เนื้อร้าย วิถีรัก มายา และตอนจบ 

คือ 4 ผลงานแรกของ มะเหมี่ยว-สุทธิภัทร สุทธิวาณิช หรือมามิโอะ (MAMIO) ศิลปินเดี่ยวหน้าใหม่ที่เพิ่งปล่อยเพลงออกมาในปีนี้ และอาจเพราะด้วยเสื้อผ้าหน้าผม กระทั่งแนวเพลงที่แตกต่างออกไปจากสุทธิภัทร นักร้องนำจากวง Zweed n’ Roll จึงทำให้หลายคนอาจยังไม่รู้เลยว่าเป็นคนเดียวกัน

“หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าเรากำลังปั้นสิ่งนี้ (มามิโอะ) อยู่ และหลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนเดียวกันด้วย เพราะว่าบุคลิกไม่เหมือนกัน บางคนเขาอาจจะติดภาพเราในเพลงช่วงเวลา แล้วเราในเพลงนั้นมันเป็นเวอร์ชันอ้วน ยังมีน้ำมีนวล แต่วันนี้เราผอมลงไปเยอะ บางคนก็จำไม่ได้ แล้วพอเราเปลี่ยนลุกไปอีก เปลี่ยนชื่ออีก ก็ยิ่งจำไม่ได้หนักเลย” สุทธิภัทรเริ่มเล่าด้วยเสียงหัวเราะ

สำหรับสุทธิภัทร ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการยุติสิ่งหนึ่ง แล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่ เราจึงนั่งคุยกันถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงใน 1 ปีที่ผ่านมา ที่มีแต่ความสนุกและเสียงหัวเราะของสุทธิภัทร ตั้งแต่เรื่องตัวตน การปรับเปลี่ยนสไตล์ เพลงใหม่ สุขภาพ ความรัก ไปจนถึงเรื่องหวย ในคอลัมน์ Another Year Another Milestone 

เมกอัพ คอร์เซ็ต และเล็บปลอม

สำหรับคนที่เป็นแฟนเพลงของ Zweed n’ Roll คงได้รับแรงสั่นสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงในปี 2567 นี้ เพราะสุทธิภัทรได้ยุติการทำวงดนตรีดังกล่าว แล้วผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวในนามมามิโอะแทน

“จริงๆ มันไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเพราะวงหมดสัญญากับค่ายปีนี้ เราก็เลยตัดสินใจลองทำคนเดียวดู” สุทธิภัทรกล่าว

สำหรับมามิโอะเธออธิบายว่า ตัวตนนี้เขาเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่ไม่อยู่ในกรอบ มีความกล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ที่สำคัญคือไม่ยืนอยู่ที่เดิม ซึ่งการก้าวเดินออกมาทำงานคนเดียวก็นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และสิ่งที่คนมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยังรวมไปถึงเรื่องชื่อ เพราะในช่วงกลางปีนี้เธอได้ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วว่า เธอจะไม่ใช้ชื่อพัดอีกต่อไป เพราะชื่อเล่นแท้จริงคือมะเหมี่ยว และกำลังเป็นศิลปินเดี่ยวในชื่อมามิโอะ ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ทั้งเสื้อผ้า การแต่งหน้า หรือการติดเล็บปลอม และเมื่อถามถึงเรื่องเล็บสุทธิภัทรก็หัวเราะออกมาทันที เพราะเล็บปลอมยาวๆ นี้ ไม่ได้สื่อแค่ความเป็นเฟมินีน แต่สะท้อนถึงแนวทางที่เปลี่ยนไปในฐานะศิลปินอีกด้วย 

