เชื่อไหม ต่อให้มนุษย์ยุคนี้ไม่มีวิทยาการก้าวหน้าพอที่จะเรียนรู้การทำงานของสมองอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อได้ตั้งเป้าหมายกับตัวเองแล้ว สัญชาตญาณของพวกเราบางคนกลับบอกให้เก็บเป้าหมายนั้นเป็นความลับ

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความกดดัน การเปิดเผยเป้าหมายตัวเองให้ใครรับรู้คงไม่ใช่เรื่องดีนัก โดยเฉพาะเมื่อยังไม่รู้ว่าจะไปถึงเส้นชัยได้จริงหรือไม่ เราจึงมักได้ยินคำว่า ‘ม้ามืด’ (Dark Horse) ที่หมายถึงคู่แข่งที่ไม่มีใครคาดคิด หรือคนที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน

หลายชนชาติในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเชื่อเรื่องนัยน์ตาปีศาจ (Evil Eye) กันอย่างแพร่หลาย ว่ากันว่าหากคิดทำการใหญ่หรือตั้งใจจะทำอะไรให้ดี ไม่ควรแพร่งพรายเป้าหมายและแผนการให้ใครรู้ ต่อให้เป็นญาติสนิทมิตรสหายก็ตาม เพราะดวงตาที่จ้องมองมาด้วยความริษยาในยามที่เราไม่รู้ตัวนั้นสามารถดึงดูดโชคร้ายมาสู่ตัวเราได้ เชื่อกันว่าผู้ถูกมองอาจได้รับบาดเจ็บหนักหรือประสบเคราะห์กรรมขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

อาจฟังดูงมงาย แต่สัญชาตญาณที่ก่อร่างสร้างเป็นความเชื่อลักษณะนี้ส่วนมากไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์คิดไปเอง แต่มาจากประสบการณ์ร่วมที่เดิมทีไม่มีชื่อเรียกและคำอธิบาย ภายหลังเราจึงมอบทั้งชื่อเรียกและคำอธิบายให้มัน พร้อมทั้งกลยุทธ์ป้องกันอย่างเครื่องรางแก้วรูปดวงตาของตุรกีที่เรียกว่า นาซาร์ (Nazar) นั่นเอง

ที่มา: Turkey Cappadocia

ส่วนคำอธิบายทางจิตวิทยานั้นเพิ่งตามมาราว 5,000 ปีให้หลัง ในปี 2009 ปีเตอร์ โกลล์วิตเซอร์ (Peter Gollwitzer) นักวิจัยชาวเยอรมันและศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา New York University (NYU) ค้นพบว่า การประกาศเจตนาหรือเป้าหมายให้ผู้อื่นทราบ สามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนทำตามที่ตั้งใจสำเร็จไปแล้ว (Premature Sense of Completeness) แม้ในความเป็นจริงจะยังไม่เริ่มทำอะไรเลยก็ตาม

โกลล์วิตเซอร์อยากรู้ว่า การตั้งปณิธาน (Resolution) ส่งผลต่อพฤติกรรมของเรามากน้อยเพียงใด จึงทำการทดลองโดยมีนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ของ NYU เป็นผู้เข้าร่วม ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ชี้ชัดคือ นักศึกษาที่เคยประกาศกร้าวหรือรับปากกับนักจิตวิทยาเป็นมั่นเหมาะว่าจะตั้งใจเรียน กลับเป็นกลุ่มที่ล้มเลิกความตั้งใจไปค่อนข้างไว แต่นักศึกษาคนใดที่เก็บความตั้งใจนั้นเอาไว้ มีแนวโน้มจะทำสำเร็จมากกว่า

ผลสำรวจของ Opinion Corporation ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันซึ่งพบว่า แม้จะมีชาวอเมริกันถึง 45% ที่ตั้งปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolutions) กันตามเทรนด์สังคม แต่ในจำนวนนั้นกลับมีแค่ 8% เท่านั้นที่เดินตามเป้าได้สำเร็จ 

