หากคุณคือเจ้าของแบรนด์หรือคนทำธุรกิจที่รู้สึกว่า ปี 2025 เป็นปีที่ท้าทายที่สุดปีหนึ่ง เพราะเทรนด์โลกหมุนเร็วจนแทบตั้งหลักไม่ทัน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปในพริบตา ของที่ฮิตวันนี้อาจกลายเป็นของตกยุคในวันพรุ่งนี้

เตรียมตัวให้พร้อม เพราะปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน จะยิ่งเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและโจทย์ใหม่ๆ ให้คุณรับมือ ทว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นยังคงมีทางออกและโอกาสใหม่ๆ ซ่อนอยู่เสมอ

จากรายงาน เจาะเทรนด์โลก 2026 (TREND 2026) โดย CEA จะพาคุณสำรวจทิศทางโลกในอนาคตผ่าน 4 มิติสำคัญ ประกอบด้วย Population, Social & Culture, Technology และ Environment พร้อมกรณีศึกษาที่จะช่วยให้คุณมองเห็นแสงแห่งโอกาสที่ทำให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น

และนี่คือ 4 เทรนด์ผู้บริโภคที่น่าจับตาในปี 2026

The Autonomists ยึดมั่นในความคิดและสนับสนุนคอมมูนิตี้ของตัวเอง

ในวันที่สังคมยังคาดหวังให้ทุกคนเดินตาม ‘ขั้นบันไดชีวิต’ แบบเดิม เรียนจบ แต่งงาน มีบ้าน มีลูก ผู้บริโภคกลุ่ม The Autonomists กลับเลือกเส้นทางของตัวเอง พวกเขานิยาม ‘ความสำเร็จ’ ขึ้นใหม่ ไม่ได้วัดจากสิ่งที่เป็นเจ้าของ แต่จากการได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและซื่อสัตย์ต่อคุณค่าที่ตัวเองเชื่อ

เติบโตท่ามกลางวิกฤตและความเปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนี้เรียนรู้ที่จะตั้งกฎชีวิตเอง ไม่ยึดติดกับภาพความสำเร็จแบบเดิม และต่อต้านระบบธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่รับผิดชอบ พวกเขาเชื่อในความเรียบง่ายที่มีคุณค่าและยั่งยืนมากกว่า

ในรายงานยังระบุอีกว่า 80% ของคนอายุ 13-39 ปีในยุโรป ไม่ต้องการใช้ชีวิตตามแบบคนรุ่นก่อน และในสหรัฐฯ แนวคิด ‘ต่อต้านทุนนิยม’ แพร่หลายในกลุ่ม Gen Z มากที่สุด และพวกเขายังไม่เชื่อใจข้อมูลที่มาจากองค์กรธุรกิจ

แนวทางที่แบรนด์ควรรู้

  1. ความรับผิดชอบสำคัญกว่าภาพลักษณ์ The Autonomists ให้คุณค่ากับความโปร่งใสและความจริงใจ แบรนด์ที่กล้ายอมรับข้อผิดพลาดจะได้รับความเชื่อใจมากกว่าการสร้างภาพลักษณ์สวยหรู

  2. แสดงจุดยืนอย่างจริงใจ พวกเขาชื่นชมแบรนด์ที่มีจุดยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมชัดเจน ไม่ใช่แค่พูดเพื่อการตลาด แต่ลงมือทำให้เห็นผลจริง

  3. ยุคของ ‘ฉลาดซื้อ’ (Conscious Consumerism) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายอย่างมีสติและใส่ใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปฏิเสธความเชื่อที่ว่า ‘การซื้อของคือความสุข’ สอดคล้องกับเทรนด์ ‘การใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง’ ก็กำลังมาแรงทั่วโลก เช่น กระแส Fear of Spending ในจีน และ Loud Budgeting หรืออวดความประหยัดในตะวันตก ซึ่งสะท้อนว่าคนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามกับพฤติกรรมการบริโภค และเลือกใช้จ่ายอย่างยั่งยืนมากขึ้น แนวคิดเดียวกับที่ The Autonomists ยึดถือเป็นหัวใจสำคัญของชีวิต

