ถือว่าจบไปอีกยก ในข้อขัดแย้งระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หลังถูกกระพือจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ว่า ระบบสาธารณสุขถึงคราจะล่มสลาย สปสช. อินฟลูเอนเซอร์จุดไฟลาม หวังว่ากระแสปั่นโรงพยาบาลให้ลุกฮือจะ ‘จุดติด’ และนำไปสู่การรื้อโครงสร้าง สปสช.จะเป็นผล

เรื่องนี้อาจได้ผล หากปัญหาทั้งหมดเกิดจาก สปสช.ไม่จ่ายเงิน หากปัญหาทั้งหมดเกิดจาก สปสช.จัดการโรงพยาบาลเหมือนเจ้าหนี้-ลูกหนี้ และหากปัญหาทั้งหมดเกิดจาก สปสช.เป็นตัวกลาง ‘อม’ งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บริหารงานอย่างไม่มีธรรมาภิบาล

แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างนั้น ประเด็นนี้เรื่องใหญ่มีเพียงเรื่องเดียวคือ งบประมาณผู้ป่วยในที่ขอไว้ยังรัฐบาลนั้น ‘ไม่พอ’ และ สปสช.ก็ทำตามระบบบัญชีปกติคือ Re-run ขั้นตอนทางบัญชีเสียใหม่ จ่ายงบประมาณเท่าที่ ‘จ่ายได้’ ไปก่อน แล้วรองบประมาณจากงบกลางมาโปะ ซึ่งก็ถูกต้องตามขั้นตอนทุกประการ 

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชี้แจงว่า เรื่องนี้แก้ปัญหา 3 ระยะ ระยะแรกคือเร่งเคลียร์งบประมาณผู้ป่วยในสำหรับปี 2568 ในส่วนของงบประมาณผู้ป่วยใน 2569 จะจัดการบริหารร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับ สปสช. และในงบประมาณผู้ป่วยใน 2570 จะจัดการทำ ‘คำของบประมาณ’ ให้เพียงพอ 

“ผมเชื่อมั่นว่า มติบอร์ด สปสช.ที่ออกมาวันนี้จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในครั้งนี้คลี่คลายและยุติลง จับมือเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน รัฐบาลขอยืนยันว่า 30 บาทรักษาทุกที่ หรือสิทธิบัตรทองของผู้ป่วย ยังเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่มีใครล้มระบบ และไม่มีประเด็นให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่าย เพราะงบประมาณไม่เพียงพออย่างแน่นอน” พัฒนาแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

สะท้อนว่าเอาเข้าจริงแล้ว เรื่องไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น และทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่าย สปสช.สามารถตกลงกันได้ทั้งหน้าฉากและหลังฉาก เพื่อให้เรื่องนี้เดินต่อไปได้ และในสัปดาห์หน้าเรื่องนี้น่าจะจบลงด้วยดี เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลางให้ สปสช.จ่ายให้โรงพยาบาลที่ค้างหนี้ได้ทั้งหมด

ด้าน นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวไว้ชัดเจนว่า ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ผ่านการหารือกับชมรมโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน รวมถึงกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จนงบประมาณผู้ป่วยในปี 2568 ได้ข้อยุติแล้ว จากนี้กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.จะเดินหน้าบริหารการจัดสรรงบประมาณปี 2569 ต่อไป

โดยค่าบริการผู้ป่วยในยังคงอัตราจ่าย 8,350 บาทต่อ AdjRW ทั้งปี รวมทั้งร่วมกันบริหารงบประมาณกองทุนจำนวน 5 หมวด ได้แก่ บริการผู้ป่วยนอก (OP) บริการผู้ป่วยใน (IP) บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP Basic Service) การจ่ายตามรายการ Fee Schedule และการบริหารแบบโครงการ โดยยึดหลักการให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในให้เพียงพอ และพิจารณาลดรายการบริการที่ไม่จำเป็น 

ส่วนเรื่อง ‘หักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ’ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2569 กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพได้จัดทำข้อเสนอประกอบพิจารณาแยกเงินเดือน บุคลากรภาครัฐสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขออกมาในภาพรวม จากเดิมที่แยกเงินเดือนเป็นแต่ละหน่วยบริการ เพื่อให้เห็นงบค่าบริการสาธารณสุขที่เหลือจริงหลังจากหักเงินเดือน และเป็นข้อมูลให้กระทรวงสาธารณสุขบริหารการจัดสรรงบประมาณ

