หากใครได้ดูภาพยนตร์ ‘ตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจร’ ของ อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร ที่เข้าฉายทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนเรียบร้อยแล้ว คงจะเห็นตรงกันว่า ภาพของ อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ในลุคของโจรหนุ่มเชื้อสายจีนเจ้าสำอางเป็นภาพจำที่โดดเด่นในนาทีนี้
ตี๋ใหญ่เวอร์ชันนี้ดูมีรสนิยมดี สะท้อนออกมาจากเสื้อผ้าและข้าวของที่เลือกมาประดับกาย ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ทั้งหล่อ เท่ และเซ็กซี่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสไตล์การแต่งตัวของตี๋ใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญของหนัง เพราะตัวตี๋ใหญ่แทบไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยทั้งเรื่อง และอาโปผู้ซึ่งชื่นชอบในแฟชั่นอยู่แล้วก็ได้มีส่วนร่วมในออกแบบเสื้อผ้าหน้าผมของตี๋ใหญ่ด้วย
“ตอนแรกเราเห็นความเท่จากบทที่พี่อุ๋ยเขียน และได้ฟังเรื่องราวลักษณะนิสัยของตี๋ใหญ่ แล้วเรามีความชอบเรื่องเสื้อผ้า ชอบแฟชั่น เลยบอกพี่อุ๋ยว่า ขอเป็นส่วนหนึ่งในการดีไซน์เสื้อผ้าด้วยได้ไหม เหมือนพี่อุ๋ยเขาเห็นแพสชันในตาเรา เขาก็โอเค เลยดีไซน์เสื้อผ้าจากสิ่งที่ได้ฟังมา เราค่อยๆ เห็นตัวละครลึกเข้าไปเรื่อยๆ มันช่วยให้ความกดดันหายไป นี่คือตี๋ใหญ่ 2568 ในแบบเรา” อาโปเล่า
นอกจากพูดคุยเรื่องแนวคิดการออกแบบกว่าจะมาเป็นสไตล์ของตี๋ใหญ่ อาโปยังเล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังฉากแอ็กชันท้าทายสภาพร่างกาย เพราะต้องถ่ายทำหลังเกิดอุบัติเหตุตกบันไดจนเอ็นข้อเท้าฉีก ทั้งนี้ The Momentum ชวนสนทนาเรื่องความแปลกแยกของตี๋ใหญ่ แรงขับที่ทำให้ต้องเป็นโจร ไปจนถึงชวนอาโปมองย้อนไปยังเส้นทางการเติบโตของตัวเอง จากอาตี๋โตมาในครอบครัวไทยเชื้อสายจีน เข้าสู่วงการบันเทิง จนได้อยู่ในฐานะพระเอกละคร จนกระทั่งหันเหไปเรียนการแสดงที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้ที่เขาประสบความสำเร็จจนได้ขึ้นบิลบอร์ดกลางไทม์สแควร์ 
เสื้อยีนส์ กางเกงขาบาน และแว่นเหลือง
ตี๋ใหญ่-กรประเสริฐ ช่างเขียน เป็นโจรในตำนาน มีชีวิตอยู่ในยุค 70s เรื่องราวชีวิตกับการปล้นฆ่าของตี๋ใหญ่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง สำหรับคนรุ่นพ่อที่ผ่านการดูหนังตี๋ใหญ่มาหลายหน ล้วนรอคอยว่า นักแสดงหนุ่มคนไหนจะมารับบทเป็นตี๋ใหญ่ และจำได้ว่าตี๋ใหญ่ในหนังต้องมีใบหน้าคมคายใส่แว่นดำคลาสสิก ทว่าตี๋ใหญ่ปีนี้หยิบแว่น Ray-Ban Aviator เลนส์สีเหลืองมาสวมใส่เสียอย่างนั้น กลายเป็นข้อถกเถียงถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแบบแว่นตั้งแต่ก่อนหนังจะฉาย