เพราะสุทธิภัทรคนเก่าที่เกากีตาร์บนเวทีทุกวันคงมีเล็บยาวไม่ได้แน่ๆ

การเป็นมะเหมี่ยวในเวอร์ชันที่ไม่ต้องเล่นกีตาร์ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เธอบอกว่ามันสนุก ทั้งในแง่ของการเขียนเนื้อเพลงในแบบที่ไม่เคยเขียนมาก่อน ได้เล่าเรื่องราวที่แตกต่างจากเดิมลงในเพลงใหม่ และสนุกที่ได้ลองเปลี่ยนลุคตามคอนเซปต์ของแต่ละเพลง รวมถึงการแต่งหน้า 

“เราว่าการที่ได้ทำมามิโอะ สนุก สนุกมาก เพราะแต่ละเพลงมีคอนเซปต์ แล้วเราต้องปรับภาพลักษณ์ตัวเองให้มันส่งเสริมกันกับเพลง มันค่อนข้างที่จะมีพลัง แต่อย่างเมื่อก่อนเราไม่แน่ใจว่าการแต่งตัวของเราจะเรียกว่า ‘แมนๆ’ ‘บอยๆ’ ไหม เราเรียกว่า ‘บ้านๆ’ แล้วกัน ตอนนี้ก็ดูดีขึ้น” สุทธิภัทรกล่าว

ถึงสุทธิภัทรจะนิยามการแต่งตัวก่อนหน้านี้ว่าแบบบ้านๆ แต่เชื่อว่าในอดีต สไตล์ของเธอได้เป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าแฟนเพลงหยิบเอามาสวมใส่ไปดูคอนเสิร์ตแน่นอน ซึ่งในปีนี้เราสัมผัสได้ว่าสุทธิภัทรสนุกกับแต่งตัว และแต่งหน้ามากยิ่งขึ้น และคงเป็นต้นแบบให้คนที่รักเธอเช่นเดิม

“เรารู้สึกว่าเริ่มแต่งตัวประมาณปลายปีที่แล้วหรือช่วงต้นปีนี้เอง มันน่าจะมาจากการที่เราผอมลง พอผอมลงแล้วแต่งตัวสนุกขึ้น เหมือนเรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะลองใส่เสื้อผ้าที่ไม่เคยลอง แล้วพอเราผ่าตัดกระดูกสันหลังมา ตัวมันหายเบี้ยวแล้วยืดขึ้น ก็มีคนชวนไปถ่ายแบบ ได้ใส่ชุดนั้นชุดนี้ เราก็สนุกดีที่ได้มีการแต่งแต้มอะไรบนตัวเอง” สุทธิภัทรเล่า

สุทธิภัทรไม่ได้เปลี่ยนแค่ภาพลักษณ์ในสื่อ หรือแค่ในการทำงาน แต่ร่างกายกับตัวตนภายในของสุทธิภัทรก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะหลังจากการผ่าตัดกระดูกสันหลังเมื่อ 2566 ทำให้เธอต้องใส่เสื้อเกราะดามหลัง เธอเล่าว่ามันหน้าตาเหมือนกับคอร์เซ็ตที่ใส่มาวันนี้ พร้อมหัวเราะกับเราว่ามันอาจเป็นดวงหรือโชคชะตาที่ทำให้ต้องมาใส่คอร์เซ็ต เพราะคอนเซปต์ของเพลงเหมือนกับการผ่าตัดหลังในปีที่แล้ว ที่ได้ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

วิถีรักบนกระดูกสันหลัง 0 องศา

ปีนี้เป็นปีแรกที่สุทธิภัทรรู้สึกถึงความแข็งแรงของร่างกาย เป็นปีแรกที่เธอได้ใช้ชีวิตกับกระดูกสันหลังที่ตั้งตรง เพราะก่อนหน้านี้เธอมีภาวะกระดูกสันหลังคด โดยเธออธิบายว่า ภาวะกระดูกสันหลังคดของเธอเป็นแบบที่ไม่มีสาเหตุ

“กระดูกสันหลังเราคดเป็นรูปตัวเอส (S) แผ่นหลังเลยดูบาลานซ์กัน มันเลยมองไม่ค่อยออกว่าคด ยิ่งอ้วนจะยิ่งดูไม่ออกเลย แต่พอเราผอมมันจเห็นชัด”

