กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกรายงาน Fiscal Monitor Report ที่ระบุว่า ทุกประเทศควรหาทางลดการปล่อยคาร์บอนทันที และเสนอว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ‘ภาษีคาร์บอน’

IMF อธิบายว่า ภาษีคาร์บอนที่มีความหมายเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการจัดการกับวิกฤตภูมิอากาศ เนื่องจากวิธีนี้ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนต้องหาทางลดการใช้พลังงานและเปลี่ยนผ่านไปใช้ทางเลือกอื่นที่สะอาดกว่า ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด

เปาโล เมาโร รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของ IMF กล่าวว่า นโยบายทางการคลังเป็นวิธีการที่สำคัญในการต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เพราะสามารถเปลี่ยนระบบภาษีใหม่ และปรับปรุงนโยบายการคลังให้ลดการปล่อยคาร์บอนได้

ปัจจุบันรัฐบาล 40 ประเทศทั่วโลกใช้การกำหนดราคาคาร์บอน โดยราคาคาร์บอนเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งคิดเป็นส่วนเล็กๆ ของเป้าหมาย 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

แต่การจำกัดอุณหภูมิไม่ให้สูงขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียส ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากต้องมีมาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ ตัวอย่างเช่น ควรเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มเป็น 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2030 วิธีนี้จะทำให้ค่าไฟฟ้าในครัวเรือนเพิ่มขึ้น 43% ในอีกสิบปีข้างหน้า โดยเฉพาะในประเทศที่ยังใช้ถ่านหินผลิตกระแสไฟฟ้า ก๊าซโซลีนจะมีราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 14% ขณะผู้ใช้พลังงานทางเลือกอื่นจ่ายเงินน้อยกว่า แนวคิดเรื่องการขึ้นราคาจะบังคับให้ธุรกิจและผู้บริโภคหาทางเลือกอื่นๆ ที่มาจากการใช้พลังงานสะอาดและหมุนเวียนได้

รายงานยังระบุว่า ตอนที่มีการทำข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศปารีสปี 2015 พร้อมเป้าหมายป้องกันอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ปัจจุบันข้อตกลงนี้ถูกละเลย และอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ประเทศร่ำรวยหลายประเทศไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ทั้งนี้การปฏิบัติตามข้อตกลงเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น แต่สิ่งที่ต้องการเร่งด่วนคือกลไกกระตุ้นการปฏิบัติ

มีหลายประเทศที่ใช้ภาษีคาร์บอน เช่น สหราชอาณาจักรที่ลดการใช้ถ่านหิน หลังจากใช้ภาษีคาร์บอนในปี 2013 ส่วนแคนาดามีแผนจะใช้ภาษีคาร์บอน 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2022

IMF ยังระบุว่า ค่าใช้จ่ายของการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านแนวทางเหล่านี้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการรับมือผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อคนและโลก

“รัฐมนตรีกระทรวงการคลังทุกประเทศเป็นศูนย์กลางของการออกแบบและใช้นโยบายที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และวิธีที่ยอมรับได้ทางสังคมและการเมือง” รายงานระบุ

IMF ยกตัวอย่างสวีเดนที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มภาษีคาร์บอนมากขึ้นจาก 28 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 1991 เป็น 127 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยคุ้มครองพลเมืองด้วยการจับคู่ภาษีคาร์บอนกับการลดภาษีรายได้สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ต่างจากฝรั่งเศสที่การเพิ่มภาษีคาร์บอนเป็น 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเป็นหนึ่งในชนวนเหตุของม็อบเสื้อกั๊กเหลือง

ที่มา: 

https://www.ecowatch.com/carbon-tax-imf-2640931703.html?rebelltitem=2#rebelltitem2

https://www.cnbc.com/2019/10/10/carbon-tax-most-powerful-way-to-combat-climate-change-imf.html

https://www.independent.co.uk/environment/climate-change-fossil-fuels-carbon-environment-tax-imf-a9151996.html

ภาพ: PAUL ELLIS / AFP

Tags: