จนถึงวันนี้ ผ่านสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้าวันที่ 5 สถานการณ์ก็ยังสับสนอลหม่าน ยังไม่มีการจัดพื้นที่นำข้าวของ เครื่องอุปโภคบริโภค เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยอย่างเหมาะสม ปล่อยให้ประชาชนที่เผชิญเหตุอยู่บนชั้น 2 หรือบนหลังคาบ้าน ต้องเผชิญโชคชะตาด้วยตัวเองไปตามยถากรรม
ทั้งที่มีข้อแนะนำจากหลายฝ่ายว่า วิธีการที่ถูกต้องที่สุดก็คือการรวบรวมข้อมูลผู้อพยพไว้ที่จุดศูนย์กลาง โดยใช้ AI คัดกรอง จากนั้นจัดเจ้าหน้าที่ ร่วมกับอาสาสมัครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าพื้นที่ตามโซน หากเป็นผู้สูงอายุและเด็กก็อพยพออกจากพื้นที่ หากใครยังอยู่เฝ้าบ้านได้ก็ส่งข้าว ส่งน้ำไปดูแล
ทั้งหมดนี้ต้องมี ‘ผู้บัญชาการเหตุการณ์’ รวมศูนย์จุดเดียว มีศูนย์สั่งการแบบ Single Command เพื่อแบ่งโซน รวบรวมข้อมูล จัดคนลงพื้นที่ ช่วยอพยพคน ช่วยลำเลียงอาหาร น้ำ และยารักษาโรค ไปยังพื้นที่ประสบภัย
แต่คำถามดังๆ ก็คือ ณ วันนี้ Single Command อยู่ที่ไหน เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ มี Single Command เกิดขึ้นแล้วราว 3 จุด
จุดหนึ่งคือที่ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มอบให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 24พฤศจิกายนที่ผ่านมา อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ถัดจากนั้นอีก 1 วัน เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น นายกฯ ก็ตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.ส่วนหน้า) โดยให้ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อบูรณาการกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรจากเหล่าทัพ ส่วนราชการ และเอกชนเข้าไว้ด้วยกัน
และในเวลาเดียวกันก็ยังตั้ง ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) ตั้งอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ในการเป็นศูนย์บูรณาการ
คำถามฉับพลันคือ ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะรู้หรือไม่ว่า หน่วยงานราชการที่อยู่นอกการบังคับบัญชาทำงานอย่างไร มีภารกิจอะไร เครื่องไม้เครื่องมืออยู่ที่ไหน
อีกคำถามคือ หาก ‘ผู้กองธรรมนัส’ จะสั่งการข้ามไปยังหน่วยทหาร ข้ามไปยังหน่วยงานอื่นของกระทรวงมหาดไทย จะมีใครฟังและทำตามหรือไม่
และวันนี้ล่วงเข้าวันที่ 5 ของสถานการณ์วิกฤต จะต้องฟังคำสั่งจากศูนย์ไหนเป็นศูนย์กลาง เพราะทุกคนแทบมีบทบาทเป็นศูนย์กลางสั่งการทั้งหมด ยกเว้นตัวนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกศูนย์ ศป.กฉ. ยังคงยืนกรานคำเดิมว่า มีคำสั่งให้อพยพแล้ว แต่ประชาชนไม่ยอมออกจากพื้นที่เอง…
อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือ ‘ข้อมูล’ สิ่งนี้สะท้อนชัดตั้งแต่วันแรกหลังฝนตกยาวนานต่อเนื่องว่า ไม่มีใครรู้ว่าน้ำฝนที่สะสมด้านเขาคอหงส์จะส่งผลกระทบต่อทั้งคลองอู่ตะเภา และคลอง ร.1 จนล้นทะลักท่วมเข้าเมืองหาดใหญ่ แม้แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ไม่รู้
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อมีเพจเตือนว่า ฝนจะถล่มอย่างหนักจนส่งผลกระทบกับเมือง เพจตรวจสอบข่าวปลอมของรัฐก็ระบุว่าเป็นข่าวปลอม เมื่อหมอโรงพยาบาลหาดใหญ่ ขอรับบริจาคข้าวกล่องให้ผู้ป่วย เพจกระทรวงสาธารณสุขก็บอกว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’ ทั้งที่ไม่รู้ว่าหน้างานจริงเป็นอย่างไร
