะเห็นคอนโดมิเนียมในย่านนี้เกิดขึ้นเยอะมาก เพราะใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินและแอร์พอร์ตลิงก์ด้วย ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่”
แต่ทำเลเพียงอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างความสำเร็จได้ ปรัชญาของ สิงห์ เอสเตท จึงมีเรื่องของคุณภาพควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป้าหมายของบริษัทคือการเจาะตลาดกลุ่มพรีเมียมที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ
“ทุกโครงการที่เราทำจะพิถีพิถันทั้งเรื่องทำเลและคุณภาพมาก เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของบริษัทเรา เป็นเรื่องที่เราเน้นกับทีมงานทุกคนว่า งานต้องออกมาประณีตจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าการกำหนดราคาสูงไม่ได้แปลว่าแพง เพราะสิ่งที่เรามอบให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ เรียกว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับราคา” นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นส่วนหนึ่งของ SINGHA COMPLEX ถึงขายได้หมดภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือนหลังจากเปิดจอง ทั้งที่เมื่อเทียบกันแล้วมีราคาสูงกว่าคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลเดียวกัน และอาคารสำนักงานเองก็มีผู้เช่าเกือบครบทุกยูนิต
ต้นทุนที่มากกว่า ความยั่งยืนที่มากขึ้น
ในระหว่างการพัฒนาโครงการนี้ นริศและทีมงานเดินทางไปดูอาคารมิกซ์ยูสหลายแห่งในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย อย่างเช่นฮ่องกง สิงคโปร์ และดูไบ เพื่อเก็บเกี่ยวข้อดีของแต่ละที่แล้วนำมาปรับใช้กับ SINGHA COMPLEX โดยเฉพาะองค์ประกอบที่จะช่วยให้โครงการนี้เป็นมิตรทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
“การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นยุทธศาสตร์อย่างหนึ่งของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการใส่ใจกับการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้จึงอยู่ในการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนแรก ถ้าเราทำธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ เราน่าจะลดต้นทุนได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น เพราะเราอยากจะให้ออกมาดีและเป็นประโยชน์ด้วย” ซึ่งความตั้งใจที่มีมาแต่แรกนี้ผ่านการทำให้เห็นเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเลือกที่จะรักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ในพื้นที่แต่เดิมไว้ เพราะต้นจามจุรีสามต้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของอโศกที่คนทั่วไปคุ้นเคย การเลือกใช้วัสดุประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการออกแบบที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ซึ่งเป็นรางวัลระดับสากล
ในโลกธุรกิจที่วัดผลสำเร็จกันที่ตัวเลข คงไม่มีบริษัทใดไม่ใส่ใจกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพียงแต่สำหรับ สิงห์ เอสเตท แล้ว ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นกลับคืนสู่องค์กรของพวกเขาในเรื่องความคุ้มค่าที่มาจากความมั่นใจของลูกค้า การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงเป็นส่วนหนึ่งของทุกโครงการ ไม่ใช่เฉพาะแต่คอมเพล็กซ์แห่งใหม่แห่งนี้เท่านั้น
Smart & Sharing เมื่อทุกสิ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
การสังเกตผู้คนที่เข้ามาใช้งานในพื้นที่เป็นสิ่งหนึ่งที่ CEO แห่ง สิงห์ เอสเตท ทำอยู่เสมอเวลามาที่โครงการนี้ โดยเขาสังเกตว่า “ตอนสายๆ ไม่ก็ตอนเย็นๆ หรือแม้กระทั่งช่วงดึก ก็จะมีคนที่อยู่แถวนี้ หรือนักเรียน นักศึกษาเดินเข้ามาใช้บริการในอาคารของเรา บางคนก็เดินมาทานข้าว บางคนก็เอาคอมมานั่งทำงานกัน เพราะที่นี่เรามีบริการ super wifi ให้ทุกคนใช้ มีพื้นที่ที่ทำเป็น co-working space ทุกคนที่มาที่นี่มีสิทธิ์ที่จะพักผ่อนและใช้ประโยชน์จากอาคารของเรา นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจมอบให้กับชุมชนชาวอโศก
“นอกจากนี้ ในเรื่องของเทคโนโลยี เรายังนำแอปพลิเคชันเข้ามาใช้ในการให้บริการภายในตึกของเราเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงิน หรือการเข้าตึกที่ต่อไปสามารถใช้ QR code แทนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้บัตร ซึ่งตรงนี้จะนำมาเทคโนโลยีมาใช้ทั้งกับอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม”
นอกจากการมอบความสะดวกสบายแล้ว SINGHA COMPLEX ยังมองไปถึงการแบ่งปันประสบการณ์ที่จะสร้างสีสันให้กับไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ ซึ่งความตั้งใจนี้ถูกถ่ายทอดผ่านการคัดสรรร้านค้าที่มาเปิดในส่วนของรีเทล ซึ่งนริศเล่าว่า “เราพยายามเลือกแบรนด์ที่เป็นแบรนด์ที่ดี ที่แตกต่าง บางรายก็ไม่เคยเปิดในศูนย์การค้าที่ไหน บางรายก็มาจากต่างประเทศ ให้เป็นความแปลกใหม่ โดยเราพยายามจะไม่ให้เป็นแบบ me too ที่ซ้ำกับที่อื่น
“อย่างร้านเบเกอรี Gontran Cherrier ก็เปิดที่เราเป็นสาขาแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิชก็มาเปิดในฟู้ดคอร์ตของเรา หรือ Café del Mar ที่เป็นบีชคลับนี่หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าบีชคลับระดับโลกจะมาเปิดใน SINGHA COMPLEX ที่เป็นอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย แต่ผมคิดว่าเวลาคนเคร่งเครียดกับงานมาทั้งวัน ถ้าได้มาอยู่ในคลับ อยู่ในบรรยากาศที่แตกต่าง ฟังเพลงชิลล์ๆ มีเครื่องดื่มดีๆ ก็น่าจะเป็นทางเลือกในการพักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง”
“การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับคนที่อยู่อาศัยหรือเข้ามาในโครงการของเราถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตในคอมเพล็กซ์ตลอดจนสังคมรอบข้างให้มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีน่าจะเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ของโครงการมิกซ์ยูส”
Fact Box
- SINGHA COMPLEX เป็นหนึ่งในสามโครงการมิกซ์ยูสของ สิงห์ เอสเตท อีกสองโครงการ ได้แก่ โครงการ Crossroads ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ในประเทศมัลดีฟส์ให้เป็นโครงการ integrated tourist destination โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2562 และโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ บนถนนวิภาวดี-รังสิต ห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2562
- เป้าหมายในปี 2562 ของ สิงห์ เอสเตท คือตัวเลขรายได้สองหมื่นล้านบาท ซึ่ง นริศ เชยกลิ่น บอกว่า เป็นปีที่ สิงห์ เอสเตท จะมีการเติบโตมากขึ้นและเห็นผลจากการลงทุนลงแรงได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และโรงแรมที่มีทั้งหมด 39 แห่ง ทั้งในไทย สหราชอาณาจักร มัลดีฟส์ ฟิจิ และมอริเชียส