45 ปีแล้วที่แบรนด์กาแฟอย่าง เนสกาแฟ เข้ามาบุกเบิกและครองตลาดกาแฟสำเร็จรูป ภาพของกาแฟชงกินง่ายๆ ที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ พร้อมกับภาพของแก้วกาแฟสีแดงที่มีคำว่า Nescafé ปรากฎอยู่ ก็กลายเป็นภาพคุ้นตาไปแล้ว
ตัวเลขที่ทางเนสกาแฟบอกกับเราคือ ปัจจุบันมีคนไทยดื่มเนสกาแฟมากถึง 20,000 แก้วต่อนาที หรือมากกว่า 300 แก้วต่อวินาที ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดกาแฟสำเร็จรูป เนสกาแฟมีส่วนแบ่งมากกว่า 50% จนเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์กาแฟที่คนนิยมอันดับ 1 ของไทย
แต่เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่เริ่มออกไปกินกาแฟออกบ้านกันมากขึ้น เลือกกาแฟที่สะท้อนรสนิยมของตัวเองเป็นอย่างดี ผ่านความเป็นพรีเมียมของกาแฟในระดับหนึ่ง ทั้งแหล่งปลูกที่เน้นมาจากแหล่งเดียว กรรมวิธีต่างๆ ที่ทำให้ได้รสกาแฟหอมๆ
ผู้บุกเบิกกาแฟในบ้านอย่างเนสกาแฟก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของคนดื่ม ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสินค้า เพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เข้าไป และมีสินค้าที่คลอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า
แวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
ภายใต้ 3 ผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู (Nescafe Blend & Brew) กาแฟปรุงสำเร็จที่ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด ทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น เดิมคือ เนสกาแฟ 3 in 1 อันที่สองคือ เนสกาแฟ เรด คัพ และสามคือ เนสกาแฟกระป๋อง
แวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่าเนสกาแฟเกิดจากการเป็นกาแฟในบ้าน ทำธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 3 รุ่นแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการรักษาการเป็นผู้นำในฐานะแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของไทย การให้ความสำคัญกับ Value Chain ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่เกษตรกรมาจนถึงผู้บริโภค พร้อมกับสร้างประสบการณ์การดื่มเนสกาแฟของคนไทยตั้งแต่ในบ้านจนถึงนอกบ้าน
“เราต้องการให้กาแฟเป็นสื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน” อังดรีฟบอกกับเรา
เนสกาแฟเริ่มให้ความสำคัญกับกาแฟนอกบ้าน นอกจากกาแฟพร้อมดื่มที่ขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไปแล้ว เนสกาแฟจึงหันมาเปิดคาเฟ่กาแฟสดชื่อว่า ร้านกาแฟ NESCAFÉ HUB ที่บีทีเอส ชิดลม (ราคาประมาณ 55 บาทต่อแก้ว) และ NESCAFÉ IN-STORE CAFÉ ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี (ราคาเริ่มต้นแก้วละ 10 บาท)
ยังไม่รวมกาแฟแคปซูล Nescafe Dolce Gusto ที่จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับลูกค้าเนสกาแฟมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่าย มีบริการสั่งแคปซูลถึงบ้าน ที่ปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 4,000 คน
ขณะที่มูลค่ารวมตลาดกาแฟไทยอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กาแฟในบ้านอยู่ที่ 38,000 ล้านบาท โดยที่เนสกาแฟมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 60% และกาแฟนอกบ้านอยู่ที่ 26,000 ล้านบาท โดยที่กาแฟนอกบ้านเติบโตขึ้นถึง 8% จากปี 2560
“ภาพรวมตลาดกาแฟโตขึ้น โดยเฉพาะกาแฟนอกบ้าน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนที่เดินทางมากขึ้น ความท้าทายในวันนี้คือ เราจะรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างไร เราไม่สามารถดีใจแล้วหยุดทำได้ ต้องเดินหน้าต่อ ที่แน่ๆ คือเราโฟกัสกับจุดแข็งของตัวเองนั่นคือกาแฟในบ้าน ส่วนกาแฟนอกบ้านเราหยุดไม่ได้ ต้องทำควบคู่ไปด้วย”