***เขียนจากการชมรอบการแสดงเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น.***
ใครที่เคยคิดว่างานละครเพลงจะต้องขับขานบรรเลงอย่างเอิกเกริกครื้นเครงกันในโรงละครใหญ่ๆ ก็อาจจะต้องคิดใหม่หลังจากได้ดูผลงานเล็กๆ ง่ายๆ แต่ชวนให้ซาบซึ้งประทับใจอย่าง Me, Myself & I จากค่าย Poems Dimension เรื่องนี้ เพราะมันเป็นละครเพลงที่มีผู้แสดงเพียงแค่ 3 ราย จัดแสดงกันภายในคูหาอาคารห้องแถวเล็กๆ แคบๆ ย่านทาวน์อินทาวน์ ความยาวราวๆ รอบละ 1 ชั่วโมง
โรงละครของค่าย Poems Dimension เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีปรัชญาในการส่งเสริมสนับสนุนคนทำละครรุ่นใหม่ๆ ให้มานำเสนอโครงการเพื่อขอใช้พื้นที่แสดงได้ โดยตั้งใจให้มีผลงานเรื่องใหม่ๆ จัดแสดงแบ่งโควตากันในทุกเดือน เชื้อเชิญให้ผู้ชมได้มาเยือนเหมือนเป็นแหล่งนัดพบของคนรักละครโรงเล็กแห่งใหม่ในเมืองกรุง แม้อาจจะต้องยุ่งยากในการเตรียมตัวเดินทางไปสำหรับคนที่อยู่ไกลกันสักเล็กน้อย
สำหรับเดือนกันยายน เป็นทีของการแสดงที่คอละครเพลงมิวสิคัลต่างรอคอย จากบทละครเวทีที่เรียงร้อยโดย จันทกร งามสมประสงค์ และลงมือกำกับโดย ภวินท์ แย้มกลีบ ที่หนีบควบตำแหน่งผู้ประพันธ์ดนตรีตลอดการแสดง เนื้อหาของ Me, Myself & I แต่งแต้มไว้ด้วยมนต์แห่งความแฟนตาซี เมื่อสตรีที่เรียกตัวเองว่า ‘ตัวฉัน’ จะได้หวนกลับมาพบกัน ในวันที่พวกเธอมีอายุครบ 16, 26 และ 36 ปี ด้วยรอบห่างทศวรรษที่ทำให้คนคนเดียวกันกลับกลายมาเป็น Another Person ตั้งแต่สาวน้อยผู้มีความฝันที่จะผันตัวเองไปเป็นนักร้อง สาวใหญ่ที่ต้องยอมทิ้งความฝัน หันไปประกอบอาชีพที่มั่นคง และผู้ใหญ่ที่ชีวิตเหมือนกำลังดิ่งสู่ขาลงจนต้องสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า ที่ผ่านมาเธอเลือกเส้นทางชีวิตถูกต้องไหม ซึ่งเมื่อทั้งสามสาวโคจรลัดเวลามาพบหน้ากัน มันจึงเกิดเป็นบทสนทนาที่แสนจะกินใจ เมื่อฝ่ายเยาว์วัยก็อยากจะรู้ว่า อนาคตข้างหน้าของเธอเป็นอย่างไร ในขณะที่ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เผลอลืมไปหมดแล้วว่า เคยให้คำสัญญาใดไว้กับตัวเองบ้าง! 


