[รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบรรณาธิการ Cofact และ The Momentum ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568] 

ทันตแพทย์หญิงศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หยิบยกเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทย-สหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน ของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุน (Memorandum of Understanding between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘MOU แรร์เอิร์ธ’ มาหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่า รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้โดยลับหลัง ปิดบังประชาชน

“พวกเรามารับฟังรายละเอียดการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทยเสียอีก” ศรีญาดาระบุ

ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum ตรวจสอบแล้วพบว่า รัฐบาลอนุทินไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงนามและรายละเอียดของ MOU แรร์เอิร์ธตามที่ศรีญาดากล่าวจริง สาธารณชนและสื่อมวลชนรู้ว่าจะมีการลงนาม MOU ฉบับนี้จากการแถลงของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพียงไม่กี่นาทีก่อนการลงนาม

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของ MOU ฉบับนี้หลังการลงนามเสร็จสิ้น แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยเผยแพร่คำแปลอย่างไม่เป็นทางการของ MOU เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 หรือกว่า 1 สัปดาห์หลังการลงนาม

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 34 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ศรีญาดาลุกขึ้นหารือที่ประชุมเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจว่า ด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน ของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุน ระหว่างนายกฯ ของไทยและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

ศรีญาดาอภิปรายเรื่องนี้ใน 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกกล่าวหาว่า รัฐบาลปิดบังและไม่โปร่งใส่ในการลงนาม 

“ท่านนายกฯ ได้นำข้อตกลงที่มีความสำคัญระดับโลก นำเข้าสู่ ครม.นัดพิเศษโดยไร้การชี้แจงตั้งแต่ต้น ทั้งๆ ที่ในวันที่ 26 ตุลาคมซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ท่านลงนามในปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ท่านได้มีโอกาสสื่อสารกับสาธารณะอย่างเปิดเผย แต่ท่านเลือกที่จะชี้แจงอย่างละเอียดเพียงแค่เรื่องกัมพูชาเท่านั้น ส่วนพวกเรามารับฟังรายละเอียดการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทยเสียอีก” สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยระบุ

ขณะที่ประเด็นที่ 2 เธอตั้งคำถามว่า การลงนาม MOU ฉบับนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนหรือไม่

“ตามรัฐธรรมนูญแรร์เอิร์ธคือสินทรัพย์ที่เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ เป็นศักยภาพของประเทศ การให้ความร่วมมือในการสำรวจและส่งเสริมการลงทุน ย่อมเข้าข่ายหนังสือสัญญาอื่นที่อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติตามมาตรา 178 วรรค 3 หรือไม่” ศรีญาดากล่าว และถามย้ำว่า “MOU ฉบับนี้ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรก่อนหรือไม่”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ประเด็นที่ 1: รัฐบาลปิดบังและไม่โปร่งใส่ในการลงนาม ประชาชนรู้รายละเอียดการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธจากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทย

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยภารกิจของนายกฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียว่า ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 อนุทินจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน, การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง, พิธีมอบรางวัลอาเซียน, พิธีลงนามเอกสารรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน, เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อกระชับความร่วมมือในประเด็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค และเข้าร่วมพิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยมีนายกฯ มาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน

โดยคืนวันที่ 25 ตุลาคม หลังจากอนุทินเดินทางถึงประเทศมาเลเซียให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกำหนดการพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า จะลงนามในสัญญาทางการค้า การพิจารณาอัตราภาษี ความร่วมมือทางการค้า ความมั่นคง รวมถึงประเด็นเรื่องสแกมเมอร์ และจะเชิญประธานาธิบดีสหรัฐฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้กล่าวถึง MOU แรร์เอิร์ธแต่อย่างใด

ในเช้าวันที่ 26 ตุลาคม อนุทินไลฟ์ผ่าน Facebook ส่วนตัวก่อนร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการลงนามในถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางการสร้างสันติภาพ โดยยืนยันว่าจะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ ซึ่งในการไลฟ์ครั้งนี้นายกฯ ไม่ได้กล่าวถึงการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ อีกเช่นกัน

ต่อมาเวลา 11.35 น. ของวันเดียวกัน Facebook และ YouTube ของทำเนียบขาว ‘The White House’ ถ่ายทอดสด พิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมแนวทางสันติภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งมี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ผู้นำของมาเลเซีย และผู้นำสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน

โดยก่อนการลงนามทรัมป์แถลงตอนหนึ่งว่า “ในวันนี้ นอกจากปฏิญญากำหนดแนวทางสันติภาพฉบับนี้แล้ว เรายังลงนามข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญกับกัมพูชาและลงนามในข้อตกลงว่าด้วยแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับประเทศไทยด้วย”

อนุทินออกมาแถลงเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากอันวาร์และฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกฯ กัมพูชา โดยอนุทินกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพไทย-กัมพูชา

“นอกจากนี้ เราจะลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” อนุทินกล่าว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยถึงการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ 

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 12.45 น. เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน และราว 2 ชั่วโมงหลังจากนั้นก็เผยแพร่เอกสารสรุป (Fact Sheet) ภารกิจของผู้นำสหรัฐฯ ในการเยือนมาเลเซีย ซึ่งในนั้นคือการลงนามบันทึก MOU ว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากกับไทย 