ฉะนั้นหากคุณไม่มั่นใจว่าจะทำได้ อาจถึงเวลาที่ต้องลองทบทวนกับตัวเองใหม่ว่า จะจัดการกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างไร และที่สำคัญคือคุณจะพูดถึงเป้าหมายกับใครได้บ้าง 

ทำไมยิ่งบอกเป้าหมายกับใคร ยิ่งมีแนวโน้มจะทำไม่สำเร็จ

หากคิดตามหลักเหตุและผลแบบซื่อๆ การป่าวประกาศความตั้งใจออกไป ควรเป็นหลักฐานมัดตัวที่ช่วยสร้างแรงกดดันทางสังคม ทำให้เรารู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย เพราะไม่อยากรู้สึกขายขี้หน้าใคร

แต่น่าแปลกที่ผลการสำรวจวิจัยสมัยใหม่กลับบอกตรงข้าม

การคิดถึงเป้าหมายของตัวเอง ตลอดจนการรับรู้ถึงความก้าวหน้าแม้เพียงเล็กน้อย สามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้เราได้จริง แต่หากต้องการให้ความรู้สึกเหล่านั้นมีพลังมากพอ ที่จะผลักดันตัวเองให้ไปถึงเส้นชัย ระบบรางวัลในสมองจำเป็นต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นช่วงๆ ไม่ใช่การปล่อยความรู้สึกเชิงบวกทั้งหมดให้ทะลักออกมาในคราวเดียว 

แม้กลไกในสมองของมนุษย์จะน่าทึ่งเพียงใด แต่สมองไม่อาจคิดวิเคราะห์คำนวณความจริงอย่างมีเหตุผลได้ตลอดเวลา เมื่อไรก็ตามที่เราได้โอ้อวดเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ด้วยแพสชันอันพลุ่งพล่าน สมองจะถูกหลอกให้คิดว่า เราได้บรรลุเป้าหมายไปแล้ว และค่อยๆ ลดการทุ่มพลัง ความพยายาม และแรงจูงใจไปโดยไม่รู้ตัว

หนึ่งปัจจัยสำคัญที่คอยขัดขาเราในระยะดังกล่าวคือ การที่ผู้อื่นเข้ามาแสดงการยอมรับหรือกล่าวชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘เก่งมาก’ หรือ ‘มีศักยภาพมากพอที่จะทำสำเร็จ’ เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้สมองจะตอบสนองด้วยการหลั่งโดปามีนแทบทันที และยิ่งคนฟังสรรเสริญเยินยอเรามากเท่าไร โดปามีนก็จะหลั่งมากขึ้นเท่านั้น 

นั่นก็หมายความว่า เรายิ่งมีแนวโน้มจะลงมือทำสิ่งต่างๆ น้อยลง เพราะได้ความสุขจากการได้รับการยอมรับ เข้ามาทดแทนความสุขจากการไปถึงเป้าหมายโดยที่เราอาจไม่รู้ตััว 

ถ้าอย่างนั้น เราควรทำอย่างไรกับเป้าหมายของตัวเองกันแน่

แน่นอนว่าคงไม่ใช่การเก็บแผนการทุกกระเบียดนิ้วของชีวิตเป็นความลับสุดยอด เพราะฟังดูทำไม่ได้จริงสักเท่าไร เทคนิคที่นำไปทำได้จริงประการหนึ่งมาจากงานวิจัยอีกชิ้นที่โกลล์วิตเซอร์ทำร่วมกับ ปาสคาล ชีแรน (Paschal Sheeran) นักจิตวิทยาสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งพิสูจน์ว่า การผลักดันเป้าหมายให้สำเร็จลุล่วงอาศัยปัจจัย 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

  1. เจตนาของเป้าหมาย (Goal Intention) หมายถึง แรงจูงใจเบื้องหลังเป้าหมาย ลองนั่งคิดกับตัวเองให้ดีว่า เราตั้งเป้าหมายนี้ไปเพื่ออะไร เพราะต่อให้วางแผนดีแค่ไหน แต่หากความรู้สึกส่วนนี้ไม่แข็งแรงพอ ผู้ตั้งเป้าย่อมมีโอกาสจะล้มเลิกได้ง่าย