เธอเล่าต่อไปว่าอันที่จริง เคยอยากผ่าตัดตั้งแต่อายุ 14-15 ปี แต่ในช่วงเวลานั้นการผ่าตัดสันหลังยังมีความเสี่ยงสูง เธอจึงได้ผ่าเข้าจริงเมื่ออายุ 31 ปี

“2 ปีก่อนเราลองเสิร์ชดูว่า เทคโนโลยีผ่าตัดปัจจุบันเป็นอย่างไร จนได้เห็นว่ามีความเสี่ยงต่ำมากแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเอง เลยตัดสินใจผ่าตัด เพราะหนึ่งคือเราอยากมีบุคลิกที่ดีขึ้น สองคือเรารู้สึกว่าพอแก่ไป เราไม่อยากตัวเบี้ยวเอียง ไม่มีคนดูแลด้วย ไม่มีลูกอะไรอย่างนี้ เลยผ่าดีกว่า จะได้ไม่ลำบากคนอื่น” สุทธิภัทรเล่า

ใน 2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัดจนถึง 2 เดือน เธอเล่าว่า ต้องดูแลตัวเองอย่างมาก ไม่สามารถขยับตัวได้คล่องนัก จนกระทั่งผ่าตัดครบ 6 เดือนจึงจะสามารถก้มตัวได้ ช่วงที่พักฟื้นนานถึง 6 เดือน เป็นช่วงที่ได้อยู่กับตัวเองและคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา

“เรานั่งแบบไม่รู้จะทำอะไร มันว่างมาก ก็นั่งทบทวนหลายๆ อย่าง เช่น ทำไมคนถึงบอกว่าเราร้องเพลงแล้วดูเศร้า เราก็คิดตาม คิดไขคำตอบไปเรื่อยๆ เลย อ๋อ แสดงว่าเมื่อก่อนเราคงมีความกลัวบางอย่าง มีปมในใจ กลัวคนไม่ชอบ ก็เลยเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก เราว่ามันเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะที่จะคิดขึ้นมาได้ถ้าไม่ได้พัก ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตทำงาน ร้องเพลง โดยที่ไม่ได้ศึกษาตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเราคืออะไร เรามาจากไหน” สุทธิภัทรเล่าถึงการทบทวนตัวเองช่วงพักฟื้น

การผ่าตัดกระดูกสันหลังอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เธอยังบอกว่าหลังจากผ่าตัดปีที่แล้ว จนถึงทั้งปีนี้ก็ยังคงทบทวนตัวเองอยู่ทุกวัน และหวังว่าคนอื่นๆ จะลองพักหรือหาเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง

อย่างไรก็ตามปีนี้เป็นปีแรกที่สุทธิภัทรได้ใช้ชีวิตเต็มที่หลังผ่าตัด เมื่อเราถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง เธอตอบกลับด้วยความตื่นเต้นถึงเรื่องการออกไปสังสรรค์ในรอบปี

“ปีนี้ได้ใช้ชีวิตอิสระ ได้กินเหล้าเสียที (หัวเราะ) เอาจริงๆ สะใจมาก เหมือนช่วงพักฟื้นที่เราทำอะไรไม่ได้ เรารู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้ามากๆ แต่พอเริ่มใช้ชีวิตได้ เริ่มรับงานได้มันก็จะค่อยๆ เร็วขึ้น จนผ่านไปเกือบครบ 1 ปี เริ่มเรารู้สึกว่าคล่องตัว ก็เลยเริ่มออกไปสังสรรค์ได้แล้ว” เธอเล่าด้วยความสนุก