  4. สนับสนุนความเท่าเทียมในสังคม The Autonomists เชื่อในระบบที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน และให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมที่ทุกคนมีชีวิตที่ดีร่วมกันได้

The Gleamers: ฟื้นฟูหัวใจภายใต้ความธรรมดา

เมื่ออาการ ‘หมดไฟ’ (Burn Out) กลายเป็นโรคระบาดทางอารมณ์ของยุคนี้ ผู้คนจำนวนมากเริ่มหันกลับมามองหาความเรียบง่ายในชีวิตอีกครั้ง นี่คือที่มาของกลุ่ม The Gleamers ผู้บริโภคที่ต้องการฟื้นฟูหัวใจภายใต้ความธรรมดา พวกเขาให้นิยามใหม่กับคำว่า ‘ความสมบูรณ์พร้อม’ และ ‘การดูแลใส่ใจ’ ว่ามันไม่จำเป็นต้องมาพร้อมความหรูหราหรือความสำเร็จทางวัตถุอีกต่อไป

ช้าลง เพื่อหาความหมายใหม่ของชีวิต

The Gleamers ปฏิเสธวัฒนธรรมเร่งรีบที่กลืนกินชีวิตประจำวัน พวกเขามองว่าความสุขที่แท้จริงเกิดจากการชะลอจังหวะชีวิต และใช้เวลามากขึ้นกับสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้ใจสงบ เช่น การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ การดูแลตัวเอง หรือการใช้เวลาร่วมกับคนที่รัก

แนวโน้มนี้ยังนำไปสู่การอพยพกลับสู่ชนบท ผู้คนเริ่มย้ายออกจากเมืองใหญ่ เพื่อกลับบ้านหรือพัฒนาฟื้นฟูพื้นที่รกร้าง สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างรูปแบบชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องแข่งกับเวลา

คอมมูนิตี้รูปแบบใหม่ ที่กว้างกว่าคำว่าครอบครัว

The Gleamers มองว่า ความสัมพันธ์คือรากฐานของชีวิตที่ดี พวกเขาโอบรับคอมมูนิตี้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงครอบครัวตามสายเลือด แต่รวมถึงคนที่เข้าใจกันและดูแลกันเหมือนครอบครัว

ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น หลายคนเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อน หรือคนที่มีแนวคิดคล้ายกัน โดยยึดหลักการเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม และความปรารถนาดีต่อกัน

ฟื้นฟูหัวใจผ่านประสบการณ์ที่ ‘ช้าลง’

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่ม The Gleamers แบรนด์ควรมุ่งเน้นการออกแบบประสบการณ์ที่ช่วยให้ผู้คน ลดแรงกดดันของโลกสมัยใหม่ และสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสิ่งรอบตัว

  1. ออกแบบพื้นที่ที่ปลอดจากแรงกดดัน เป็น ‘เกราะป้องกันทางใจ’

เช่น โซนปลอดเทคโนโลยี (Technology-free Zones) ให้ผู้คนพักจากหน้าจอ และใช้เวลาทบทวนอารมณ์ของตนเอง หรือพื้นที่เพื่อสุขภาวะ (Wellness Spaces) เช่น มุมพักผ่อนเงียบๆ สตูดิโอโยคะ หรือกิจกรรมบำบัดที่เน้นการฟื้นฟูจิตใจ

  1. สร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ลึกซึ้ง (Deeper Connection)

กลุ่ม The Gleamers และคนรุ่นใหม่จำนวนมากกำลังฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังยุคโรคระบาด การมีพื้นที่และกิจกรรมที่ช่วยให้คนได้เชื่อมโยงกันจริงๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น พื้นที่รวมกลุ่มตามความสนใจ งานอดิเรก หรือการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ใหม่ หรือการสร้าประสบการณ์ที่กระตุ้นประสาทสัมผัส ใช้เสียง แสง กลิ่น หรือการสัมผัส เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่และสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกกว่าเดิม

THE IMPARTIALISTS: เชื่อใจในความจริง

ท่ามกลางข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้นและเต็มไปด้วยความคลาดเคลื่อน ข่าวปลอม (Fake News) และโพสต์ที่เขียนยั่วยุแต่ไม่มีที่มา ยังปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับความจริง ข้อเท็จจริง และความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ มากกว่าเรื่องเล่าสวยงามแต่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องแต่ง