ในส่วนของการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 นั้น นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.จะร่วมกันจัดทำข้อมูลประมาณการผลงานให้บริการผู้ป่วยในรายหน่วยบริการในภาพรวมทุกสังกัด และมีการแยกกลุ่มบริการให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาอัตราการเติบโตการให้บริการของปีงบประมาณ 2569 สำหรับการคำนวณวงเงินปลายปิดรายเขต เพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 ให้เพียงพอ โดยจะมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมทั้ง 2 หน่วยงาน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำต้นทุนบริการที่เหมาะสมในการจัดทำงบประมาณปีถัดไป และใช้สำหรับการประกอบการทำคำของบกลาง

จบศึกครั้งนี้ หันกลับมามองภาพกว้างที่ใหญ่กว่าจะพบว่า งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 2.35 แสนล้านบาท และเป็นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่ปัญหาคือยังเพิ่มใน ‘อัตราเร่ง’ ที่ไม่มากนัก 

ปัจจุบันงบประมาณรายจ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยอยู่ที่ราว 10% ของงบประมาณแผ่นดิน และสัดส่วนงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศก็ยังคงอยู่ในระดับเดิมมานานนับสิบปี ทั้งที่สถานการณ์ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น วัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง และค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นเรื่อยๆ 

ถึงตรงนี้ งบประมาณผู้ป่วยในก็ยังคงอยู่ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW คิดเป็นเลขกลมๆ อยู่ที่ 3,600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นเพียง 2% ของงบประมาณบัตรทองทั้งหมด และเป็นอัตราคงที่มานานหลายปีเช่นกัน

ฉะนั้นแนวทางแก้ปัญหาจึงหนีไม่พ้นการ ‘เติมเงิน’ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีช่องทางงบประมาณมากขึ้น ให้มีงบประมาณพอหล่อเลี้ยงระบบสุขภาพมากพอ เพราะหากรักจะให้มีระบบบัตรทอง อยากให้ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคคงอยู่ต่อไป ก็ควรจะหาทางทำให้ดีขึ้น มากกว่าแช่แข็งงบประมาณให้อยู่เท่าเดิม 

ขณะเดียวกันเรื่องการรวมกองทุน นำกองทุนประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ มาจัดการไว้ที่เดียวกัน เพิ่มอำนาจต่อรอง เพิ่มเงินที่กองรวมกัน แล้วจัดการด้วยระบบสุขภาพมาตรฐานเดียวย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า เรื่องนี้พูดกันมาหลายปี หากแต่เรื่องใหญ่เกินไป ไม่มีรัฐบาลที่ต่อเนื่องที่พร้อม ‘รื้อ’ ระบบ ทำให้เรื่องการรวมกองทุนสุขภาพยังคงคาราคาซังอยู่ถึงทุกวันนี้

แน่นอน สปสช.เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าปัญหานี้มีอยู่จริง และต้องระมัดระวังในการใช้งบประมาณให้มากขึ้น ลดเลิกการขยายขอบเขตงานไปไม่รู้จบ ขณะที่โรงพยาบาลได้เงินเท่าเดิม (หรือน้อยลง) ซึ่งจะเป็นการสร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตร

ขณะที่ด้านตรงข้าม ฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับ สปสช.ก็อาจต้องหาแนวทางแก้ปัญหาที่ครอบคลุมกว่าเดิม เป็นต้นว่าหากไม่เอา สปสช.แล้วจะแก้ปัญหาแบบใด จะแก้ปัญหาด้วยการ ‘ยุบ สปสช.’ เอางบประมาณกลับไปลงกระทรวงสาธารณสุขแบบเดิม หรือจะให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามามีบทบาทใน ‘บอร์ด สปสช.’ มากกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำลายคุณค่าระบบ ‘ผู้ซื้อบริการ’ และ ‘ผู้ให้บริการ’ ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ว่าสุดท้ายจะแก้ปัญหาเดิมๆ อย่างไร 

เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ไม่ได้มีข้อเสนอที่ชัดเจนว่าต้องการ ‘รื้อ’ จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดีขึ้นอย่างไร แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า หาก ‘รื้อ’ แล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค จะยังเป็นหลังพิงให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้อย่างที่เป็นมาตลอด 

สุดท้าย ปัญหางบผู้ป่วยในปี 2568 จะเป็นเพียงสัญญาณเตือนหนึ่งของ ‘แรงอัด’ ในระบบหลักประกันสุขภาพที่กำลังขยายตัวเร็วกว่าความสามารถในการจัดสรรงบประมาณ

ฉะนั้นหากรัฐบาลต้องการให้ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน การบริหารงบประมาณเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องกล้าปฏิรูประบบจัดสรรทรัพยากร ข้อมูล และกลไกการบริหารร่วมระหว่าง สปสช.กับกระทรวงสาธารณสุข ให้มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น 

เพราะในท้ายที่สุด ‘ระบบ’ จะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเชื่อว่า ยังมีความเป็นธรรมและมีอนาคตร่วมกัน

Tags: , , ,