  2. เจตนาจะลงมือทำ (Implementation Intention) หมายถึง การตั้งกรอบให้ตัวเองอย่างเฉพาะเจาะจง มีการวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน และอย่างไรบ้าง คณะวิจัยตั้งชื่อเล่นให้กับแผนรูปแบบนี้ว่า แผนการแบบ ‘ถ้า… งั้นฉันจะ…’ (If-then) ซึ่งเมื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เราสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด แต่ต้องมีวินัย เช่น 

“ถ้าประชุมเย็นนี้ยาวเกินไป จนทำให้เข้าคลาสออกกำลังกายตอน 6 โมงเย็นไม่ทันจริงๆ ฉันขอยืนยันเจตนาจะพัฒนาตัวเองด้วยการไปเดินเร็วในละแวกบ้านให้ได้ 3 กิโลเมตรแทน”

ข้ออนุมานนี้ ชีแรนกับโกลล์วิตเซอร์ได้มาจากการทดลองโดยจัดแบ่งนักศึกษาเป็น 2 กลุ่ม โดยมอบหมายให้แต่ละกลุ่มแก้โจทย์คณิตศาสตร์หน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่ตั้งค่าให้เล่นวิดีโอรบกวนเป็นระยะ กลุ่มแรกจะกำหนดเพียง Goal Intention คือ ‘ห้ามว่อกแว่ก’ 

ขณะที่อีกกลุ่มนอกจากกำหนดเป้าหมายแล้วยังกำหนด Implementation Intention หรือความตั้งใจเอาไว้ด้วยว่า ‘พอคลิปวิดีโอเล่น ไม่ต้องสนใจ ให้ตั้งสมาธิแล้วหันกลับมาโฟกัสที่โจทย์’ ผลเป็นอย่างไรคงเดากันได้ไม่ยาก แน่นอนว่ากลุ่มที่ 2 มีความจดจ่อกับโจทย์มากกว่ากลุ่มแรก

ฉะนั้น หากต้องการพูดคุยวางแผนอนาคต และบอกเป้าหมายชีวิตของเรากับใครสักคน ขอให้มั่นใจว่าคุณ

  1. พูดในจังหวะที่ใช่ อย่าด่วนได้ใจเร็วรีบพูดทั้งที่ยังไม่แน่ใจ 

  2. พูดในเชิงกระบวนการที่ผ่านการคิดมาแล้ว พยายามอย่าพูดแค่คอนเซปต์กว้างๆ ว่า “ฉันจะลดน้ำหนัก” แต่ตีกรอบเอาไว้ให้ชัดเจนด้วย เช่น จะออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน และจะไม่อดอาหาร แต่หันมาใส่ใจอาหารการกินมากขึ้นแทน

  3. พูดกับผู้ฟังที่เราไว้ใจและจริงใจกับเราเท่านั้น ถ้าให้ดี ควรเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัยไม่ออกปากชมหรือให้กำลังใจส่งๆ ที่สำคัญคือไม่เอาเป้าหมายส่วนตัวของเราไปเล่าให้ใครฟังง่ายๆ ต่อให้จะเป็นการเล่าด้วยเจตนาชื่นชมก็ตาม

  4. ไม่พูดเปล่า แต่ตั้งปฏิทินย้ำเตือนตัวเองเป็นระยะ พร้อมติดตามผลลัพธ์ด้วยว่า เรากำลังเดินไปข้างหน้าอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่

อ้างอิง

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15574664/ 

https://link.springer.com/article/10.1007/s11031-010-9197-2 

https://sloanreview.mit.edu/article/announcing-plans-may-kill-motivation-productivity 

https://www.psychologytoday.com/sg/blog/neuroscience-in-everyday-life/201801/why-sharing-your-goals-makes-them-less-achievable 

Tags: , , , , , , , , , ,