ถ้าบอกว่าปี 2567 คือรสชาติชีวิตที่เปลี่ยนไปของ อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ หรือ มายด์ 4EVE ก็คงไม่ผิด
เพราะการปรับเปลี่ยนชีวิตในรูปแบบหน้าที่การงานที่มารับงานแสดงมากขึ้น ทำให้ขวบปีนี้ของเธอแตกต่างไปจากการเป็นศิลปินในช่วงเวลาก่อนหน้า อีกทั้งการที่อายุกำลังพ้นเลยวัยเบญจเพสนั้นเริ่มทำให้เธอต้องคิดถึงอนาคตในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งการงาน การเงิน รวมถึงสุขภาพที่ทำให้เธอถึงกับตั้งมั่นว่า จะกินชาไทยให้น้อยลง
นอกจากรสชาติของชาไทยที่จะลดลงไปแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างของอาทิตยาก็กำลังเริ่มลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน รวมถึงมีหลายอย่างที่กำลังจะเป็นการเดินทางครั้งใหม่ ให้เธอเริ่มต้นชีวิตในปีต่อๆ ไป ที่แตกต่าง มีสติ และโตยิ่งกว่าเดิม
ขวบปีแห่งการสู้ๆ
“ถ้าให้สรุปปี 2567 เหลือเพียงคำเดียว เราขอเลือกคำว่า สู้”
อาทิตยาเลือกประโยคดังกล่าวมาอธิบายถึงภาพรวมใน 1 ปีที่ผ่านมาของเธอ หลังต้องเผชิญกับเรื่องราวใหม่ๆ จนต้องหาวิธีรับมือจัดการบริหารตัวเอง ให้สามารถเอาตัวรอดและผ่านพ้นปีไปได้โดยที่ยังรู้สึกว่าเป็นอีกปีที่ดีของเธออยู่
“เราว่าปีนี้เราทำงานเยอะ ทำงานหลากหลาย ดังนั้นมันต้องปรับตัวเยอะมาก ต้องสู้กับการนอน สู้กับการพักผ่อน สู้กับการเดินทาง สู้กับการแต่งงาน สู้กับการวิ่งงานภายใน 1 วัน อีกทั้งนอกจากจะต้องจัดการตรวจเองแล้ว ก็ต้องรับมือกับคนรอบข้างทำให้ทุกอย่างออกมาราบรื่นมากที่สุด”
ที่เป็นเช่นนี้เพราะในส่วนของ 4EVE ต้นสังกัดของเธอ มี ‘งานใหญ่’ มากมายเกิดขึ้นในปี 2567 ทั้ง 4EVE Concert “NOW OR NEVER” คอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเธอ รวมถึงอัลบั้ม 4EVE Album NOW AND EVER Part I ที่มีเพลงอย่าง หยดน้ำตา (Tears), พูดไปก็ไลฟ์บอย (Life Boy) และไปล้อเล่นไกลๆ (Not kidding) อีกทั้งยังปล่อยซิงเกิลอย่างต่อเนื่อง ให้แฟนคลับในฟังตลอดทั้งปี จึงไม่แปลกที่พวกเธอจะมีตารางงานที่แน่นแทบทุกเดือน
“เรื่องการต่อสู้กับไฟลต์เครื่องบินเวลาไปโชว์ตามจังหวัดต่างๆ สำหรับเราคือเรื่องตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะถ้าเกือบจะไม่ทัน ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่น ก็มักจะเจอไฟลต์ดีเลย์ รอยาวๆ ไป” อาทิตยาเล่า
นอกจากนี้ในผลงานส่วนตัวของอาทิตยา ปี 2567 ผู้คนยังได้รู้จักและจดจำเธอในฐานะนักแสดง ที่มีผลงานออกมาให้เห็นตลอดปี ทั้ง Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา, อนงค์ และคุณชายน์ (The Cliche) จนดูเหมือนว่าสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งแพสชันที่เธอกำลังมุ่งมั่นในช่วงที่ผ่านมา
