“สิ่งแรกที่ผมจะทำคือการชี้ให้ประเทศไทย หนึ่งในพันธมิตรในเอเชียที่มีสนธิสัญญากับเรา เห็นว่า สงครามและความขัดแย้งเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อประชาชนของพวกเขาเลย
“สงครามและความขัดแย้ง ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรของเราให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่แม้แต่จะช่วยแก้ปัญหาที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังเผชิญอยู่ มันเป็นเพียงการสูญเสียชีวิตและทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์”
เป็นความคิดเห็นของ ฌอน โคทาโร โอนีล (Sean Kotaro O’Neill) ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หลังจากวุฒิสภาสอบถามในขั้นตอนรับรองการดำรงตำแหน่งว่า เขาจะทำอย่างไรให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชากลายเป็นสันติภาพยืนยาว แม้คำพูดจะไม่มากมายนัก แต่ก็ทำให้สาธารณชนตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐฯ กำลังมองไทยเป็นผู้ร้ายอยู่หรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในเหตุปะทะทางชายแดนที่ลุกลามกินเวลาร่วมสัปดาห์ หนึ่งสิ่งที่น่าจับตามองไม่แพ้หนทางสู่สันติภาพคือ ภาพลักษณ์ของไทยบนเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของสหรัฐฯ พันธมิตรเก่าแก่ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทิ้งหมัดเด็ดอย่าง ‘กำแพงภาษี’ ออกคำขู่เพื่อให้ 2 ประเทศเพื่อนบ้านหันหน้าเจรจาเข้าหากัน ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีดังกล่าวนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพที่มี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน 2025 เป็นตัวกลาง
แม้ในสนามรบไทยดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ใน ‘ด้านการต่างประเทศ’ หลายภาคส่วนต่างกลับตั้งคำถามว่า ไทยเป็น ‘รอง’ กัมพูชาในความขัดแย้งหรือไม่ บ้างบอกว่า ประเทศเพื่อนบ้านมักเดินเกมรวดเร็วฉับไว สะท้อนจากท่าทีบนเวทีโลกที่สื่อสารกับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ดังกรณีการพาตัวแทนทูตทางทหาร 13 ประเทศ ซึ่งมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ลงพื้นที่ดูความเสียหายเมื่อวานนี้ (30 กรกฎาคม 2025)
เพื่อย้อนมองความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจากมุมมองของนานาชาติ The Momentum พูดคุยกับ พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (Institute of Security and International Studies: ISIS) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการต่างประเทศไทย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปมการเมืองภายในสะเทือนถึงการต่างประเทศ: ท่าทีสหรัฐฯ สะท้อน ‘สายตานานาชาติ’ ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
พงศ์พิสุทธิ์วิเคราะห์ว่า คำพูดของว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำไทย ต่อความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาแฝงด้วยนัย 2 ประการ อย่างแรกคือ การสะท้อนแนวนโยบายสันติภาพจากทรัมป์ในการเมืองโลก ถือเป็น ‘ใบสั่งตรง’ จากทำเนียบขาว เริ่มตั้งแต่การที่ผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ข้อความลงบน Truth Social กดดันให้ไทยและกัมพูชาหันหน้าเจรจา โดยใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องต่อรอง จนนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพภายใน 1 วัน
