เพียงแค่ 2 วัน ก่อนจะถึงเส้นตายของสหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ก็มีการประชุมอียูซัมมิตเพื่อหารือเกี่ยวกับการต่อเวลาเบร็กซิต (Brexit) หลังใช้เวลาประชุม 6 ชั่วโมง ผู้นำประเทศอียูเห็นชอบการเลื่อนเวลาเบร็กซิตออกไปได้จนถึง 31 ตุลาคม 2019

โดนัลด์ ทัสก์ ประธานสภายุโรปเปิดเผยว่า ขึ้นอยู่กับว่าสหราชอาณาจักรจะดำเนินการอย่างไร กว่าจะถึงวันนั้นก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะถอนข้อตกลง แยกตัวออกจากอียู หรืออาจจะตัดสินใจยกเลิกเบร็กซิต

เขาปิดการแถลงข่าวด้วยประโยคที่ว่า “เพื่อนชาวอังกฤษของเรา โปรดอย่าปล่อยเวลานี้ไปอย่างไร้ค่า”

สำหรับรายละเอียดต่างๆ จะมีการทบทวนสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 30 มิถุนายน แต่ทัสก์กล่าวว่า ก็เป็นแค่การแจ้งให้ผู้นำประเทศอียูรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น

ด้าน เทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เสนออย่างเป็นทางการว่า ให้เลื่อนเวลาออกไปจนถึง 30 มิถุนายน แต่ในที่ประชุม แองเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนีและผู้นำประเทศส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยืดเวลาออกไปนานกว่านั้น ขณะที่ เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเห็นว่าไม่ควรนานกว่า 1 ปี รวมทั้งเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรระบุเหตุผลที่ทำให้แผนการต้องล่าช้าออกไป

ในการแถลงข่าว เมย์กล่าวว่า ทางเลือกที่เรามีอยู่ตายตัวแล้ว และตารางเวลาก็ชัดเจน ส่วนคำถามต่อสถานะนายกรัฐมนตรีของเธอ ที่เมย์เคยบอกไว้ว่าจะไม่ยอมให้เลื่อนเบร็กซิตไปเกินกว่า 30 มิถุนายนนั้น เธอตอบเพียงแค่ว่า สหราชอาณาจักรจะต้องลงมติในข้อตกลงร่วมกันให้ได้ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม และจะไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งของอียูหากว่ารัฐสภายอมผ่านข้อเสนอเบร็กซิตของเธอ

เมย์ยังตำหนิส.ส.พรรคอนุรักษนิยมที่เธอเป็นหัวหน้าพรรคว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไป “ถ้าการลงมติในสภา 3 ครั้งที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโหวตรับข้อเสนอตั้งแต่เดือนมกราคม ตอนนี้เราก็ออกจากอียูแล้ว”

นั่นแสดงว่าจากนึ้ ส.ส. ของสหราชอาณาจักรต้องลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอเบร็กซิตให้ได้ภายใน 22 พฤษภาคมนึ้ เพราะไม่อย่างนั้นเมย์ก็ต้องเข้าร่วมการเลือกตั้งอียูที่จะมีขึ้นในวันที่ 23-26 พฤษภาคม

ผลจากข่าวนี้ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียตกลง โดยเฉพาะดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตกับเซินเจิ้น คอมโพเนนท์ในจีน ลดลงไปประมาณ 1% เมื่อเปิดตลาดในภาคบ่าย ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปรับลง 0.92% ส่วนดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นลดลงไปประมาณ 0.4%

 


ที่มา:

ที่มาภาพ: Aris Oikonomou / AFP

Tags: , , , , , ,