ในเดือนมกราคม 1985 เฟรดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury) ได้ห้องสวีทของโรงแรมโคปาคาบานา พาเลซ เป็นห้องพักส่วนตัว เมื่อครั้งที่วงควีนไปทัวร์คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ‘The Works’ ในริโอ เดอ จาเนโร และร่วมเปิดการแสดงใน Rock-in-Rio Festival สองครั้งภายในหนึ่งสัปดาห์

ระหว่างนั้นเมอร์คิวรีมีโอกาสท่องราตรีอย่างสนุกสนาน แถมยังให้พอล เพรนเตอร์ (Paul Prenter) ผู้จัดการและคู่ขาของเขาจัดหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โคเคน และคู่นอนเพศชายมาปรนเปรออย่างไม่อั้น

เรื่องราวแบบนี้เราไม่มีโอกาสได้รู้หรือเห็นจาก Bohemian Rhapsody หนังชีวประวัติของเฟรดดี เมอร์คิวรีที่บอกเล่าแค่เพียงช่วงเริ่มต้นของเมอร์คิวรีกับวงควีน จนถึงการแสดงบนเวที Live Aid ปี 1985 แต่ที่มากกว่านั้นมีกล่าวถึงในหนังสือ Freddie Mercury ผลงานของ เลสลีย์แอนน์ โจนส์ (Lesley-Ann Jones) อย่างเช่นคำบอกเล่าของพาตริซิโอโสเภณีหนุ่มอิสราเอลี ซึ่งเคยเป็นแขกในปาร์ตี้ส่วนตัวของเมอร์คิวรีบ่อยครั้ง

พวกเด็กหนุ่มที่ถูกคัดเลือกมาจะได้เข้าไปในห้องสวีทของโรงแรมที่เฟรดดีพักอยู่ บนนั้นจะเห็นวิวของสระว่ายน้ำตอนแรกเราดื่มกันก่อน จากนั้นก็เริ่มเสพโคเคน ในห้องโถงมีตั่งไม้ตัวเล็กๆ สำหรับเกลี่ยผงขาวเป็นเส้นๆ หลังจากนั้นพวกเราก็จะถอดเสื้อผ้า แล้วเดินเข้าไปในห้องของเฟรดดี เขารอรับเราด้วยชุดเสื้อคลุม พอล (เพรนเตอร์) อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย แต่เขาสวมเสื้อผ้าอยู่คนเดียว เฟรดดีมีเซ็กซ์กับเด็กหนุ่มทุกคนแบบเรียงตัว ต่อหน้าคนอื่นๆ จนเฟรดดีเพลีย อยากนอนแล้ว พอลก็จะจ่ายเงินให้ และบอกให้ทุกคนกลับไป

หรือฮัลโลวีน ปาร์ตี้ของวงที่นิวออร์ลีนส์ปี 1977 ระหว่างตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาห้องบอลรูมของโรงแรมแห่งหนึ่งถูกดัดแปลงให้กลายเป็นป่าเขียวแบบเกย์ๆ มีคนแคระ แดรกควีน นักพ่นไฟ นักเต้นระบำเปลื้องผ้า นักเต้นวูดู นักเต้นซูลู โสเภณี และกลุ่มคนที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ภาพรวมดูคล้ายเป็นแหล่งมั่วสุมที่ผิดกฎหมายมากกว่าแขกในงานปาร์ตี้ธรรมดา นายแบบเปลื้องผ้าคนหนึ่งนอนบนแผ่นกระดาน เนื้อตัวประดับด้วยตับสด นายแบบอีกคนถูกขังไว้ในกรงเหล็ก ความบ้าคลั่งนี้ทำให้ควีนตกเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลก และได้รับการยืนยันอย่างดีว่า ควีนเป็นนักปาร์ตี้ที่ต่ำทรามที่สุดในธุรกิจร็อก

เฟรดดี เมอร์คิวรีเปรียบเสมือนขั้นกว่าของบรรดาศิลปิน ตัวตนของเขาดูเหมือนจะก้าวข้ามพรมแดนต้องห้ามแห่งยุคทศวรรษ 1970s และ 1980s มันเกินเลยกว่าที่หนังเรื่อง Bohemian Rhapsody จะพูดเล่าได้ทั้งหมด แม้แต่นักแสดงอย่าง ซาชา บารอน โคเฮน ซึ่งได้รับการติดต่อให้รับบทเมอร์คิวรีในคราวแรก ยังไม่เห็นด้วยกับบท และปฏิเสธที่จะรับเล่น เพราะโคเฮนมีความเห็นว่า ชีวิตด้านมืดที่สุดโต่งของเมอร์คิวรีไม่ควรถูกตัดทอนออกไป

…..

