หลังจากตัวเลขผลประกอบการของ บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด เจ้าของแบรนด์เสื้อยืด ‘ยืดเปล่า’ (YUEPAO) เผยแพร่ออกมาและกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลฯ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่า รายได้ทะลุ 1,183 ล้านบาท แต่กำไรเหลือเพียง 1 ล้านบาท ในปี 2567 ทำให้เกิดคำถามว่า ธุรกิจที่ดูไปได้สวย ทำไมผลลัพธ์กลับบางเฉียบเช่นนี้

ข้อมูลแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ยืดเปล่ามีการเติบโตต่อเนื่อง

  • ปี 2565 รายได้ 506 ล้านบาท กำไร 18 ล้านบาท

  • ปี 2566 รายได้ 803 ล้านบาท กำไร 74 ล้านบาท

  • ปี 2567 รายได้ 1,183 ล้านบาท กำไรเพียง 1 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า แม้ยอดขายจะพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว แต่ค่าใช้จ่ายก็ตามมาอย่างหนัก โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มออนไลน์ การทำโปรโมชัน และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้นมหาศาล

ทำไมกำไรเหลือน้อย

คำอธิบายจากเพจ Yuedpao – ยืดเปล่า ยืดแต่ไม่ย้วย ระบุว่า บริษัททุ่มงบลงทุนกับการตลาด ทั้ง Out of Home, Presenter, Billboard, การเป็นสปอนเซอร์งาน Festival และการคอลแลบกับแคมเปญการกุศลต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ถูกมองเป็นการลงทุนเพื่อสร้างแบรนด์ในระยะยาวมากกว่าการทำกำไรทันที

อีกประเด็นสำคัญคือ ยืดเปล่ายังคงยึดนโยบาย ‘ขายราคาแฟร์’ ไม่ตั้งราคาสูงเกินไปเพื่อรักษาความรู้สึกของลูกค้า ทำให้ Margin ต่อชิ้นค่อนข้างต่ำ เมื่อเจอกับต้นทุนแฝงและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น กำไรจึงแทบไม่เหลือ

Economy of Friend ขายเอาเพื่อน ไม่ได้ขายเอากำไร

แทนที่จะปกป้องตัวเองด้วยเหตุผลเชิงธุรกิจ ยืดเปล่ากลับเลือกพลิกเกมสื่อสาร ด้วยการประกาศว่าแบรนด์ยึดแนวคิด ‘ขายเอาเพื่อน’ (Economy of Friend) มากกว่า ‘ขายเอากำไร’ โดยชูจุดยืนว่า อยากให้ลูกค้าได้ของดี คุ้มค่า และเติบโตไปพร้อมกันเหมือนเพื่อน

ถ้อยแถลงนี้ไม่เพียงอธิบายที่มาของตัวเลขกำไร แต่ยังช่วยสร้างความน่ารักและจริงใจในสายตาผู้บริโภค สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับคุณค่า มากกว่าตัวเลข จนกลายเป็นกระแสไวรัลที่หลายเพจ เช่น Cat Radio ออกมาสนับสนุน

หัวใจของ Economy of Friend คือการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก่อนผลกำไร เชื่อว่าฐานลูกค้าที่เชื่อมั่นและภักดีคือกำแพงป้องกันธุรกิจที่แข็งแรงที่สุด การเลือกยอมลดกำไรในระยะสั้นเพื่อสร้างคุณค่าทางใจและสร้างคอมมูนิตี้รอบตัวแบรนด์ คือวิธีการวางรากฐานเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน

หาก Economy of Scale คือการแย่งชิง Market Share Economy of Friend ก็คือการยึดพื้นที่ในใจลูกค้า แม้จะวัดผลเป็นตัวเลขยาก แต่กลับสร้างอิทธิพลและความมั่นคงได้มากกว่าในระยะยาว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแบรนด์เสื้อยืดเปล่า ที่ทำรายได้ทะลุพันล้านบาท แต่เหลือกำไรเพียงเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะแบรนด์เลือกตั้งราคาให้เข้าถึงง่ายที่สุด เพื่อให้เพื่อนทุกคนซื้อใส่ได้ แม้ต้องเผชิญกับต้นทุนแพลตฟอร์มออนไลน์และค่าใช้จ่ายการตลาดจำนวนมาก

แทนที่จะถูกมองว่าบริหารธุรกิจไม่เป็น การประกาศจุดยืนว่า ขายเอาเพื่อน กลับทำให้แบรนด์กลายเป็นขวัญใจสังคมออนไลน์ และสร้างภาพจำว่า นี่คือธุรกิจที่จริงใจกับลูกค้า

ทำไมแนวคิดนี้ถึงเวิร์กในยุคนี้

พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อตัวตนและคุณค่าของแบรนด์ พวกเขามีเครื่องมือในการตรวจสอบและวิจารณ์แบรนด์มากกว่าที่เคย และเลือกสนับสนุนธุรกิจที่ดูเป็นมนุษย์จริงใจมากกว่าองค์กรที่พูดภาษาโฆษณา

ดังนั้น Economy of Friend จึงไม่ใช่กลยุทธ์การตลาดสั้นๆ แต่คือปรัชญาที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลได้ลึกที่สุด ธุรกิจที่ไม่ได้โตแบบโดดเดี่ยว แต่โตไปพร้อมกับเพื่อนที่พร้อมจะเดินด้วยกัน

ยอมบางวันนี้ เพื่อหนาในวันหน้า

การที่ยืดเปล่าเลือกทุ่มต้นทุนไปกับการตลาดและสร้างชุมชน อาจถูกมองว่าเป็นการลงทุนสร้าง Brand Equity ซึ่งหากทำสำเร็จจะทำให้ฐานลูกค้าเหนียวแน่นในระยะยาว และเปิดทางสู่การขยายไลน์สินค้า หรือเพิ่มระดับราคาบางเซกเมนต์ในอนาคต

อย่างไรก็ดีความท้าทายคือการหาสมดุลระหว่างขายเอาเพื่อนกับขายเอากำไร หากแบรนด์ยังคง Burn Rate ในระดับนี้ต่อไป อาจกระทบเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลาง แต่ถ้าสามารถต่อยอดแบรนด์ที่แข็งแรงไปสู่โมเดลธุรกิจที่ทำเงินได้จริง ยืดเปล่าอาจกลายเป็นแบรนด์แฟชั่น Mass ของไทยที่ไปได้ไกลบนเวทีโลก

อ้างอิง

Tags: , , , ,