ตัวแทนมากกว่า 190 ประเทศเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือที่รู้จักกันในชื่อ COP30 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2025 

ความน่าสนของการประชุม COP30 ในปีนี้ นอกจากจะจัดขึ้นในตอนครบรอบ 10 ปี ของจุดกำเนิด ‘ข้อตกลงปารีส’ หรือ ‘Paris Agreement’ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ประเทศต่างๆ ลงนามร่วมกันในปี 2015 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ลดลงถึง 1.5 องศาเซลเซียส การประชุมครั้งนี้ยังเป็นพื้นที่สปอตไลต์ให้กับสมาชิกโลกใต้ (Global South) และกลุ่มชนพื้นเมือง ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย 

บราซิลในฐานะประเทศกำลังพัฒนา และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปีนี้ เลือกเมืองเบเล็งเป็นสถานที่จัดประชุม เมืองที่ถือว่าเป็นประตูสู่ป่าแอมะซอน พื้นป่าสำคัญที่เป็นทั้งปอดของโลกและเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนพื้นเมือง นอกจากนี้ ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inácio Lula da Silva) ประธานาธิบดีบราซิล ยังกล่าวในช่วงหนึ่งของการเปิดประชุม COP30 ว่า ผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 5 หมื่นคน จะได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มชนพื้นเมืองในครั้งนี้

ความพยายามให้พื้นที่และแสงสปอตไลต์กับผู้เล่นที่หลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของโลกใต้ ที่กำลังเข้ามาเกี่ยวข้องกับวาระสำคัญของโลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และระเบียบโลกเดิมที่กำลังสั่นคลอน คำถามสำคัญคือ กลุ่มประเทศโลกใต้จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในประเด็นสำคัญของโลกได้จริงหรือไม่

เริ่มต้นทำความรู้จักกับการประชุม COP

Conference of the Parties หรือ COP เป็นการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ปี 1992 ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระดับโลก และประเทศต่างๆ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน 

การประชุม COP ครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีในปี 1995 ต่อมา COP จัดประชุมขึ้นเป็นประจำทุกปีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นการประชุมสำคัญที่นำปัญหาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาสภาพภูมิอากาศขึ้นมาพูดคุยในเวทีระดับโลก

ประเด็นสำคัญในการประชุม COP30

ประเด็นที่ดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญมากที่สุด คือเรื่องการระดมเงินทุนเพื่อการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ สืบเนื่องจากการประชุม COP29 เมื่อปีที่แล้ว ณ ประเทศอาเซอร์ไบจาน มีข้อตกลงว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วจะจัดสรรงบประมาณราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 10.8 ล้านล้านบาท) ให้กับประเทศยากจนเพื่อใช้แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศภายในปี 2035 อย่างไรก็ตามจำนวนเงินข้างต้นยังคงไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา ในปีนี้บราซิลจึงเสนอโรดแมปเพื่อขยายงบประมาณไปจนถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 46.8 ล้านล้านบาท) อีกทั้งยังเสนอแผน Tropical Forest Forever Facility (TFFF) เพื่อให้มีการระดมทุน 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4 ล้านล้านบาท) มอบให้ประเทศโลกใต้นำไปดูแลผืนป่าให้ประเทศของตนเอง

น่าเสียดายว่า แม้การพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงปารีสจะใช้เวลายาวนานถึงหนึ่งทศวรรษ แต่เป้าหมายที่จะลดอุณหภูมิลงให้ถึง 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2030 ยังคงไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น COP30 จึงต้องเดินหน้าพูดคุยเพื่อปรับเปลี่ยนแผนการให้ข้อตกลงปารีสมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า อุณหภูมิเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากปริมาณการใช้ก๊าซเรือนกระจกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง แต่เขายังคาดหวังว่าอุณหภูมิจะลดลงภายในสิ้นศตวรรษนี้

การรณรงค์ให้ใช้พลังงานหมุนเวียนก็นับเป็นอีกประเด็นที่สำคัญของ COP30 ย้อนกลับไปเมื่อปี 2023 ในการประชุม COP28 แต่ละประเทศทั่วโลกมีการพูดถึงการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามพบว่า การบรรลุให้ถึงเป้าหมายนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 เขาก็ผลักดันให้กลับมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น เช่นเดียวกันกับบางประเทศในอเมริกาใต้ ที่หันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น

‘โลกใต้’ ขั้วอำนาจใหม่ จากผู้ถูกกำหนดกติกาสู่ผู้กำหนดกติกา?