แม้จะขัดกับภาพจำ แต่แว่นเหลืองนี้มีที่มาที่ไปน่าสนใจและสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของตัวละคร
“ตี๋ใหญ่ต้องหนี เคลื่อนย้ายตัวเองตลอดเวลา เขาต้องมองเห็นได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน เราเลยเลือกแว่นเลนส์สีเหลืองซึ่งมองตอนกลางคืนได้ดี เลือกรุ่น Shooter เป็นทรงเหลี่ยมเรียวและหายาก เหมาะกับบุคลิกภาพเขาที่เจ้าสำอาง ต้องใส่ของยูนีก”
อาโปเล่าว่า คนใกล้ตัวของตี๋ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนเล่าว่า ตี๋ใหญ่เป็นคนเจ้าสำอาง นั่นหมายความว่าข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับของตี๋ใหญ่จะต้องถูกคัดสรรมาอย่างดี อาโปจึงไปหารุ่นพี่ที่เก็บสะสมเสื้อผ้าเก่าในยุค 60-80s เพื่อนำมาปรับให้เหมาะกับตัวละคร
“ถ้าตี๋ใหญ่เขาเป็นคนคล่องแคล่ว ปราดเปรียว และสำอาง เราว่าเขาใส่เสื้อยีนส์ดีกว่า เพราะยีนส์ลุยได้ทุกที่ เท่และเซ็กซี่ได้ด้วยถ้าปลดกระดุม ส่วนกางเกงจะเป็นกางเกงผ้า เพราะถ้าเขาลงน้ำหรือเขาวิ่งหนีมันจะแห้งเร็ว ไม่หนักเหมือนกางเกงยีนส์ ขากางเกงจะออกเป็นขาบานหน่อยๆ คล้ายขาม้า แต่จะเล็กมาก ถ้าพับขากางเกงขึ้นมาแล้วเอาไว้ตรงเข่ามันจะบานกว่าเข่านิดหน่อย เป็นโครงสร้างที่พอมองผ่านๆ จะเห็นความช่างเลือกและเซ็กซี่ของตัวละครเลย”
อาโปเลือกให้ตี๋ใหญ่ใส่รองเท้าหนัง ด้วยเหตุผลเดิมคือความทนทาน เพราะต้องพาตัวเองลุยไปทุกหนทุกแห่ง สามารถวิ่งได้ทั้งบนบกและในน้ำ นอกจากนี้ยังเลือกใส่เข็มขัดหัวเล็กและเส้นเล็กเพื่อเพิ่มเสน่ห์ แต่ยังมีความคล่องตัว
“เราคิดว่าจะเพิ่มสไตล์ให้ชัดขึ้นได้อย่างไร ก็คิดว่าไว้หนวดดีกว่า มันก็จะมีความเท่ เข้ม เซ็กซี่และพร้อมลุย” เขาอธิบายในทุกองค์ประกอบ 
เดิมทีอาโปมีภาพการแต่งกายของตี๋ใหญ่ในหัวตัวเอง แต่การออกแบบสไตล์ทั้งหมดของตี๋ใหญ่ไม่ได้อิงจากจินตนาการของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะภาพที่อาโปวาดไว้บังเอิญตรงกับภาพของตี๋ใหญ่ตัวจริง พร้อมเปิดภาพถ่ายของตี๋ใหญ่ที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือให้ดู
“ตอนแรกเราแค่ฟังเรื่องราวของเขา ยังไม่เห็นภาพจริงๆ ซึ่งพี่อุ๋ยทำรีเสิร์ชกับเขียนบทมาดีมาก ทำให้เราจินตนาการง่าย เราก็เห็นภาพเขาในจินตนาการว่าเขาน่าจะแต่งตัวประมาณนี้ ไลฟ์สไตล์แบบนี้ เขาน่าจะใส่เสื้อยีนส์ แล้วพอพี่อุ๋ยเอาภาพมาให้ดู มันตรงกับที่เราจินตนาการไว้จริงๆ ด้วย เขามีความเซ็กซี่ มีความสุภาพอ่อนน้อม ประกอบกับเรื่องราวต่างๆ ที่คนรอบตัวเขาเล่าก็ประกอบสร้างเป็นตัวละครนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่เราคิดเอง จินตนาการไปเอง คือมันมีรากและมีแก่นมาก่อน”