กลุ่มผู้บริโภค The Impartialists กำลังค่อยๆ ต่อสู้กับวิกฤตการณ์ข้อมูลเท็จที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยยึดมั่นในความจริง และต้องการข้อเท็จจริงมากกว่าเรื่องแต่ง และคนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอย่างมีสติและมักตรวจสอบที่มาของแต่ละข้อมูลอยู่เสมอ

โอกาสสำหรับแบรนด์

แบรนด์หรือธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้ ต้องสื่อสารและทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ และใช้กลยุทธ์ในการสื่อสารเพื่อทำการตลาดด้วยการเล่าเรื่องที่เป็นความจริง นำเสนอข้อมูลที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

THE SYNERGISTS ฟิวชันความแตกต่าง รวมร่างความหลากหลาย 

กลุ่ม The Synergists คือคนที่เชื่อว่าโลกควรเปลี่ยนไปเพื่อให้คนกับเทคโนโลยีอยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น พวกเขาเห็นว่า  เทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรูของมนุษย์ แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ทั้งในโลกจริงและโลกดิจิทัล โดยยึดแนวคิด Think Human First หรือมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง

พวกเขาใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ เพื่อสร้างความยุติธรรมและลดช่องว่างทางสังคม ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างการแปลภาษา ไปจนถึงการผลักดันนวัตกรรมที่ทำให้ผู้คนจากต่างวัฒนธรรมเข้าใจกันมากขึ้น 

แม้จะคุ้นชินกับโลกดิจิทัล แต่คนกลุ่มนี้ยังให้คุณค่ากับโลกจริง พวกเขาชอบกิจกรรมที่เชื่อมโยงร่างกายและจิตใจ เช่น ดิจิทัลดีท็อกซ์ อาบแสงจันทร์ หรือเดินทางเพื่อเติมพลังใจ

สำหรับแบรนด์ การเข้าใจและตอบโจทย์คนกลุ่มนี้คือโอกาสสำคัญ ธุรกิจควรพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่าง สร้างความเท่าเทียม และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เช่น การใช้ AI เพื่อแปลภาษาแบบเรียลไทม์ หรือสร้างบริการที่ช่วยให้คนต่างภูมิหลังสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับเทคโนโลยีที่ทำให้โลกดีขึ้นจริง

ตัวอย่างเช่น Spotify ที่ใช้เทคโนโลยีของ OpenAI ในการแปลพอดแคสต์เป็นหลายภาษา โดยยังคงเสียงจริงของผู้พูดไว้ ทำให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้ฟังทั่วโลกได้มากขึ้น หรือ Meta ที่พัฒนาแว่นตาอัจฉริยะพร้อมฟังก์ชันแปลภาษาได้ทันที แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ 100% แต่เป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนข้ามภาษาและวัฒนธรรม

อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือการสร้างประสบการณ์แบบหลายประสาทสัมผัส เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น เช่น xydrobe บริษัทเทคโนโลยี VR ที่ร่วมกับห้าง Harrods เปิดโรงภาพยนตร์เสมือนจริงแบบ 4 มิติ ที่ผู้ชมสามารถสัมผัส กลิ่น เสียง และอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปตามเนื้อหาได้จริง ช่วยให้การเล่าเรื่องของแบรนด์มีชีวิตและเข้าถึงอารมณ์ผู้คนได้มากกว่าเดิม

โดยรวมแล้ว The Synergists คือผู้บริโภคที่มองหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคน เทคโนโลยี และโลกใบนี้ อย่างที่มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ แต่ใช้เทคโนโลยีเป็นแรงผลักให้ชีวิตและสังคมดีขึ้นกว่าเดิม

อ้างอิง

https://www.tcdc.or.th/th/all/service/resource-center/e-book/35030-Trend-2026?fbclid=IwY2xjawN77rFleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFtTzVRRExFTVozbGRoc0kyc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHgAeINyU2qJb_5InuuNZQMe4fgrAXFq-G8svVo6CCdRZSgS99xYy3p4t_u7a_aem_zq5T1enRii3q7JbwgBP2Fw

Tags: , , , , , ,