หากเราถามคนทั่วไปว่า ต้องรู้อะไรจึงจะใช้ภาษาได้ดี คำตอบส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นคำศัพท์และไวยากรณ์ เพราะหลายคนรู้สึกว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการสื่อสาร บางคนก็อาจตอบว่าต้องออกเสียงให้ได้ดี เพราะหากออกเสียงผิดเพี้ยนไปแล้วจะถูกดูแคลนเอาได้ ส่วนบางคนก็อาจบอกว่าต้องเข้าใจวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ด้วย

แต่อันที่จริงแล้ว อีกองค์ประกอบหนึ่งของภาษาที่สำคัญมากก็คือ คำหยาบ นั่นก็เพราะคำหยาบสื่อสารอารมณ์ได้อย่างมีพลังแบบที่ภาษาปกติทำไม่ได้ อีกทั้งยังปรากฏในภาษาพูดบ่อยมาก ดังนั้น หากเราต้องการสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ ถึงแม้เราจะเป็นคนที่เลือกไม่พูดคำหยาบ อย่างน้อยที่สุดก็ควรเข้าใจว่าคำหยาบต่างๆ มีความหมายอย่างไร

ปัญหาก็คือในโรงเรียนไม่ค่อยสอนคำหยาบ หากเราอยากใช้คำหยาบเป็น ก็ต้องศึกษาซึมซับจากแหล่งอื่นๆ แทน

หลังจากที่เคยเขียนเรื่องคำว่า hell ไปแล้ว สัปดาห์นี้ เราจะไปสำรวจว่า ass ใช้อย่างไรได้บ้าง

1. My ass!

สำนวนนี้ส่วนใหญ่แล้วใช้เมื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนอื่นพูดมา ถือว่าหยาบพอสมควร เทียบได้กับ กับผีน่ะสิ หรือ พ่อมึงสิ ในภาษาไทย เช่น สมมติเพื่อนเราแนะนำเพื่อนชายให้เราไปออกเดทด้วย โฆษณาไว้อย่างดีว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีนิสัยน่ารักต่างๆ นานา แต่ปรากฏเอาเข้าจริงแล้วเป็นคนซังกะบ๊วยมาก ก็อาจจะบอกว่า You said he’s a nice guy? Nice guy, my ass! ก็คือ เนี่ยหรอที่บอกว่านิสัยดี นิสัยดีกับผีสิ

2. Kiss my ass

สำนวนนี้ไม่ได้เป็นการเชื้อชวนให้ผู้ฟังทำปากจู๋เตรียมจุมพิตบั้นท้ายแต่อย่างใด เพราะส่วนใหญ่แล้วเจ้าของภาษาจะใช้สำนวนนี้เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการจะสนทนากับอีกฝ่ายแล้ว รู้สึกรังเกียจหรือรู้สึกว่าคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ พร้อมตัดสัมพันธ์กับคนคนนี้โดยไม่เสียดาย ออกแนวไล่ให้ไปตายซะ เช่น สมมติเราทะเลาะกับเพื่อนใหญ่โตจนรู้สึกว่าคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว เถียงกันยังไงก็ไม่จบจนเราหมดแรงจะพูด รู้สึกไม่แคร์แล้ว ก็อาจจะพูดว่า You know what? You can kiss my ass. ทำนองว่า ไปตายๆ ซะไป

ทั้งนี้ สำนวนนี้อาจจะใช้เวลาที่มีคนมาขอให้เราทำอะไร แต่เราไม่ยินดีจะทำให้เพราะรู้สึกว่าไม่แฟร์กับเราก็ได้ เช่น My boss asked me to work overtime without pay again, and something inside me snapped, so I told him to kiss my ass. หมายถึง เจ้านายขอให้ทำงานล่วงเวลาฟรีอีกแล้ว เลยฟิวส์ขาดแล้วบอกมันแม่งไปตายซะ

3. Kiss ass

ถึงแม้ว่า kiss my ass จะเป็นการขับไสไล่ส่งให้ไปตาย แต่ถ้าพูดว่า kiss ass จะหมายถึง ประจบสอพลอ เลียแข้งเลียขา เห็นภาพว่าพร้อมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งลงไปจูบบั้นท้ายก็ยอม ส่วนใหญ่แล้วทำไปเพื่อให้ได้ประโยชน์บางอย่างกับตนเอง เช่น หากเพื่อนของเราก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ก็เพราะเลียเจ้านายเก่ง ก็อาจจะพูดว่า You’ve come this far only because you kiss your boss’ ass. ส่วนคนพรรค์นี้เราเรียกว่า a kiss-ass หรือ an ass-kisser