เมื่อเปรียบเทียบกับตัวละครเพื่อนสนิทของตี๋ใหญ่อย่าง ‘ฤกษ์’ (โมสต์-วิศรุต หิมรัตน์) หรือ ‘คิด’ (นนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์) จะเห็นได้ชัดถึงรสนิยมการแต่งกายที่แตกต่างและโดดเด่น เมื่อถามว่าเขาความคาดหวังฟีดแบ็กจากคนดูไว้อย่างไร อาโปก็ตอบพร้อมเสียงหัวเราะ
“อยากให้จดจำแว่นเหลือง ขอให้มีรูปติดหลังรถบรรทุกครับ” 
เมื่อตี๋ใหญ่ถูกตีความใหม่
หากตัดเรื่องตัวตนที่แท้จริงของตี๋ใหญ่ออกไป แล้วมองในฐานะตัวละครเอกที่ถูกนำมาผลิตซ้ำเป็นหนังหลายหน ตี๋ใหญ่ถือว่าเป็นตัวละครในดวงใจที่หลายคนเฝ้ารอ ซึ่งอาโปยอมรับว่าตนเองมีความกดดันกับบทบาทนี้อยู่ไม่น้อย
“ลึกๆ กดดัน เพราะตี๋ใหญ่เป็นตัวละครที่มีภาพจำอย่างชัดเจน ด้วยความที่หน้าเราค่อนข้างจีน ไม่ได้หน้าไทยเท่ากับคนอื่นที่เขาเคยรับบทมา เราต้องคิดว่าเราจะเล่าเรื่องในมุมไหนได้อีกให้น่าสนใจ เลยย้อนกลับไปยังตัวบทว่าพี่อุ๋ยเขาอยากเล่าแบบไหน ต้องบอกว่าโครงบทของพี่อุ๋ยดีมากอยู่แล้ว เราทำแค่เพิ่มความทันสมัยเข้าไป เพื่อให้คนดูเข้าใจง่ายขึ้น”
ที่ผ่านมาแก่นหลักของหนังคือคนเชื่อว่า ตี๋ใหญ่เป็นโจรผู้มีอิทธิฤทธิ์ ร่ายมนตร์คาถาใช้หลบหนีการจับกุมได้ทุกครั้ง แต่ตี๋ใหญ่จากฝีมือของนนทรีย์ถูกตั้งคำถามว่า ตี๋ใหญ่อาจไม่ได้รอดด้วยคาถา หากแต่การอันตรธานของตี๋ใหญ่เป็นมายากลจากเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ จัดฉากและตบตาตำรวจ ทำให้ตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจร เล่าเรื่องในมุมมองใหม่ ทั้งยังกล่าวได้ว่า ตี๋ใหญ่เวอร์ชันล่าสุดคือผลงานที่รักษาสมดุลระหว่างแฟนหนังรุ่นเก่ากับคนดูรุ่นใหม่ เนื่องจากมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่เคยดูหรืออ่านเรื่องราวของโจรผู้นี้มาก่อน จึงเป็นเหตุผลให้อาโปต้องการนำเสนอตี๋ใหญ่ที่ดูร่วมสมัยมากขึ้น
“ปี 2568 ถ้าถามเด็กยุคใหม่ว่ารู้จักตี๋ใหญ่กันไหม คนที่รู้กับไม่รู้อาจมีครึ่งต่อครึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักเขาจะมีมุมมองของเขา เราเข้าใจ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักมาก่อน เขาอาจมองเป็นแค่เรื่องตำรวจจับโจร ไม่น่าสนใจ เราเลยคิดว่าทำอย่างไรให้คนอยากติดตามตัวละครนี้ เราต้องนำเสนอบุคลิกภาพตี๋ใหญ่ที่เขาขึงขัง ปราดเปรียว สำอาง แต่ความจริงเป็นโจร พอเข้ามาดูหนังคนก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมโจรถึงเจ้าสำอางแบบนี้ ทำไมปล้นแล้วหนีรอดทุกครั้ง มันจะเกิดการตั้งคำถามไปเรื่อยๆ อันนี้เลยเป็นความน่าสนใจให้กับคนดูที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน” เขาขยายความ 