เรื่องราวหลักใน Me, Myself & I จึงปลุกสร้างจินตนาการให้ผู้ชมทุกรายได้หวนระลึกถึงตัวเองเมื่อครั้งยังเยาว์วัย อดไม่ได้ที่จะลองสมมติว่า ถ้ามีโอกาสพบหน้า ‘ข้าพเจ้า’ เมื่อครั้งยังอ่อนเยาว์ เรามีอะไรในใจอยากจะบอกให้พวกเขาได้รู้บ้าง ซึ่งละครเพลงเรื่องนี้ก็วางบทบาทของตัวละครทั้ง 3 วัยได้อย่างชวนให้ปวดหัวใจ แต่ละคนก็ล้วนมีปัญหาอุปสรรคใหญ่ในแต่ละช่วงวัยที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละฝ่ายก็ทำได้แค่เพียงผลัดกันให้กำลังใจกันและกัน เพราะสุดท้ายทุกคนก็ยังต้องก้าวข้ามผ่านคืนวันอันมีแต่คำถามตามเจตนารมณ์ และอุดมการณ์ของตนเองแต่โดยลำพังอยู่ดี แต่ละคำถามที่แต่ละฝ่ายเตรียมมา แต่ละคำตอบที่น่าผิดหวัง ล้วนมีพลังแห่งการเฝ้าทบทวนกระบวนชีวิตในแต่ละช่วงเวลาของตัวเราเอง เป็นเสมือนอีกหนึ่งบทเพลงกวีนิพนธ์ในชุดปรัชญาชีวิต หรือ The Prophet ของ คาลิล ยิบราน (Kahlil Gibran) สะท้อนความคิดอ่านที่มีต่อตัวตนได้อย่างแหลมคม ชวนให้ร่วมค้นหา ยกระดับให้ตัวงานมีความเป็นสากลที่คนดูในวัยผู้ใหญ่ทั้งหลายคงจะร่วมอินและประทับใจไปด้วยได้ไม่ยากนัก 
ในส่วนของเพลงและดนตรีโดยหลักๆ ก็จะมาในแนวทางป็อปร็อกแบบใสๆ Easy-listening อย่าง ‘ดีต่อใจ’ ฟังแล้วติดหู จนพอที่จะรู้ทำนองร้องตามได้ เหมาะสมไปกับเนื้อหาเรื่องราวการเติบโตของหญิงสาวที่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง ทำนองเพลงและการเรียบเรียงเสียงประสานของ ภวินท์ แย้มกลีบ ผู้กำกับ ก็ลำดับแนวการร้องและห้องดนตรีต่างๆ ให้นักแสดงหญิงทั้งสามนาง วางกระบวนฮาร์โมนีทั้งหลายอย่างถึงพร้อมด้วยเส้นสายลายดนตรี โดยแทบไม่มีการร้องโน้ตเดียวกันแบบเสียง Unison เลย
ด้านเนื้อร้องของจันทกรก็บรรจงค่อยๆ เฉลยเรื่องราวให้ผู้ชมได้เห็นรอยบาดแผลภายในของหญิงสาวแต่ละวัย ที่ยังเคารพในหลักฉันทลักษณ์ของงานกวี แม้ว่าจะยังมีการใช้สัมผัสซ้ำ สัมผัสเลือน หรือสัมผัสเรื้อรัง อยู่เป็นบางจังหวะ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับประปราย ไม่ได้ถึงกับสร้างความเสียหายให้กับการแสดงที่แต่งเรื่องราวออกมาได้น่าติดตามยิ่ง
ด้านนักแสดงหญิงทั้ง 3 ช่วงวัย ได้แก่ ชนิสรา ไพศาลดวงจันทร์ (16 ปี) ณิชา รอดอนันต์ (26 ปี) และรักชน พุทธรังษี (36 ปี) แต่ละคนก็มีทักษะในการร้องเพลงระดับที่เชื่อใจได้ ไม่ว่าจะต้องไหลมุดแนวประสานลงไปไลน์ไหน ผสานเสียงกันอย่างแน่นยิบเพียงไร ทุกคนทำได้ในระดับงดงามกำลังพอดี สามารถทำห้องแสดงเล็กๆ ที่ไม่ได้ออกแบบระบบอะคูสติกใดๆ ไว้ ให้สะท้อนทุกสุ้มเสียงและสำเนียงอย่างสมดุลได้ จนไม่ว่าจะเพลงไหน ทำนองใด มันก็ล้วนน่าฟังไปเสียทั้งหมด 
Me, Myself & I จึงเป็นการแสดงเล็กๆ ที่มีมนต์สะกด ถึงพร้อมไปด้วยความสดใหม่ของคนทำละครในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ที่สามารถนำภาวะการค้นหาตัวตนอันมีความเป็นส่วนบุคคล มาเป็นแรงดลใจในการสร้างงานละครเพลงหวานอมขมเรื่องนี้ ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จในช่วงรอบปีแรกของ Poems Dimension ที่ให้สัญญากับผู้ชมไว้ว่า จะเปิดพื้นที่ให้บรรดานักการละครรุ่นใหม่ๆ มีโอกาสได้โชว์ของแสดงผลงานกันต่อไป เชิญชวนให้ผู้ชมทุกท่านได้แวะไปสักเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้กำลังใจกับ ‘อนาคต’ ของวงการละครไทย ที่แต่ละคนล้วน ‘ไฟแรง’ พร้อมสู้แข่งกับเหล่ารุ่นพี่ ผ่านวิถีคิดของคนในกลุ่ม New Generation!