“เราพูดมาหลายรายการแล้ว ว่าตัวเองอยากเป็นศิลปินที่รับงานแสดงได้ด้วย พูดมาตั้งแต่ช่วงเข้าวงการแรกๆ เลย มันเป็นเป้าที่เราวาดฝันไว้ แล้วค่อยๆ พยายามทำมัน ส่วนในปีนี้ที่มันมีงานแสดงให้เห็นเยอะกว่าปกติ เป็นเพราะเราเริ่มจัดสรรเวลาได้ดีมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเวลาคนถามว่า รับงานแสดงไหม เราจะตอบตลอดว่า อยากรับ… แต่ไม่มีคิวให้ เป็นแบบนี้มาตลอด”
เมื่อถามว่าในส่วนของงานแสดง เธอประเมินผลงานตัวเองเอาไว้กี่คะแนน อาทิตยาตัดเกรดของตัวเองเอาไว้ที่ 7 เต็ม 10 คะแนนเท่านั้น
“เราอยากเหลืออีก 3 คะแนน เอาไว้สำหรับการเรียนรู้ รวมถึงการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความละเอียดในการเล่น เราว่าสิ่งนี้มันไม่สามารถจะตะบี้ตะบันแล้วรีบสร้างมันขึ้นมาได้ ถ้าทำแบบนั้นก็จะรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ เราเลยพยายามเป็นนักแสดงที่จะรู้สึกกับการแสดงมากกว่า คือปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกในระหว่างการถ่ายทำ ที่ต้องคอยรับพลังจากนักแสดงคนอื่น หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”
สุดท้ายชอบสิ่งไหนในการแสดงที่สุด เธอเล่าว่า ชอบช่วงเวลาที่ผู้กำกับสั่งปิดกล้องมากที่สุด เพราะเป็นความรู้สึกที่ได้ทำอะไรบางอย่างเสร็จสิ้นเสียที เหมือนกับการทำทีสิส (Thesis) เรียนจบ รวมถึงเธอยังชอบเวลาที่ผู้ชมได้ดูผลงานของเธอเป็นครั้งแรก ที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่แทบทุกครั้ง
เรื่องราว Off Record
“มีอะไรที่ไม่ใช่เรื่องงานแล้วรู้สึกเป็นความสำเร็จในปีนี้บ้างไหม”
แม้เป็นคำถามง่ายๆ แต่คราวนี้ อาทิตยากลับใช้เวลาอยู่สักพักในการครุ่นคิด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตลอดปีที่ผ่าน เวลาส่วนใหญ่ของเธอทุ่มไปกับการทำงานในด้านต่างๆ จึงทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้สำรวจชีวิตหลังกล้องของตัวเองเท่าไรนัก
“อ๋อ นึกออกแล้ว เรื่องเก็บเงิน” เธอโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด “เราเพิ่งมานึกได้ช่วงปลายปีนี้เองว่า เราทำงานจนไม่มีเวลาไปใช้เงินเลย เพราะปกติแล้วเวลาเราใช้เงิน คือเราเป็นคนกล้าใช้เงิน ยอมจ่ายเพื่อให้ตัวเองมีความสุข
“จริงๆ นอกจากเรื่องไม่มีเวลา เราว่าตัวเองเริ่มมองเรื่องอนาคต เลยคิดเรื่องการใช้จ่ายเงินมากขึ้น วันนี้เราเริ่มคิดแล้วว่า ตัวเองจะเป็นศิลปินได้อีกนานแค่ไหน จะสามารถหาเงินแบบนี้ได้อีกต่อไปกี่ปี เราเลยต้องมองหาช่องทางสร้างเงินอื่นๆ ต้องเริ่มคิดเรื่องการลงทุน หรือทำธุรกิจอะไรสักอย่างบ้าง เพราะการเป็นไอดอลก็มีอายุขัยของมัน ซึ่งตอนนี้ที่เราอายุ 25 ปีก็เยอะพอตัวแล้ว เราเป็นซีเนียร์ เป็นรุ่นพี่ในวงการนี้แล้ว
“ดังนั้นงานแสดงก็เป็นสิ่งที่เราเริ่มวางแผนให้กับชีวิตตัวเองเหมือนกัน เพราะงานด้านนี้มีอายุขัยยาวกว่า สามารถทำต่อไปได้ แม้จะอายุมากขึ้น”
นอกจากสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว มีอะไรที่ยังทำไม่สำเร็จบ้างไหม?