เมื่อศิลปินผู้รักสนุกเอ่ยถึงเรื่องเหล้าและการสังสรรค์ สิ่งที่เราไม่ถามไม่ได้คือ เพลงโปรด หรืออัลบั้มโปรดที่คอยช่วยสร้างบรรยากาศ ซึ่งสุทธิภัทรตอบว่าเป็นอัลบั้ม Brat ของ ชาร์ลี เอ็กซ์ซีเอ็กซ์ (Charli XCX) 

“สำหรับเราปีนี้ เราให้ Brat (หัวเราะ) มันซิ่งๆ เราฟังเขาแล้วเรานึกถึงตอนเรามัธยม มันมีซาวนด์แบบโนเกีย (Nokia) บางอย่าง บอกไม่ถูก นึกถึงสมัยแอบไปเที่ยวเข้าผับ มันมีซาวนด์นั้นอยู่ สนุกๆ แต่บีตเขาจะเป็นอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แบบยุคนั้นล้วนๆ นะ เขาจะมีความแบบเทคโนกว่านั้น สนุก เขาดูกวนดี”

เมื่อปีนี้ไม่มีเรื่องเศร้า

นอกจากผลงานเพลงแล้ว ในปีนี้ยังได้เห็นมะเหมี่ยวในผลงานการแสดงเรื่อง ‘Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา’ เป็นอีกหนึ่งภารกิจใหม่ๆ ของเธอ ที่ถ่ายทำหลังจากผ่าตัดหลังได้เพียง 2 เดือน

“เรามีเพื่อนคนหนึ่งเขาเป็นผู้กำกับ เคยกำกับเอ็มวีเพลงให้เรา แล้วเขาเป็นคนแคสติงเรื่องนั้น เลยชวนเราไปแคสดู เขาบอกว่าเป็นบทง่ายๆ เราเลยลองเพราะไม่รู้ว่าโอกาสนี้มันจะมาอีกเมื่อไร ตอนถ่ายทำ เป็นตอนที่เราพักฟื้นแค่ 2 เดือน แล้วมันโหดมากตรงที่เรายังก้มไม่ได้เลย คราวนั้นแม่ยังต้องไปช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ที่กอง แต่ถ้ามีงานแสดงมาอีกตอนนี้เราก็อยากทำอีก เพราะคราวนี้ร่างกายพร้อมมากขึ้นแล้ว” สุทธิภัทรกล่าว

นอกจากสปิริตที่ต้องถ่ายทำในช่วงที่ร่างกายยังไม่พร้อม 100% แพสชันที่สุทธิภัทรมีต่อการแสดงยังปรากฏในเอ็มวีเพลงวิถีรักและเพลงเนื้อร้าย

“ในเพลงวิถีรักกับเพลงเนื้อร้าย มันเป็นไลน์ซิงก์ (Line Sync) คือร้องเพลงไปด้วยแล้วแสดงอารมณ์ออกไป เราว่านี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่ทำอะไรแบบนี้ เพราะว่าปกติที่เคยถ่ายเอ็มวีมันจะเป็นแบบถ่ายเหงาๆ เหมือนถ่ายคนเดียว แล้วก็ต้องเศร้าๆ ส่วนอันนี้ก็เป็นเรื่องใหม่ เราชอบนะ เหมือนเราเต็มที่กับมัน แล้วเรารู้สึกทึ่งกับตัวเองเหมือนกัน” เธอเล่าอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง

เมื่อถามถึงกระแสตอบรับสำหรับ 4 เพลง ที่ปล่อยออกไปในนามมามิโอะ เธอบอกว่าสำหรับตัวเธอเองรู้สึกภาคภูมิใจมาก และได้รับคำชมมากมาย แม้ว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว

“เรารู้สึกว่าเราภูมิใจกับมัน ทั้ง 4 เพลงในปีนี้ รู้สึกว่ามันเป็นไปตามแพลน ส่วนฟีดแบ็กเราเห็นก็ดีนะ ได้รับคำชมเยอะ แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราทำอันนี้อยู่ เพราะว่ามันยังมีอันเก่าอยู่ มันเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเลยแหละ แต่ว่ามันแค่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มันยังไม่ก้าวออกไปสุดเท่าไร เพราะมันยังมีอะไรที่เราต้องทำกับที่วงอยู่ มันก็เลยยังครึ่งๆ กลางๆ อยู่” เธอบอก

หากพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง เรามักจะนึกถึงผีเสื้อที่ต้องผ่านวัฏจักรของการเป็นหนอน ดักแด้ แล้วจึงสยายปีกลายเป็นผีเสื้อตัวเต็มวัย เมื่อถามว่าตัวสุทธิภัทรตอนนี้อยู่ในสถานะไหน 

“มันมีสเตต (State) ที่กางปีกนิดหนึ่งเปล่า” (หัวเราะ)

จนถึงตอนนี้ที่เรานั่งคุยกัน สุทธิภัทรยังคงมอบให้แต่พลังงานบวก และเสียงหัวเราะ กับเรื่องราวสนุกสนานตลอดปี จนอดถามไม่ได้ว่าในปีนี้มีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นบ้างไหม

“เศร้าเหรอ ขอนึกก่อนนะ (เงียบคิด) เหมือนจะไม่มีเลย ล่าสุดเราเลิกเล่นหวยไปแล้ว แล้วเราก็ดันไปซื้อเพราะเป็นวันเกิด 1 ธันวาคม แล้วรถตู้ที่เรานั่งมันโดนชน เลขทะเบียนเดียวกัน เราเลยซื้อเลข 01 แต่ก็ไม่ถูก ถูกกิน” 

เธอเล่าต่อว่าเริ่มซื้อลอตเตอรี่เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ตอนที่เริ่มทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด และซื้อในจำนวนมาก จึงมีหวังที่จะถูกลอตเตอรี่ในทุกงวด แต่ไม่เคยถูกรางวัลเลยจึงเลิกซื้อไป 

ทว่าอีกมุมหนึ่งเหตุที่เธอไม่เคยถูกลอตเตอรี่ อาจเป็นเพราะเธอได้ใช้โชคทั้งหมดไปกับเรื่องความรักแล้วก็ได้ เพราะคนรักที่อยู่เคียงข้างเธอในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน และเป็นแรงบันดาลใจให้มาโดยตลอด

“เขาก็คอยซัพพอร์ตอยู่ข้างๆ เราตลอด เวลาเราอยากทำอะไรหรือเวลาเรามีปัญหาอะไร เราก็คุยกับเขาตลอด เขาก็ควรให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ ก่อนหน้านี้เราผ่านช่วงที่เลวร้ายอย่างโควิด-19 มาก่อนก็เพราะเขาด้วย ลองชวนกันไปทำนู่นทำนี่ ยิ่งปีนี้ก็ยิ่งเป็นกำลังใจสำคัญที่เราต้องเริ่มทำอะไรแบบนี้ เราว่าอยู่กับเขาแล้วเราสบายใจที่จะทำอะไร แล้วก็เป็นคนที่ดีขึ้น” เธอตอบ

สุดท้ายแล้วสุทธิภัทรมีบางประโยคที่อยากพูดกับตัวเองในปีนี้ เพื่อชื่นชมและปลอบโยนตัวเอง

“เก่งมาก เก่งมาก เก่งมากที่ตัดสินใจทำอะไรเอง คิดถูกแล้วว่าที่มาทางนี้ แล้วก็อยากให้ตัวเองมั่นใจไปเรื่อยๆ อย่าให้เสียงของคนอื่นอยู่ในหัวเราอีก เพราะว่าเมื่อก่อนเรามีเสียงคนอื่นในหัวเยอะ เราว่าปีนี้เป็นที่เรารู้สึกว่าเราเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง แล้วเราว่าสัญชาตญาณตัวเองกับร่างกายเรามันไม่โกหก” 

Tags: , , , , , , ,