นอกจากนครนิวยอร์กแล้ว เฟรดดี เมอร์คิวรียังใช้ชีวิตสองขั้วอย่างสุดเหวี่ยงในมิวนิก ที่ซึ่งเขาไปใช้ชีวิตอยู่ระหว่างปี 1979 ถึง 1985 ในอพาร์ตเมนต์สองหลัง หลังแรกที่ชตอลล์แบร์ก พลาซา ต่อมาเขาย้ายไปพักอยู่กับ บาร์บารา วาเลนติน (Barbara Valentin) นักแสดงหญิงของฟาสส์บินเดอร์ เป็นอพาร์ตเมนต์หลังใหญ่บนถนนฮานส์ซัคส์ (เมื่อปลายปี 2019 มีการประกาศขายอพาร์ตเมนต์ขนาด 130 ตารางเมตรหลังนี้บนแพลตฟอร์ม Immobilienscout24 ในราคากว่า 2 ล้านยูโร) แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้เป็นไปในเชิงชู้สาว เฟรดดีชัดเจนในเวลานั้นดีว่าเขาหลงใหลหนุ่มไว้หนวดสวมชุดหนัง ส่วนวาเลนตินแค่พึงใจในตัวเฟรดดี และคอยติดตามเขาไปไหนด้วยเท่านั้น

คลับโปรดของเมอร์คิวรีในมิวนิกชื่อ ‘Frisco’ ริมถนนบลูมเมน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ปาเดรส์) เมอร์คิวรีมักจะเดินเข้าทางด้านหลังของร้าน และชอบยืนซุ่มอยู่บริเวณมุมซ้ายของร้าน เพื่อเฝ้ามองผู้คนอย่างนิ่งเงียบ หากเขาพบเจอใครที่เขาสนใจ เขาถึงจะเอ่ยปากเลี้ยงดริงก์วอดกาน้ำส้มที่เขาชื่นชอบ

แม้เมอร์คิวรีจะเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ลูกค้าภายในร้านฟริสโกไม่เคยเข้าไปวุ่นวายก้าวก่ายเขา หลังจากดื่มเมามายติดต่อกันหลายคืน บ่อยครั้งเขามักจะขึ้นไปนอนพักบนห้องรับรองที่ชั้นสองของร้าน

นอกจากร้านฟริสโกแล้ว เมอร์คิวรียังชอบไปที่ร้าน ‘Ochsengarten’ บนถนนมึลเลอร์ เป็นร้านที่เปิดให้บริการเฉพาะผู้ชายสายโหดสวมชุดหนัง อีกร้านเป็นแหล่งปาร์ตี้สำหรับเมอร์คิวรี ชื่อร้าน ‘Old Mrs. Henderson’ บนถนนรุมฟอร์ด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Paradiso Tanzbar) เมอร์คิวรีเคยมาฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุ 39 ปีที่นี่ แขกเหรื่อทุกคนสวมชุดขาวดำ ภาพบางส่วนของงานคืนนั้นถูกนำมาใช้ในมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Living on My Own’ ในเวลาต่อมา

เมอร์คิวรีพบรักในช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในมิวนิก และคนที่เขามอบหัวใจให้คือ วินนี เคียร์ชแบร์เกอร์ (Winnie Kirchberger) เจ้าของร้านอาหาร ‘Sebastiansecks’ เคียร์ชแบร์เกอร์เป็นชายตามสเปกของเมอร์คิวรี หนุ่มรูปงามสวมเสื้อลายหมากรุก เมอร์คิวรีเคยมอบรถเมอร์เซเดสคันใหญ่เป็นของขวัญวันเกิดให้กับหนุ่มคนรัก เคียร์ชแบร์เกอร์ตอบแทนเขาด้วยขาหมูเมนูที่ปรุงจากใจ แต่สัมพันธ์รักของทั้งสองยืนยงได้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง และต้องเลิกร้างกันไป เคียร์ชแบร์เกอร์เสียชีวิตในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ด้วยโรคเอดส์

แต่ชายคนรักในชีวิตของเมอร์คิวรีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานนั้นคือ จิม ฮัตตัน (Jim Hutton) บาร์เบอร์จากย่านโซโหของกรุงลอนดอน เขาเป็นคนที่อดกลั้นเมื่อรู้ว่าเมอร์คิวรีปันใจให้หนุ่มเยอรมัน เป็นคนที่ปฏิเสธจะจากลาเมื่อเมอร์คิวรีสารภาพว่าติดเชื้อเอชไอวี อีกทั้งยังเป็นคนคอยเฝ้าดูแลจนกระทั่งเมอร์คิวรีสิ้นลมในปี 1991

ส่วนจิม ฮัตตัน เสียชีวิตเมื่อต้นปี 2010 ด้วยโรคมะเร็งปอด หลังจากมีชีวิตอยู่กับเอชไอวีมากว่า 20 ปี

อ้างอิง:  

https://www.stern.de/neon/feierabend/musik-literatur/freddie-mercury–warum-sein-unfassbares-leben-heute-nicht-moeglich-waere-8430602.html

https://www.tz.de/stars/spurensuche-ueber-leben-von-freddie-mercury-in-muenchen-6962037.html

https://www.stern.de/lifestyle/leute/in-dieser-muenchner-wohnung-ging-einst-freddie-mercury-ein-und-aus—jetzt-wird-sie-verkauft-9026038.html

Lesley-Ann Jones, Freddie Mercury: Die Biografie, Piper Verlag GmbH (2016)

Tags: , ,