นอกจากคำแถลงของอนุทินก่อนการลงนาม ทางรัฐบาลไทยก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOU แรร์เอิร์ธ สื่อไทยหลายสำนักที่รายงานข่าวเรื่องนี้ต่างอ้างอิงเนื้อหา MOU ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของทำเนียบขาว มีเพียง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับ The Standard สั้นๆ หลังพิธีลงนามว่า MOU นี้ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายและไทยจะได้ประโยชน์คือ การเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเรื่องแร่ธาตุสำคัญจากสหรัฐฯ

จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 27 ตุลาคม 2568 เพจ Facebook ‘ไทยคู่ฟ้า’ และเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล จึงเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของอนุทินในเรื่องนี้ว่า “แรร์เอิร์ธแปลว่าแร่ธาตุที่หายาก ซึ่งเป็นศัพท์ที่กว้าง MOU ที่เซ็นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลใดๆ อย่างที่หลายคนคิดเลย มันเป็นการลงนามว่า ทุกวันนี้มีแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้า ลดต้นทุน และทำให้เกิดประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพของสินค้าได้ แต่ถ้าเกิดมีแร่หายากแล้วสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก สหรัฐฯ ก็อยากจะขอมีส่วนร่วมในการร่วมพัฒนา ซึ่งเราก็ยินดี

“อย่างไรก็ตาม มีการระบุไว้ใน MOU อย่างชัดเจนว่า ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรม หลักธรรมาภิบาล และภายใต้กฎระเบียบกฎหมายของไทย ไม่ผิดต่อหลักรัฐธรรมนูญ” อนุทินกล่าว

นายกฯ ยังย้ำว่า วัตถุประสงค์หลักของ MOU ฉบับนี้คือการแสวงหาความร่วมมือ และที่สำคัญคือ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เมื่อถึงเวลาอันควร ดูแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะเดินหน้ากันต่อไป คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็สามารถยกเลิกบันทึกข้อตกลงนี้ได้เลยโดยไม่ต้องรับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

วันที่ 28 ตุลาคม 2568 เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOU ฉบับนี้ว่า มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อคือ เสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานในเรื่องแร่หายาก, ส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล การกู้คืน รวมทั้งการดูแลรักษาแร่หายากทั้งห่วงโซ่อุปทาน, ส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมการสกัด และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาด โดยให้การใช้แร่แรร์เอิร์ธสามารถนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใส โดยให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

เอกนิติยังกล่าวว่า ขอบเขตความร่วมมือตาม MOU ฉบับนี้คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค แนวปฏิบัติสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย และมีกลไกให้เจ้าหน้าที่รัฐของทั้ง 2 ประเทศ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือกฎระเบียบต่างๆ 

ข้อสรุปในประเด็นที่ 1

เมื่อไล่ลำดับเหตุการณ์และการสื่อสารของรัฐบาลในช่วงก่อนและหลังการประชุมสุดยอดอาเซียนพบว่า รัฐบาลอนุทินไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงนามและเนื้อหาของ MOU แรร์เอิร์ธ แต่สาธารณชนได้รับรู้เรื่องนี้จากเว็บไซต์ทำเนียบขาวจริงตามที่ศรีญาดากล่าวในที่ประชุมสภาฯ

การตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน รัฐบาลไม่เคยเปิดเผยว่าจะมีการลงนามใน MOU เกี่ยวกับแร่หายากกับสหรัฐฯ เพียงแต่แจ้งกำหนดการกว้างๆ ว่าจะมีการลงนามใน ‘สัญญาและความร่วมมือทางการค้า’ กับสหรัฐฯ สาธารณชนได้รู้ว่า จะมีการลงนาม MOU ฉบับนี้จากการแถลงของทรัมป์และอนุทินที่ถ่ายทอดสดทางเพจ Facebook และ YouTube ทำเนียบขาวก่อนการลงนามจริงเพียงไม่กี่นาที

หลังการลงนามไม่นานนัก เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของ MOU ทางเว็บไซต์ พร้อมด้วยเอกสารสรุปภารกิจของประธานาธิบดี ซึ่งรวมถึงการลงนาม MOU ความร่วมมือเรื่องแร่หายากกับอนุทินด้วย ขณะที่สำนักโฆษกของรัฐบาลไทยเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ เกี่ยวกับ MOU ฉบับนี้ในวันรุ่งขึ้น คือช่วงบ่ายของวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ซึ่งนายกฯ พยายามลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาแรร์เอิร์ธ มากกว่าที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาของ MOU 

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ ของ MOU ฉบับนี้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 หรือกว่า 1 สัปดาห์หลังการลงนาม

ประเด็นที่ 2: การลงนาม MOU แรร์เอิร์ธต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนหรือไม่

ศรีญาดาตั้งคำถามว่า MOU แรร์เอิร์ธเข้าข่ายหนังสือสัญญาอื่นที่อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 178 วรรค 3 หรือไม่

รัฐธรรมนูญมาตรา 178 ระบุว่า หนังสือสัญญาที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาภายในระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่ได้รับเรื่อง หากมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นไปตามกรณีข้างต้นหรือไม่ ให้อำนาจกับคณะรัฐมนตรียื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอคำวินิจฉัยได้ โดยศาลจะต้องให้คำวินิจฉัยภายใน 30 วัน

MOU แรร์เอิร์ธเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนไปลงนามหรือไม่ ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันและยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า MOU ฉบับนี้เป็นกรอบความร่วมมือที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย จึงไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ 

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่า แม้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่แร่ธาตุหายากเป็นทรัพยากรที่สำคัญและกระบวนการสำรวจและผลิตอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม การลงนามใน MOU ฉบับนี้จึงควรผ่านกลไกของรัฐสภา ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและรับรู้รายละเอียดก่อน

Tags: , , , , , , ,