“จะเห็นได้ว่า นี่คือแนวนโยบายสหรัฐฯ ในช่วงนี้เขา (ฌอน) ก็ต้องทำตามทรัมป์ เพราะไม่ใช่คนที่ถูกแต่งตั้งในทางการเมือง (Political Appointee) การกดดันจึงไม่น่าแปลกว่าทำไมต้องทำ”
อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แสดงความคิดเห็นว่า จากกรณีดังกล่าว แม้จะตอบยากว่า ไทยยังสำคัญในมุมมองสหรัฐฯ อยู่หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความเป็นพันธมิตรในอดีตที่เป็น ‘ดาบสองคม’ กดดันไทยได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีของฌอนสะท้อนมุมมองของนานาชาติต่อรัฐไทย ที่ดูเหมือนไม่ต้องการให้เกิดการแก้ไขปัญหาหรือเจรจาหาทางออก
เหล่านี้สะท้อนการยืนกรานจากทางการไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า ต้องการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง ไปจนถึงไม่ต้องการขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ขณะที่สถานการณ์กลับสวนทาง เต็มไปด้วยอุปสรรคและบานปลายกว่าความขัดแย้งครั้งก่อน
พงศ์พิสุทธิ์ยังเชื่อว่า มุมมองของนานาชาติที่มีต่อไทยในแง่ลบ เกิดจากการเดินเกมของกัมพูชาที่ใช้ ‘สื่อ’ สื่อสารกับโลกภายนอกเยอะ ขณะที่ทางการไทยที่ดูดำเนินการช้าและนิ่งกว่า หากเทียบกับการต่างประเทศของกัมพูชาที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
“พอเราอยู่ในประเทศไทย มันมีสภาวะ Echo Chamber ในการรับข่าวสาร เราอาจจะไม่ได้รู้ว่า คนข้างนอกคิดอะไรกับเรา ผ่านสารที่ได้รับจากกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีคนบ่นว่า สื่อมวลชนต่างประเทศมักจะพาดหัวข่าวในทางลบ ทั้งที่จริงๆ พออ่านในรายละเอียด อาจจะมีเนื้อหาที่ไม่ได้ดูลบกับไทย แต่การพาดหัวข่าวทำให้คนคิดไปแล้ว
“แม้อาจจะมีคนที่ติดตามสถานการณ์และเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับความขัดแย้ง แต่คนที่ไม่ได้ติดตาม เช่น ทรัมป์ หรือผู้นำบางคนที่ดูแต่พาดหัวข่าว เขาก็ตัดสินเลือกข้างไปแล้ว มันก็ทำให้สะท้อนความคิดว่า ไทยเป็นตัวปัญหา แทนที่จะเป็นกัมพูชาอย่างเราคิดกันเอง
“อย่าลืมว่า กลยุทธ์ในการติดต่อต่างประเทศ กัมพูชาดูเหมือนจะวางแผนดีกว่าเรา ล่าสุดกัมพูชาไปร่วมหารือ USINDOPACOM ที่ฮาวาย ภาพที่ออกมาดูเหมือนกับว่า ไทยตั้งรับตลอดเวลา ขณะที่กัมพูชาดำเนินการทูตแบบ ‘สาดกระสุน’ อันไหนเข้าเป้าก็เป็นด้านบวกของเขา”
ผู้เชี่ยวชาญนโยบายต่างประเทศไทยแสดงความคิดเห็นว่า ภาวะดังกล่าวจากทางการไทย อาจเป็นเพราะการเมืองภายในที่วุ่นวายมาตั้งแต่ 2 เดือนก่อน ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า ประเทศไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกรับมือสถานการณ์ เมื่อเทียบกับกัมพูชาที่อยู่สภาวะ ‘รัฐเบ็ดเสร็จ’ ทุกอย่างสั่งตรงจากผู้นำในส่วนกลาง
“เหมือนหัวของการต่างประเทศไทยต้องรอไฟเขียวอะไรสักอย่าง ไม่มีอำนาจพอที่จะสามารถตัดสินใจ ต้องรอภาคการเมือง ซึ่งไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวแบบกัมพูชา แน่นอนว่า กัมพูชาก็เป็นรัฐเบ็ดเสร็จ ทุกอย่างคุมจาก ฮุน เซน (Hun Sen) จึงทำอะไรได้ง่ายกว่า ทำให้การรับมือแตกต่างกันออกไป”
ไทยต้องเพิ่มนโยบายเชิงรุก แต่ปัญหายังไร้ทางออก เพราะกับดักชาตินิยมจาก 2 ประเทศ
นอกเหนือจากปัจจัยอย่างปัญหาการเมืองภายใน ซึ่งต้องรอ ‘เสียงจากคนนอก’ พงศ์พิสุทธิ์มองว่า ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา การต่างประเทศไทยถดถอยลงเรื่อยๆ นับเป็นแรงเฉื่อยส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถตอบสนองปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ยังแสดงท่าทีไม่สอดคล้องกับหลักการที่เคยประกาศให้นานาชาติรับทราบ