อีกสำนวนที่โยงกันกับไอเดียนี้ก็คือคำว่า brown nose เป็นทั้งนาม หมายถึง คนประจบสอพลอหรือกริยา หมายถึง ประจบสอพลอก็ได้ ส่วนที่บอกว่าคนแนวนี้มีจมูกเป็นสีน้ำตาลนั้น ก็เพราะเมื่อยื่นหน้าเข้าไปกระทำ kiss ass นั้น จมูกอาจจะเลอะสิ่งที่ออกมาจากบริเวณนั้นนั่นเอง

4. Have a stick up your ass

สำนวนนี้ปกติไม่ได้ใช้ความหมายตรงตัวว่ามีไม้เสียบก้นอยู่จริงๆ แต่เป็นสำนวนหมายถึง เคร่งเครียด เจ้าระเบียบ ไม่ผ่อนปรน (ถ้าใครมีไม้อยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็คงผ่อนคลายหรือทำตัวสบายๆ ลำบาก อาจมีอาการเกร็งตลอดเวลา) ตัวอย่างเช่น ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังสังสรรค์รื่นเริง พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วเราดันเป็นคนที่เดินทั่วงานคอยดูว่าไม่มีใครทำข้าวของเสียหายหรือทำเครื่องดื่มหก แบบนี้ก็อาจมีคนเม้าธ์เราลับหลังว่า That guy has a stick up his ass.

ในทางกลับกัน ถ้าเราอยากให้ใครทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเคร่งเครียดตลอดเวลา ก็อาจใช้สำนวนว่า pull the stick out of your ass ได้ ทำนองว่า จะเครียดไปไหนจ๊ะเธอ ทำตัวสบายๆ ก็ได้ โลกไม่แตกหรอก

ทั้งนี้ คนที่มีลักษณะเคร่งเครียดตลอดเวลา ไม่รู้จักผ่อนปรนแบบนี้ เราเรียกว่า a tight ass ก็ได้ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนมีก้นแน่น

5. Have your head up your ass

ด้วยข้อจำกัดทางสรีระของมนุษย์ทั่วไปแล้ว คิดว่าคงไม่มีใครตีความสำนวนนี้ตรงตัว สำนวนนี้มีความหมายว่า ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไปอยู่ในกะลาใบไหนมาก็ไม่รู้ โง่

ตัวอย่างเช่น เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่เดินทางไปทำงานด้วยรถสาธารณะ ส่วนเพื่อนเป็นคนรวยล้นฟ้าจนไม่เข้าใจชีวิตคนเดินดิน ไปไหนมาไหนมีสารถีขับรถไปส่ง พอเราบ่นกับเพื่อนว่าเราไปทำงานสายบ่อยๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วเพื่อนบอกว่า เธอก็บอกให้สารถีเธอออกจากบ้านเร็วขึ้นสิ แบบนี้เราก็อาจจะบอกว่า You have your head so far up your ass, girl. แปลว่า แม่คุณ ไม่ได้รู้เรื่องความเป็นไปของชาวโลกเขาเลยใช่ไหม

ในทางกลับกัน ถ้าเราต้องการบอกให้อีกฝ่ายรู้จักลืมตาขึ้นมาดูชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง ก็จะพูดว่า get your head out of your ass หรือ pull your head out of your ass ทำนองว่า โงหัวออกมาจากโลกส่วนตัวของเธอมาดูชาวบ้านเขามั่ง

6. A pain in the ass

สำนวนนี้ปกติแล้วไม่ได้ใช้พูดถึงความเจ็บปวดที่บั้นท้ายอันเกิดจากกิจกรรมใดก็ตาม แต่ใช้พูดถึงสิ่งที่น่ารำคาญ สร้างความยุ่งยากให้กับเรา ใช้บรรยายได้ตั้งแต่มนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ไปจนถึงลมฟ้าอากาศ เช่น I love Bangkok, but the traffic here is a pain in the ass. ก็จะหมายถึง รักกรุงเทพฯ นะ แต่รถแม่งติดเชี่ยๆ เลย

นอกจากจะใช้เป็นนามแล้ว ยังเอาไปทำเป็นคุณศัพท์ pain-in-the-ass เพื่อขยายคำนามอื่นได้ด้วย เช่น I hate holidays because it means I have to see my pain-in-the-ass in-laws. ก็จะแปลว่า เกลียดวันหยุดก็เพราะต้องไปเจอญาติฝั่งผัว/เมียน่ารำคาญนี่แหละ