ตัวตนตี๋ใหญ่ในสายตาอาโป
การทำงานของอาโปรับผิดชอบภาพลักษณ์ภายนอกของตัวละครเอก พร้อมแสดงเป็นตี๋ใหญ่ในทิศทางใหม่ที่นนทรีย์วางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การนำเสนอตัวละครให้โดดเด่น คือการสำรวจภายในจิตใจ เพื่อให้เข้าใจความคิด และแรงผลักดันซึ่งขับเคลื่อนให้ตัวละครนี้กระทำสิ่งต่างๆ จึงน่าสนใจว่า อาโปมีมุมมองต่อชีวิตตี๋ใหญ่อย่างไร และคิดว่าอะไรคือเบ้าหลอมให้คนหนึ่งเติบโตมาเป็นโจร
เขาจึงเล่าถึงปูมหลังตี๋ใหญ่ที่เติบโตสมุทรสาคร และสภาพแวดล้อมบีบเค้นให้ตี๋ต้องมีทักษะการเอาตัวรอด นอกจากทักษะการว่ายน้ำที่ติดตัวมาเพราะอยู่ติดแม่น้ำ และต้องทำงานขนส่งของ ตี๋ใหญ่ยังโดยรุมทำร้ายหลายครั้ง ยากที่ชายหนุ่มวัยรุ่นจะอดทนอดกลั้นได้
“เราว่าด้วยความที่เขารักพ่อแม่ ลึกๆ เขามีจิตใจอ่อนโยน แต่ว่าเขาอยากเป็นใหญ่เป็นโตมากขึ้น อยากเลี้ยงดูครอบครัวได้เลยยิ่งทำให้เขาทะเยอทะยาน พอเขาได้มีโอกาสมาทำงานใน กทม. เข้าไปอยู่ในถิ่นคนกรุงที่เป็นตลาด เป็นกลุ่มคนทำงาน สมัยนั้นเด็กคนหนึ่งที่เขาผิวขาวใส หน้าตี๋ คนกรุงก็จะมองว่าไอตี๋หน้าขาวนี่มันทำอะไร เขาก็จะรู้สึกว่าเราไม่เข้าพวก แล้วเขาโดนรุมทำร้าย เพราะว่าเขามีจุดยืนที่เขาคิดว่ามีสิทธิอยู่ตรงนี้ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นพวกใคร
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทำร้าย พอโดนบ่อยมันกดดันให้เขาต้องสู้ พอสู้ก็เลยเถิดเป็นทำร้ายคน ฆ่าคน จนกลายเป็นโจร เริ่มเข้าสู่เส้นทางนี้ไปแล้ว โดนคนตราหน้าว่าเป็นโจรก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว บวกกับที่เขามีทักษะเอาตัวรอด มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ ยิ่งเป็นยุคที่ยังไม่มีโซเชียลฯ ข่าวสารบ้านเมืองช้า เขาเลยหนีรอดได้เรื่อยๆ” เล่าถึงตี๋ใหญ่ในมุมมองของตัวเอง 
ฉากแอ็กชันที่ถ่ายทำตอนบาดเจ็บ
ตี๋ใหญ่เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากบู๊ อาโปเล่าว่าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา แต่ความยากคือร่างกายเขาไม่ได้แข็งแรงเต็มร้อย เพราะหากใครยังจำได้ว่า อาโปเคยประสบอุบัติเหตุตกบันไดที่ประเทศฝรั่งเศสจนเอ็นข้อเท้าฉีก ทำให้ภาพของเขาที่ใส่สูทนั่งรถเข็นวีลแชร์เข้าร่วมงานกาลาดินเนอร์ของแบรนด์ Piaget กลายเป็นไวรัล หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจร โดยขาของอาโปยังไม่หายดีนัก นี่จึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการทำงาน
“ด้วยความที่เราอยู่กับหนังแอ็กชันมานาน เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่มาก แต่แตกต่างตรงที่ช่วงนั้นเราข้อเท้าพลิกที่ฝรั่งเศส พอกลับมาไทยเราก็ต้องถ่ายทำเลย เป็นถ่ายฉากที่เรากลิ้งหน้ารถ ความยากคือเราจะทำอย่างไรให้มันลื่นไหล แต่เป็นความสนุกสนานของการแอ็กชันแล้วขาเจ็บ ตอนถ่ายเราให้นักกายภาพกับทีมแพทย์มาดูแลอย่างใกล้ชิด ถ่ายเสร็จดูแลตลอดเวลา”
แม้จะคุ้นเคยกับฉากแอ็กชัน แต่เขาเล่าถึงความแตกต่างจากการทำงานที่ผ่านมาว่า ทีมงานเรื่องนี้หายใจเป็นจังหวะเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อเข้าฉากแอ็กชัน การหายใจของตากล้อง ทีมสตันต์แมน และนักแสดง เป็นจังหวะเดียวกัน
“ความเจ๋งคือทุกคนตั้งใจและหายใจจังหวะเดียวกัน เพราะทีมงานเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับหนังแอ็กชัน สมมติเราตีลังกา ตากล้องเขาก็หายใจจังหวะเดียวกับเรา คือทุกคนจะสัมพันธ์กัน แล้วพอเป็นแบบนี้กันทั้งกอง การถ่ายหนังเรื่องนี้เลยสนุกมาก” 
เมื่อถามว่ามีฉากไหนที่อาโปประทับใจไหม เขาจึงพูดถึงฉากแรกที่เปิดเรื่อง
“ชอบฉากบนรถไฟ ตอนตี๋ใหญ่ถูกส่งตัวจากเชียงใหม่แล้วต้องหนีจากรถไฟ ความน่าสนใจคือเราจะได้เห็นสิ่งที่ตัวละครถ่ายทอดออกมา แล้วทำให้เราจดจำตัวละครได้ จำได้ว่าเขากำลังสื่อสารอะไร ไม่ใช่แค่เพราะตัวละครมีภาพลักษณ์ดูดี
แล้วพอถ่ายบนรถไฟ ฉากหลังมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปลว่ามีความเข้มข้น มีความกดดันในการถ่าย ต้องเล่นให้ดีทุกช็อต ถึงเอาไปเลือกใช้ได้ ถ้าเล่นได้แต่แบ็กกราวนด์ไม่ได้ มันก็ไม่ทรงพลัง”
อาโปเป็นนักแสดงที่สนุกกับการถ่ายทำ มีแพสชันกับกระบวนการทำงาน เมื่องานสำเร็จลุล่วงก็ทั้งภูมิใจและชื่นชอบกับผลงานของตัวเอง แต่เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าความจริงแล้ว หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้ให้แง่คิดกับคนดูมากนัก
“ตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจร เราไม่ได้บอกว่าผู้คนจะได้แง่คิดอะไร เพราะแง่คิดหรือมุมมองมันเป็นสิ่งที่ผู้คนเขาจะตีความจากประสบการณ์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องนี้เราไม่ได้เป็นตำราในการสอน เราขอแค่ให้ผู้คนได้ดูแล้วสนุกก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งที่อยากให้คนได้จดจำคือความสนุก มันคือการใช้ชีวิต คือความมัน คือความบันเทิงอย่างแท้จริงที่เป็นแกนหลักของการนำเสนอของภาพยนตร์” อาโปกล่าว 