“ข้อสังเกตหนึ่งที่เราเห็นคือ เมื่อเข้าไปดูในเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ เขามีภาษาอังกฤษที่สื่อสารกับชาวโลกน้อย คือคุณต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างคนข้างในกับข้างนอก ภาษาอังกฤษควรจะมาพร้อมกับภาษาไทย แต่ทุกอย่างดูช้าเหมือนเป็นรัฐราชการ
“ไทยจะเล่นบทมีความสุขุม มีหลักการ เราประกาศกับชาวโลกว่า เราไม่ยิงก่อน กัมพูชายิงมาเราถึงตอบโต้ แต่ถ้าเล่นบทนี้ ไทยต้องเล่นให้หมด ในแง่ที่ว่า ไทยต้องใช้หลักการหรือกลไกที่มีความชอบธรรมแสดงให้เห็นว่า เราพยายามบรรลุสันติภาพแล้ว ไม่ใช่แค่การเน้นย้ำว่า เราจะคุยกับกัมพูชาแบบทวิภาคี แต่ด้านหนึ่งพอมีการปะทะกัน เราไม่ต้องการให้ตรวจสอบ ขณะที่กัมพูชาเขาเรียกทูตทหารเข้าไปดู อันนั้นเป็นข้อต่างว่า ไทยไม่ได้ทำแบบนั้น เราไม่ได้บอกชาวโลก”
อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แสดงความคิดเห็นต่อว่า เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น จนการทูตทวิภาคีไม่อาจบรรลุสันติภาพ อย่างน้อยไทยควรจะรับคนกลางจากอาเซียน ดังบทบาทของอันวาร์ ที่ออกตัวขอทำหน้าที่เป็น ‘กาวใจ’ เชื่อมรอยร้าวระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งหากพิจารณาความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมา ไทยมักหลีกเลี่ยงยอมรับหาตัวกลาง แม้แต่อาเซียนเอง โดยเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ‘สำนึก’ ที่ไม่อยากให้ใครเข้ามาแทรกแซงในประเทศ
สำหรับบทสรุปของปัญหา พงศ์พิสุทธิ์มองจากความขัดแย้งล่าสุดในปี 2011-2012 ในยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจะวนลูปต่อไป ตราบใดที่ 2 ประเทศไม่สามารถหลุดจากกับดักชาตินิยมได้ ซึ่งในปัจจุบันทวีความรุนแรงกว่าเดิม เพราะการเข้ามาของโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยี AI
“เราเห็นเรื่องตลก เช่น วาทกรรมเคลมโบเดีย การสู้กันบนไซเบอร์ ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็มาสนับสนุนความหนักแน่นของกัมพูชา ซึ่งประชาชนสนับสนุนตอบโต้ทางการไทย
“ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาล ปัญหานี้ก็วนลูปอีก ไม่รู้ว่าภาคการเมืองกัมพูชาจะเป็นอย่างไร แต่ในการเมืองไทย เราเห็นโครงสร้างภาคความมั่นคง คนที่มีอำนาจในชายแดนคือทหาร ขณะที่ความชอบธรรมจากรัฐบาลมี แต่หมดไปหลายระลอก จนถึงหลายคนออกมาเรียกร้องบทบาทของทหารในการเมืองมากขึ้น
“อันที่จริงเรื่องชาตินิยม เราไม่คิดว่า ฝั่งไทยจะเป็นขนาดนี้ อย่างน้อยที่ผ่านมา เราเห็นการศึกษาหรือสื่อมวลชน ที่พูดถึงเรื่องชุมชนจินตนาการ (Imagine Community) แต่ทัศนคติก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เมื่อมีเหตุกับเพื่อนบ้าน
“ความเชื่อมั่นกับการสร้างความไว้วางใจระหว่าง 2 ประเทศที่จะเกิดขึ้น อาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น เพราะปัญหาหนักหนาพอสมควร” ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทิ้งท้าย
มองสหรัฐฯ-จีนในอาเซียน จากความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
เมื่อ The Momentum ถามว่า บทบาทของทรัมป์ในครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนว่า สหรัฐฯ ยังสนใจการเมืองในอาเซียนอยู่หรือไม่ พงศ์พิสุทธิ์ตอบคำถามว่า ท่าทีดังกล่าวเป็นเพราะทรัมป์ต้องการเล่นบทผู้พิทักษ์สันติภาพเอง ซึ่งอันที่จริงแล้ว สำหรับผู้นำสหรัฐฯ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคเล็กๆ ไม่ได้มีความสำคัญ จนถึงขั้นที่ต้องเรียกผู้นำไทยกับกัมพูชามานั่งคุย เหมือนกับสถานการณ์ในอิสราเอล-กาซา รัสเซีย-ยูเครน หรืออินเดีย-ปากีสถาน
“อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้บทบาทของทรัมป์ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยประสบความสำเร็จได้ ทรัมป์ก็ทำ ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าบังคับให้เกิดสันติภาพได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นข้อดีหรือไม่ อาจจะเป็นแนวพฤติกรรมของทรัมป์โดยรวม”
กลับกัน ทรัมป์ผลักดันให้อันวาร์ทำหน้าที่ประสานรอยร้าวในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งเคยเสนอตัวกลางในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐฯ ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวจากความขัดแย้งครั้งนี้ คือ ผลักดันให้เกิดสันติภาพในอาเซียน ขณะที่ตัวตนของสหรัฐฯ ในภูมิภาคยังไม่หายไปไหน แต่คอยอยู่เบื้องหลัง ทั้งเล่นบทผลักดันและกดดัน
ขณะที่จีน มหาอำนาจในภูมิภาคที่อาเซียนเปรียบเสมือนเป็น ‘หลังบ้าน’ กลับมีแต้มต่อที่น้อยกว่าสหรัฐฯ สะท้อนจากการเล่นบทผู้ไกล่เกลี่ย และแสดงจุดยืนว่า สามารถเข้ามาเป็นตัวกลางทลายความขัดแย้งได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ จีนยังไม่ประสบความสำเร็จบทบาทด้านความมั่นคงในภูมิภาคได้มากพอ
“แม้ว่าจีนจะมีอิทธิพลและศักยภาพพอสมควร แต่การแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นอำนาจทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองว่า จีนเป็นญาติดีกับทั้งสองฝ่าย ยังไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น
“จีนอาจจะทำให้คนใน 2 ประเทศนี้ฟังได้นิดหน่อย แต่เราก็เห็นการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา แต่วันเดียวที่ทรัมป์ออกมา ทุกคนหันเข้าโต๊ะเจรจา มันแสดงให้เห็นว่า แม้จีนจะเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค แต่ยังไม่ถึงจุดที่จะแข่งกับสหรัฐฯ ในระดับโลกขนาดนั้น แบบที่คนคิดว่า จีนจะเข้ามามีบทบาทด้านความมั่นคงเต็มที่
“ส่วนหนึ่ง สหรัฐฯ โต้งๆ ชัดเจนว่า อยากได้ผลประโยชน์อะไรก็ต่อรอง แต่จีนทำให้คนสงสัยว่า ที่ต้องการเข้ามาไกล่เกลี่ย เพราะต้องการเข้ามามีอิทธิพลใน 2 ประเทศนี้มากขึ้น ซึ่งคนบางกลุ่มในไทยก็รู้สึกว่า จีนสนับสนุนกัมพูชาอยู่หรือเปล่า ทำให้ไทยเสียเปรียบ เห็นได้ตั้งแต่เรื่องฝึกทหารร่วมระหว่าง 2 ประเทศ ก็มีคนตั้งทฤษฎีสมคบคิดว่า จีนให้อาวุธทิ้งไว้ไหม จะเห็นว่า มันมีความตั้งแง่กับบทบาทของจีนตลอดเวลา”
ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติมองว่า ความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนว่า สหรัฐฯ ยังครองอิทธิพลมากกว่าจีนที่เป็นรอง เพราะทุกคนตั้งแง่ต่อบทบาทของจีน ขณะที่จีนก็ไม่ได้กระโจนเข้ามาในวงความขัดแย้งแบบสหรัฐฯ เต็มตัว แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เห็นข้อดีว่า 2 ประเทศมหาอำนาจสามารถร่วมมือกันได้ เห็นได้จากการที่ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งลดการเผชิญหน้าในการแข่งขันทางอำนาจในระดับระหว่างประเทศ
Tags: ไทย, สหรัฐฯ, การต่างประเทศไทย, ISIS Thailand, พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์, สหรัฐอเมริกา, รัฐศาสตร์ จุฬาฯ, โดนัลด์ ทรัมป์, เขมร, จีน, ไทย-กัมพูชา, กัมพูชา, ฌอน โอนีล, อาเซียน, มาเลเซีย