- ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 องค์กรวิจัยด้านเทคโนโลยี ‘OpenAI’ ได้เปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ ที่มีชื่อว่า ‘Generative Pre-trained Transformer’ หรือ ‘ChatGPT’ ให้ผู้คนทั่วโลกได้ใช้งานสาธารณะ หลังซุ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2015 ด้วยงบหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป้าหมายขององค์กรที่มีผู้ก่อตั้งหลักอย่างโปรแกรมเมอร์หนุ่มชาวอเมริกัน แซม อัลต์แมน (Sam Altman) หมายมั่นปั้นมือ คือการสร้างความมั่นใจว่า ‘AI’ จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้ในอนาคต
- ผิวเผินคำว่าแชตบอตอาจชวนนึกถึง SIMSIMI, SIRI, Alexa หรือ Google Assistant ที่เป็นคู่สนทนาคลายเหงาและผู้ช่วยสั่งการอุปกรณ์ไอที ทว่าขีดความสามารถของ ChatGPT ดูจะเลยเถิดยิ่งกว่านั้น เพราะสามารถช่วยเขียนบทความ เขียนข่าว ร่างจดหมาย รังสรรค์ประโยคโฆษณา นึกพล็อตนิยาย บันทึกบทสนทนาเป็นตัวอักษร เขียนโปรแกรมภาษา Python หาบั๊กภายใน Souce Code แก้โจทย์สมการ ฯลฯ มากจนหลากอาชีพได้ขนลุกซู่โดยเฉพาะสายงานเขียน เพราะผลลัพธ์ภาษาที่ได้มีความสละสลวย ไวยากรณ์ถูกต้อง แถมไม่ใช่ภาษาหุ่นยนต์แข็งทื่อดั่งเคย
- จินตนาการถ้าคุณมี AI จาร์วิส (Jarvis) จากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ไอรอนแมนเป็นผู้ช่วยใครล่ะจะไม่อยากมี เพียงเปิดตัวได้ราว 1 สัปดาห์ มีผู้ลงทะเบียนแชตบอตดังกล่าวทะลุ 1 ล้านคน และปัจุบันมีผู้ใช้งานเพิ่ม 100 ล้านคนต่อเดือน โดยมีผู้หาญกล้าท้าทาย ChatGPT เช่น กรณีที่โจนาธาน ชเว (Jonathan Choi) อาจารย์สาขาวิชากฎหมายประจำมหาวิทยาลัยมินนิโซตา (Minnesota University) ทดลองให้ทำข้อสอบปรนัย 95 ข้อ และอัตนัย 12 ข้อ ผลปรากฏว่าแชตบอตทำข้อสอบผ่านคาบเส้น แสดงให้เห็นว่าเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำและเรียนรู้พื้นฐานข้อกฎหมายสบายๆ
- ถึงกระนั้น ใช่ว่าปัญญาประดิษฐ์จะไร้จุดอ่อน เพราะ ChatGPT เวอร์ชันพื้นฐาน 3.5 ยังต้องพึ่งพาระบบ Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ในการฝึก อธิบายง่ายๆ คือยังต้องพึ่งพาให้มนุษย์ตรวจสอบฟีดแบ็กคำตอบที่ได้ซ้ำๆ ต่อการประมวลผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ แหล่งที่มา จัดโมเดลทางเลือกที่ดีที่สุด ตัดทอนการใช้คำฟุ่มเฟือย การใช้คำที่ส่อถึงการเหยียดเพศและเชื้อชาติ รวมถึงวางแผนพัฒนาไปสู่เวอร์ชัน 4.0 ที่สามารถตอบคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี 2021
- เมื่อผู้ใช้งานล้นทะลัก OpenAI จึงหาวิธีหาระบายเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหากำไรไปในตัวด้วยการนำร่องระบบบริการสมาชิก ‘ChatGPT Plus’ ในสหรัฐฯ ราคาสมาชิกเริ่มต้น 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (650 บาท) สมาชิกจะได้ทดลองเล่นฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร และบริการตอบสนองแชตบอตที่เร็วกว่าเวอร์ชันสาธารณะ
- อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีและอดีตผู้ก่อตั้ง OpenAI ได้ออกมาปรามให้ OpenAI หยุดนำฐานข้อมูลจากทวิตเตอร์ไปใช้พัฒนาระบบ ChatGPT แบบฟรีๆ หลังผันตัวจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มาเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร ผิดไปจากเจตจำนงเดิมที่ต้องการเป็น Open Sauce ฉะนั้นถ้าอยากได้ฐานข้อมูลก็จงจ่ายเงินซื้อเสีย
- สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ระบุว่าเบื้องหลัง OpenAI มีบริษัท Microsoft หนุนหลังลงขันช่วยงานวิจัย ChatGPT ด้วยเงินจำนวนมหาศาลถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท) รายละเอียดยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า Microsoft จะได้รับผลกำไร 75% จาก OpenAI จนกว่าจะได้รับเงินลงทุนคืน และหลังจากนั้น Microsoft จะเข้าถือหุ้น 49% ส่วนอีก 49% เป็นของผู้ถือหุ้นรายอื่น และอีก 2% เป็นของ OpenAI
- ข่าวดังกล่าวดูมีเค้ามูลความจริง 99.99% เมื่อ Microsoft ประกาศเตรียมนำชุดคำสั่ง ChatGPT ผสานเข้ากับ ‘BING’ ผลิตภัณฑ์เสิร์ชเอนจิ้นออริจินัลของบริษัท และเบราเซอร์ ‘Edge’ เพื่อยกระดับการใช้งานให้มีเสถียรภาพ ผลลัพธ์การค้นหาที่มีประสิทธิภาพ และการค้นหาที่ปลอดภัย (แต่ในเวอร์ชันแรกยังเปิดใช้งานแค่บน PC) ภายใต้ชื่อระบบโมเดลสุดเวอร์วังว่า ‘Prometheus Model’ ที่อาจส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 3-4 ของบริษัทในปี 2023 ดีดตัวขึ้นทวีคูณ
สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอบริษัท Microsoft กล่าวสั้นๆ ถึงโปรเจกต์ใหม่นี้ว่า “นี่คืออนาคตรูปแบบใหม่แห่งการค้นหา การแข่งขันเริ่มขึ้นในวันนี้ และเราจะก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว”
- การประกาศกร้าวของ Microsoft เสมือนส่งสารท้ารบไปถึง Google ที่ครองตำแหน่งเสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่งของโลก จึงไม่น่าแปลกใจหาก สุนทร พิชัย (Sundar Pichai) ผู้บริหารของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google จะส่งสัญญาณรหัสแดงเรียกคณะกรรมการประชุมวางแผนรับมือ ChatGPT เพื่อปรับแผนกลยุทธ์ และนำเทคโนโลยี AI มาผสานยกระดับผลิตภัณฑ์ Google Search
- นอกจากเหตุผลการเดิมพันพื้นที่ตำแหน่งพื้นที่เสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่ง เหตุผลที่ Google ต้องรีบจัดการแชตบอตคู่แข่ง เพราะผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของ Microsoft ที่ติดตั้ง ChatGPT มีส่วนปิดกั้นลิงก์โฆษณาจาก Google อู่ข้าวอู่น้ำสำคัญมูลค่าราว 2.08 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือคิดเป็น 81% จากรายได้รวมของบริษัท Alphabet
- กลยุทธ์โต้กลับของ Google คือการเตรียมเปิดตัว ‘Bard’ แชตบอตรูปแบบ Language Model for Dialogue Applications (LaMDA) ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านตัวอักษรและภาษาในเว็บไซต์ Google
ทั้งยังมีความพิเศษตรงที่ผลลัพธ์คำตอบจะถูกปรับให้เหมาะสมตามผู้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 8 ขวบ เสิร์ชหาสัตว์ชนิดใดใหญ่ที่สุดในโลก คำตอบที่ได้จะถูกอธิบายด้วยภาษาที่เหมาะกับเด็กนั่นเอง และซ่อนเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชน
- อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีม้าแค่ 2 ตัวในการแย่งชิงหน้าเค้ก หลัง ‘Baidu’ บริษัทไอทียักษ์ใหญ่จากจีน ก็เตรียมเปิดตัวแชตบอตที่มีชื่อว่า ‘ERNIE Bot’ (Enhanced Representation through kNowledge IntEgration) Baidu ระบุว่าแชตบอตของบริษัทเริ่มพัฒนาเมื่อปี 2019 ในรูปแบบ ‘Large Language Mode’ หรือ ‘โมเดลทางภาษาขนาดใหญ่’ ที่เตรียมนำไปผสานกับเสิร์ชเอนจิ้นของ Baidu ง่ายต่อการเสิร์ชหาข้อมูลหลากหลายภาษา และสร้างข้อความเป็นรูปภาพ