ทั้งนี้ หากอยากพูดให้เบาลง ก็อาจพูดเป็น a pain in the butt ก็ได้ หรือถ้ามีเด็กอยู่ต่อหน้า ก็อาจปรับเลเวลให้เบาลงไปอีกด้วยการพูดว่า a pain in the neck แทน

7. Stick it up your ass

สำนวนนี้ไม่ได้เป็นคำสั่งให้นำวัตถุอะไรใส่เข้าไปในรูทวาร แต่เป็นการสบถแสดงความโกรธหรือหมดความอดทน คล้ายๆ f*ck you นั่นเอง เช่น Stick it up your ass, man. Don’t tell me what to do with my life. ก็จะหมายถึง ไอ้เชี่ย ไม่ต้องมาบอกกูว่ากูต้องทำอะไร

ทั้งนี้ สำนวนนี้มีเวอร์ชั่นสั้นกระชับเพื่อความสะดวกปากด้วย นั่นก็คือ Up your ass. และ Up yours.

8. Crazy-ass, weird-ass

ในภาษาอังกฤษ บางครั้งเราจะเห็นคนเอาคำว่า ass มาเติมหลังคำคุณศัพท์เพื่อใส่ความรู้สึกและเพิ่มดีกรีความรุนแรงของสิ่งที่เราบรรยายอยู่ เช่น หากเพื่อนบ้านเราเป็นคนแปลกๆ ตามปกติเราก็อาจจะพูดว่า My neighbor is weird. หรือ My neighbor is a weirdo. แต่หากเราอยากสื่อให้ถึงพริกถึงขิง ให้เพื่อนเรารู้ว่าเพื่อนบ้านเรามันแปลกจริงๆ นะ ก็อาจจะบอกว่า I have a weird-ass neighbor. นั่นเอง หรือหากเรากำลังจะติดเอฟวิชาหนึ่งแล้วเพื่อนเสนอว่าให้เราแฮ็คคอมอาจารย์เพื่อขโมยข้อสอบ เราก็อาจจะบอกเพื่อนว่า Dude, that’s a crazy-ass idea.

9. Get off your ass

ปกติแล้วอวัยวะส่วนที่เราใช้นั่งก็คือก้น (เหมือนที่คนไทยพูดว่า นั่งจนตูดแฉะ) สำนวนนี้ถ้าแปลตรงๆ จึงหมายถึง ให้ลุกขึ้นมาได้แล้ว แต่ในที่นี้ไม่ได้ให้ลุกแค่เพราะว่านั่งอยู่ แต่หมายถึงให้หยุดขี้เกียจและลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างได้เช่น ตัวอย่างเช่น หากมีเพื่อนเรานั่งอู้งานอยู่ระหว่างทำงานกลุ่ม เราก็อาจบอกว่า Get off your ass and get to work! หมายถึง เลิกขี้เกียจแล้วมาช่วยกันทำงานได้แล้ว

ส่วนคนที่นั่งอู้วันๆ ไม่ทำอะไร เราก็อาจบรรยายด้วยสำนวน sit on your ass ทำนองว่าเอาแต่นั่งจ่อมอยู่ ไม่ทำงานทำการนั่นเอง เช่น He does nothing but sits on his ass all day. หมายถึง วันๆ ไม่ทำงานทำการ

10. Work your ass off

สำนวนนี้ตรงข้ามกับ sit on your ass หมายถึง ทำงานหัวหกก้นขวิด หรือพยายามสิ่งสิ่งหนึ่งอย่างหนัก เช่น If you get ripped, you’ll have to hit the gym and work your ass off. ก็จะหมายถึงว่า ถ้าอยากหุ่นเป๊ะไร้ไข้มัน ก็ต้องเข้ายิมโหมออกกำลังกาย ถ้าอยากพูดให้หยาบน้อยลงมาหน่อย ก็อาจพูดว่า work your tail off แทน

 

บรรณานุกรม

  • American Heritage Dictionary of the English Language
  • Cambridge Advanced Learners’ Dictionary
  • Elizabeth, Mary. Barron’s American Slang Dictionary and Thesaurus. Barron’s Education Series: New York, 2009.
  • Gulland, Daphne M., and Hinds-Howell, David. The Penguin Dictionary of English Idiom. Penguin Books: London, 2002.
  • Johnson, Sterling. English as a Second F*cking Language. St. Martin’s Griffin: New York, 1995.
  • Longman Dictionary of Contemporary English
  • Oxford Advanced Learners’ Dictionary
  • Shorter Oxford English Dictionary
Tags: , ,