“เรื่องสุขภาพ ทั้งการนอนและการกิน” อาทิตยาเปิดใจอย่างตรงไปตรงมา “ด้วยหน้าที่การงานมันเลยทำให้การพักผ่อนน้อยและไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างคือเราเป็นคนติดชาไทยด้วย กินทุกวันเลยนะ เมื่อก่อนรู้สึกว่ากินได้ แก้วเดียวเอง ไม่เป็นอะไรหรอก แต่วันนี้มันไม่ได้แล้ว ร่างกายเราไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน
“ถ้าเป็นไปได้ หลังจากนี้ก็คงไปตรวจสุขภาพ และขอคำแนะนำจากหมอว่า จะทำอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น พัฒนาต่อไปได้”
“ถ้าคุณหมอสั่งให้ลดการกินชาไทย คุณจะกำหนดปริมาณเหลือเอาไว้เท่าไร” สำหรับคำถามนี้ อาทิตยาไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา เธอเกริ่นมาเพียงแค่ว่า “ยังทำใจไม่ได้ แค่คิดกันเศร้าแล้ว”
ชีวิตหลังเบญจเพสที่จะขอมีสติเช่นเดิม
อายุ 25 ปี ถือเป็นตัวเลขที่หลายคนบอกว่าจะเกิดสิ่งใหญ่กับชีวิต กล่าวคือถ้าไม่ไปในทางที่ดี ก็จะประสบเรื่องราวที่จะเป็นบทเรียนสำคัญของช่วงชีวิตที่เหลือ หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ‘เบญจเพส’
สำหรับอาทิตยาเธอเล่าว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็น ‘คนไทยหัวใจมูเตลู’ เธอก็ฟังหูไว้หู โดยสิ่งสำคัญที่ยึดถือเป็นหลักในการใช้ชีวืตคือ การมีสติอยู่ตลอด
“เราก็เป็นคนไทย เห็นเขาพูดกันก็เชื่อไว้ก่อน เพราะมันไม่มีใครมาบอกว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง กระทรวงเวทมนตร์ก็ไม่มี เลยต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติกันต่อไป แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับกันเป็นตัวเราเองต่างหาก ที่ได้ทำอะไรรอบคอบมากกว่าปีก่อนหน้า”
นอกจากการใช้ชีวิตอย่างมีสติแล้ว ในปีนี้อาทิตยาเล่าว่า สิ่งที่ตัวเองเปลี่ยนไปชัดเจน คือการจัดสรรทั้งเวลาและความรู้สึก โดยในส่วนของเวลาเธอเล่าว่า ถูกนำไปปรับใช้กับการทำงานจนสามารถรับงานแสดงได้ แต่ส่วนที่สำคัญคือการจัดความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องเริ่มฝึกทำ เพื่อให้การใช้ชีวิตในก้าวต่อๆ ไปง่ายยิ่งขึ้น
“คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราทั้งในแง่ร่างกายและสภาพจิตใจ เราต้องจัดการให้ไว้ที่สุด ให้พร้อมที่สุด เพื่อไปทำงานต่อได้ ดังนั้นมันเลยต้องมีบางจังหวะที่ต้อง ‘ช่างแม่ง’ กับอะไรบางอย่างอยู่บ้าง”
“สุดท้ายมีเป้าหมายอื่นๆ ในปีถัดไปไหม”
อาทิตยากล่าวทิ้งท้ายว่า คงอยากทำสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ต่อไป ทำให้มันดียิ่งขึ้น ทั้งเรื่องสุขภาพ การเงิน และหน้าที่การงาน โดยปีหน้าเธอตั้งความหวังไว้ที่วง 4EVE เป็นพิเศษ ที่อยากเห็นการเติบโต การโกอินเตอร์ และการไปต่อที่สวยงามกว่าเดิม