อาตี๋ผิวแทนในนิวยอร์ก สู่วันที่ขึ้นบิลบอร์ดไทม์สแควร์
คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า อาโปเป็นคนที่มีใบหน้าน่าสนใจ เพราะนอกจากความหล่อด้วยรูปหน้าได้สัดส่วนตามแบบฉบับดารา ใบหน้าลักษณะเช่นนี้ยังทำให้คนฉุกคิดว่า สรุปแล้วเป็นหน้าไทยหรือหน้าจีน
เพราะก่อนหน้านี้อาโปมักถูกพูดถึงว่าเป็นดาราหน้าไทย จากภาพยนตร์เรื่องแมนสรวง (2566) แต่เมื่ออาโปต้องมารับบทเป็นตี๋ใหญ่ แค่ฟังจากชื่อก็พอทราบได้ว่ามีเชื้อสายจีน หลายคนลงความเห็นว่าเขาหน้าตี๋ว่าเหมาะสมกับบท จึงน่าสนใจว่าแท้จริงอาโปมีเชื้อสายอะไร และรู้สึกอย่างไรกับการถูกนิยามเรื่องรูปลักษณ์แบบนั้น
“จริงๆ เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แล้วจีนค่อนข้างเยอะกว่ามาก แต่แค่เป็นจีนที่ชอบอาบแดด มันเลยกลายเป็นไอตี๋ผิวแทนแค่นั้นเอง อาโปเติบโตมากับครอบครัวจีน อยู่กับอากง อาม่า ก็ไหว้เจ้า ไหว้เทพ ไหว้เหล่ากงเหล่าม่า กินฮู้เผา จีนเข้มข้นสุดๆ ก็แล้วแต่คนตีความว่าอันนี้ไทย อันนี้จีน แต่สุดท้ายแล้วเราเป็นอะไรก็ได้คนดูมีความสุข”
อาโปกล่าวต่อไปอย่างติดตลกว่า หากเจาะเลือด แขนข้างหนึ่งเป็นเลือดจีน แต่อีกข้างหนึ่งคงเป็นเลือดไทย ก่อนจะวิเคราะห์ว่าตนเองอาจดูหน้าไทยเพราะการแต่งหน้าเสียมากกว่า
“เราคิดว่าหน้าไทยเพราะการแต่งหน้า เราจะใช้พี่ช่างแต่งหน้าคนเดิมตลอด คุยว่าวันนี้จะแต่งหน้าสไตล์ไหน เช่น ไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย ก็อยากดูเข้มๆ เป็นอาหรับหน่อย เมกอัปสร้างได้ แต่พอลบหน้ามาก็เป็นไอตี๋ตระกูลตั้งเหมือนเดิม” 
วันนี้ไม่สำคัญว่าอาโปจะหน้าไทยหรือหน้าจีน เพราะอย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาได้อยู่บนบิลบอร์ด ย่านไทม์สแควร์ นิวยอร์ก ในฐานะนักแสดงที่น่าภาคภูมิใจของประเทศไทย ซึ่งเขายิ้มและบอกว่าเดี๋ยวโอกาสจะแวะไปถ่ายภาพกับบิลบอร์ด
เพราะนิวยอร์กเป็นเมืองที่เขาผูกพัน เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ตอนพักจากวงการบันเทิงแล้วบินไปเรียนการแสดง เมื่อในวันนี้มีภาพของเขาโชว์อยู่ในที่แห่งนั้นจึงชวนให้นึกถึงวันวาน
“ตอนนั้นเราไปโดยที่เราไม่มีคอนเนกชันอะไร แต่ต้องบอกว่านิวยอร์กเหมือน Melting Pot ที่คนทั่วโลก ทุกชาติ ทุกภาษามารวมกัน เราเลยไม่ได้รู้สึกแปลกแยกขนาดนั้น เหมือนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งในโลกใหญ่ แต่ทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กลงและตัวคนเดียว เพราะสมัยเราอยู่ไทย ไปไหนมาไหนคนจะรู้จักเราว่านี่คือพระเอกนะ อาโปคือดารา แต่พอไปที่นั่นเราคือมนุษย์คนหนึ่ง แค่เด็กตี๋คนหนึ่ง ซึ่งพอไม่มีใครรู้จักเรา ก็สนุกไปอีกแบบ เราสามารถตัดสินใจทำอะไรได้ง่าย ได้ค้นหาตัวเราจริงๆ ว่าเราคือใคร เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราทำอะไรเป็นบ้าง” อาโปเล่าความทรงจำ 