เดิมที ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือ Global North มักอยู่ในฐานะผู้กำหนดทิศทางต่อประเด็นเรื่องสภาพภูมิอากาศโลก แต่เมื่อไม่นานมานี้ เรามักเห็นสัญญาณความแผ่วของประเทศเหล่านี้ สหรัฐฯ เพิ่งประกาศถอนตัวออกจากข้อตกปารีสไปเมื่อต้นปีนี้ ภายใต้การนำของทรัมป์กับจุดยืนที่เชื่อว่า ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศคือเรื่องหลอกลวง อีกทั้งยังไม่ส่งตัวแทนเพื่อเข้าร่วมการประชุม COP30 ในครั้งนี้ด้วย ขณะที่สหภาพยุโรปก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับปัญหาภายในและมีความเห็นต่อประเด็นปัญหาดังกล่าวที่แตกต่างกันมากขึ้น 

ในทางกลับกัน กลุ่มประเทศโลกใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศสมาชิก BRICS ซึ่งเป็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่าร้อยละ 49 ของโลก หันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น อีกทั้งยังพยายามก้าวเข้ามามีบทบาทในการกำหนดกติกาต่างๆ อย่างชัดเจน 

ในการประชุม COP16 กลุ่ม BRICS เสนอให้มีการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเป็นครั้งแรก จนกระทั่งสร้างข้อตกลงที่จะระดมทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท) พื่อปกป้องธรรมชาติ ซูซานา มูฮาหมัด (Susana Muhamad) ประธานการประชุม COP16 ถึงกับกล่าวว่า กลุ่ม BRICS คือ ‘ผู้สร้างสะพาน’ ในการเจรจาครั้งนี้

BRICS ยังสร้างกรอบความร่วมมือด้านการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอาการศร่วมกัน พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการสร้างกองทุนเพิ่มเติมเพื่อจุดประสงค์ข้างต้น โดยมองว่าเป็นความรับผิดชอบภายใต้ข้อตกลงปารีส

ในขณะเดียวกัน หนึ่งในประเทศสมาชิก BRICS อย่างประเทศจีน ยังแสดงความเป็นผู้นำร่วมกับประเทศอื่นๆ เห็นได้จากแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหภาพยุโรปกับจีน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อีกทั้ง สี จิ้นผิง (Xi Jingping) ประธานาธิบดีของจีน ยังส่งสัญญาณแสดงความพร้อมเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการให้คำมั่นสัญญาว่า จะเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกบนเวทีประชุม UNGA ครั้งที่ 80 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

นอกจากนี้อินเดียซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในสมาชิก BRICS ยังมีบทบาทสำคัญต่อการประชุม COP อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดตั้งกองทุน Loss and Damage Fund ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประเทศที่เปราะบาง ซึ่งกำลังเผชิญกับผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งอินเดียยังมองตนเองในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศโลกใต้ เพื่อเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศและความร่วมมือในระดับพหุภาคี

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศโลกใต้ต่างมีความกระตือรือร้นที่จะขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายทางด้านสภาพภูมิอากาศ อีกนัยหนึ่งสามารถมองได้เช่นกันว่า ประเทศเหล่านี้ก็กำลังสร้างอิทธิพลให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อคานอำนาจแข่งกับประเทศมหาอำนาจเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีอิทธิพลในการต่อรอง รวมถึงขูดรีดผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสภาพภูมิอากาศกับประเทศโลกใต้มาก่อน

อย่างไรก็ดีปัจจัยด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเติบโตทางเทคโนโลยี ยังถือเป็นอีกกำลังสำคัญในการส่งเสริมความเป็นผู้นำทางด้านสภาพภูมิอากาศ ทว่าประเทศโลกใต้กำลังขาดแคลนปัจจัยเหล่านี้และกำลังเป็นรองจากประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก คำถามสำคัญต่อจากนี้คือ ประเทศโลกใต้จะเข้ามาแทนที่เหล่าประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างแท้จริงหรือไม่

ที่มา:

https://edition.cnn.com/2025/11/11/climate/cop30-explainer-belem-brazil

https://www.bbc.com/news/articles/c04gqez4lkyo

https://www.reccessary.com/en/news/brazil-leads-brics-amid-growing-us-china-tensions

https://www.theguardian.com/environment/2025/nov/06/who-are-the-major-players-at-cop30-and-what-do-they-want

https://www.carbonbrief.org/qa-will-china-and-the-brics-fill-the-leadership-gap-on-climate-change/

https://medium.com/policy-leeds/a-global-south-reading-of-cop30-8578928b2e42

https://www.dw.com/en/cop-30-belem-brazil-india-united-nations-unfccc-climate-change-climate-justice-fossil-fuel-coal/a-74714337 

Tags: , , , , , , , , , ,