แปลว่าอะไรก็แล้วแต่ที่จะส่งผลลบกับรัฐบาล เป็น ‘ข่าวปลอม’ ทั้งหมด เป็นเช่นนี้ตลอดตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 เรื่อยมาจนถึงวันนี้…
อันที่จริง สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ หน่วยงานที่ควรจะมีบทบาทอย่างยิ่งคือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งตั้งขึ้นหลังมหาอุทกภัยในปี 2554 แก้ปัญหาการมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ‘น้ำ’ หลายหน่วย มารวมศูนย์ไว้ที่จุดเดียว
แต่ ณ เวลานี้ สทนช.แทบไม่มีบทบาทใดๆ ทั้งที่มีข้อมูลสำคัญเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำฝน ทางระบายน้ำ เรื่อยไปจนถึง ‘ระบบเตือนภัยล่วงหน้า’ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญในวิกฤตรอบนี้
ยิ่งผ่านวิกฤตต่อไป ข้อสำคัญที่สะท้อนก็คือ
1. รัฐบาล ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับวิกฤตในระดับนี้ ไม่ว่าจะระดับนายกฯ รองนายกฯ หรือรัฐมนตรี ล้วนแล้วแต่มีปัญหาเรื่องการสั่งการ การตัดสินใจ ทั้งตัดสินใจพลาด และไม่กล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะตัวนายกฯ ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่เข้าใจระบบราชการ ซึ่งเป็นองคาพยพในเรื่องนี้เพียงพอ เมื่อเกิดเหตุจริง ทุกอย่างจึงอลหม่านไปทั้งหมด
2. ระบบราชการที่ใหญ่โต เทอะทะ ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนกับระดับปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้ ทั้งที่ในปี 2568 ที่เรามีทั้งเทคโนโลยี AI, ระบบ Dashboard, ระบบข้อมูลฝนสะสมจากเรดาร์, การพยากรณ์ล่วงหน้าแบบ 72 ชั่วโมง และระบบเตือนภัยรูปแบบ Global Standard แต่เครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้จริง
3. ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่รอบนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากรัฐล้มเหลว ฝนตกหนักเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่รัฐไม่รู้ว่าฝนหนักแค่ไหน ตกนานเท่าไร น้ำจะไหลมาจากทิศไหน และเมืองจะท่วมตรงไหน ทั้งที่ข้อมูลมีครบคือความล้มเหลวของรัฐโดยสมบูรณ์ ที่แย่กว่าคือ รัฐยังปฏิเสธข้อเท็จจริงด้วยตรรกะ ‘ข่าวปลอม’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนความเชื่อถือของระบบเตือนภัยที่ควรใช้ชีวิตคนเป็นเดิมพันแทบไม่เหลืออยู่เลย
ในประเทศที่ระบบทำงานดี นายกฯ ต้องเป็น Single Command มี War Room เพียงห้องเดียว มีข้อมูลชุดเดียว มีผู้บัญชาการเพียงคนเดียว และมีแผนงานที่ซ้อมมาแล้วเป็นร้อยรอบก่อนเกิดเหตุ
แต่ในประเทศไทยวันนี้ เรามีทุกอย่างยกเว้น ‘ผู้นำ’ ที่ ‘กล้านำ’ จนต้องกลับไปพึ่งทหาร ทั้งที่นี่ควรเป็นภารกิจพลเรือน แน่นอนว่าวิกฤตใหญ่ๆ เช่นนี้ จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และจะเกิดขึ้นอีก ปัญหาโลกรวน จะทำให้ภัยธรรมชาติถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยน ระบบราชการไม่ปรับ ผู้นำยังไม่กล้านำ คนที่รับกรรมวันนี้ ก็จะเป็นประชาชนที่อยู่บนหลังคาบ้าน ไม่ต่างอะไรกับเมื่อ 10 ปีก่อน
วิกฤตหาดใหญ่จึงไม่ได้เป็นเพียงบทเรียน แต่คือคำเตือนสุดท้ายว่า ประเทศไทยต้องเปลี่ยนวิธีบริหารวิกฤตอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่ภัยครั้งต่อไปจะมาแน่นอน และอาจจะใหญ่เกินกว่าที่รัฐล้มเหลวหน้าตาเช่นนี้จะรับมือได้อีกต่อไป
Tags: หาดใหญ่, น้ำท่วม, น้ำท่วมภาคใต้, มหาอุทกภัย, น้ำท่วมหาดใหญ่, บทบรรณาธิการ