เส้นทางหลังเข้าเส้นชัย
ในวันนี้ชื่อของอาโปเป็นที่รู้จักในระดับโลก หลายคนมองว่าเขาวิ่งเข้าเส้นชัยและประสบความสำเร็จ เส้นทางที่เขาเดินอยู่ตอนนี้อยู่เส้นชัยเป็นทางราบเรียบโรยด้วยกลีบดอกไม้ คำถามสำคัญคือ เขามองว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง
“รู้สึกประสบความสำเร็จมานานมากๆ แล้ว ตั้งแต่ตอนเล่น KinnPorsche The Series ในขณะทำงานแสดงมันน่าสนใจมากกว่าที่เคยทำมาในชีวิต เลยคิดว่าอันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ตอนได้เห็น KinnPorsche The Series ออนแอร์ รู้สึกว่านี่คือเราตัวจริงในฐานะนักแสดง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมดเลย นี่สินะที่เขาเรียกว่าการแสดง เราเป็นตัวละครจริงๆ เราได้เป็นอาโปคนใหม่ ภูมิใจที่เราได้มีผลงานแบบนี้ในชีวิต”
แม้ทุกคนจะรู้จักอาโป แต่มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มว่าความดังของอาโปมาจากกระแส มากกว่าความสามารถด้านการแสดง แล้วนักแสดงคนนี้มองประเด็นนี้อย่างไร
“สำหรับตัวเราคิดว่า ดังแบบไหน ดังอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับผลงานที่เรากำลังทำอยู่ เพราะในวันนี้เรามีโอกาสได้เจอกันแล้วสมมติเราดังจากอะไรไม่รู้ แต่อย่างน้อยวันนี้เขารู้จักเราแล้วตามกลับไปดูผลงานต่างๆ เขาจะรู้ว่าเราเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราเลยให้ความสำคัญกับทุกงานที่ทำ ไม่ได้คิดเลยว่างานไหนเล็กหรือใหญ่”
เขากล่าวอย่างอ่อนน้อม ก่อนกล่าวทิ้งท้ายถึงแฟนๆ หรือใครก็ตามที่ติดตามผลงานของเขา
“ขอบคุณมาก เราว่านี่เป็นคำที่ทรงพลังที่สุด ขอบคุณที่สนับสนุนกันมาเสมอ ไม่ว่าจะใครก็ตาม เพราะสมมติคนดูผลงานเราอย่างตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจรแล้วสนุก เขาก็จะแชร์ให้เพื่อน เพื่อนก็สนุกด้วย มันก็จะเป็นการส่งต่อพลังให้กันต่อไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย มันจะกลายเป็นสังคมที่เจ๋งมาก เราเลยขอบคุณทุกคนมากๆ” อาโปขอบคุณทิ้งท้าย
Tags: อาโป, Netflix, Apo, นนทรีย์ นิมิบุตร, Nattawin Wattanagitiphat, The Frame, Tee Yai: Born To Be Bad, Apo Nattawin, อาโป ณัฐวิญญ์, ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์, ตี๋ใหญ่ ฤกษ์ ดาว โจร, ตี๋ใหญ่