การกระโดดเข้ามาร่วมวงของบริษัทไอทีจากจีน แม้ชื่อชั้นจะเป็นรองสองบริษัทก่อนหน้า แต่อาจสื่อเป็นนัยว่ายังมีบริษัทไอทีอีกมากมายที่เตรียมเข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน ขณะเดียวกันยังเป็นสัญญาณเตือนว่าไม่ควรมองข้ามและประมาทผู้เล่นจากจีน ที่พร้อมแย่งส่วนแบ่งการตลาดย่านเอเชียตลอดเวลา
- ท่ามกลางข้อถกเถียงอันชุลมุนเคลมว่าปัญญาประดิษฐ์ของใครเจ๋งกว่า อีกมุมหนึ่งคงอดตั้งคำถามถึงเรื่อง ‘จริยธรรม’ ไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีไร้จิตใจ ต่อให้เลียนแบบแค่ไหนคงยากที่จะเหมือนมนุษย์ ทั้งความเห็นใจ สำนึกผิดชอบชั่วดี ศีลธรรม และความจริงกับจินตนาการได้ทันที
บทความฉบับหนึ่งในเว็บไซต์ CNN ยกตัวอย่างกรณีที่เกี่ยวข้องระหว่าง ChatGPT กับวงการแพทย์ในสหรัฐฯ โดยระบุว่าปัญญาประดิษฐ์มีส่วนช่วยในการคิดค้นงานวิจัยใหม่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทว่าจำเป็นต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบความน่าเชื่อถือควบคุมอีกขั้น เพราะ AI อาจเลือกมองข้ามความเสี่ยงอันตรายของผู้ป่วยเพื่อบรรลุถึงเป้าหมาย แม้ ChatGPT จะเคยผ่านการทดลองทำข้อสอบใบอนุญาตประกอบวิชาเวชกรรม (ในปี 2022) ก็ตาม
- สอดคล้องกับในปี 2020 ที่ อีลอน มัสก์ ทำนายไว้ว่าในปี 2025 เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อาจสั่นคลอนความมั่นคงของมนุษยชาติ และทำให้มนุษย์พบกับจุดจบดั่งภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง War Games เมื่อปี 1983 ณ เวลานั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องตลกชวนหัวเราะคิกคัก แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่ เมื่อ AI มีอิทธิพลและกลมกลืนอยู่ในสังคมมนุษย์ พร้อมผลักให้คนจำนวนหนึ่งตกงานได้ เพราะเทคโนโลยีไม่มีข้อจำกัดทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ลาพักร้อน ลาป่วย เรียกร้องสวัสดิการใดๆ หรือนำพวกมันไปใช้เป็นเครื่องจักรทางการทหาร
- สุดท้ายคงยังตอบไม่ได้เต็มปากว่าสงครามผู้พัฒนา AI จะเลยเถิดบ้าคลั่งไปถึงขั้นไหน ผู้พัฒนาจะหากฎเกณฑ์ใดมาเป็นหลักประกันความปลอดภัยต่อการใช้งาน คำตอบล้วนขึ้นอยู่กับเวลา
มองในแง่ดีนี่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของมนุษย์ ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะสามารถเข้าถึงผู้คนหลายกลุ่ม หลายระดับ พร้อมทลายกำแพงขีดจำกัดเพื่อเปิดประตูไปสู่วิทยาการสร้างสรรค์ใหม่ที่มีประโยชน์
ในฐานะผู้เฝ้ามองได้แต่ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น
.
อ้างอิง:
– https://openai.com/blog/chatgpt/
– https://www.cbsnews.com/news/chatgpt-bot-passes-law-school-exam/
– https://www.theverge.com/2023/2/7/23587454/microsoft-bing-edge-chatgpt-ai
– https://www.theverge.com/2023/2/8/23590864/google-ai-chatbot-bard-mistake-error-exoplanet-demo
– https://edition.cnn.com/2023/02/02/health/artificial-intelligence-medicine/index.html
ภาพ: AFP
Tags: AI, ปัญญาประดิษฐ์, Chatbot, Analysis, Tech, ChatGPT