กุสยืนมองผู้เฒ่าเจ้าของร้านแผ่นเสียงปิดร้านถาวร ถามไปว่าแล้วจะไม่คิดถึงโหยหาหรือ ชายชราตอบยังไงก็ต้องเลิกราเกษียณเสร็จ ไม่มีใครนิยมฟังแผ่นเสียงกันแล้ว

ก่อนแยกย้ายจากกัน ผู้เฒ่าบอกกุสด้วยความเป็นห่วง “เมื่อเอ็งจะข้ามถนน เอ็งจะถึงอีกฟากเสมอ ลองคิดเรื่องนี้ดูนะ” 

ชายชราเดินจากไปทางขวา ทิ้งกุสยืนงงคนเดียวก่อนก้าวกลับไปทางซ้าย พร้อมกล่าว “ลุงแกเพี้ยน” 

*

ลองนึกกันว่าลุงจะหมายความว่าอะไร หรือประโยคนั้นจะมีความหมายอะไรได้บ้าง

ทุกสิ่งที่ได้เริ่มไปแล้วย่อมมีวันจบ ถึงจุดหมายปลายทาง มีจุดสิ้นสุด ยุติตัว

แผนงานหรือการกระทำทั้งปวงมีเป้าหมายให้บรรลุ และย่อมบรรลุเมื่อได้ก้าวออกไป 

การกระทำต่างๆ ล้วนมีอุปสรรคกีดขวางให้ต้องข้าม เจตจำนงความมุ่งมั่นจะพาเราผ่านพ้น

แล้วถ้าเราจงใจแปลประโยคแปลนั้นผิดเพี้ยนไป 1 คำ เข้าใจคำกล่าวนั้นตามตัวอักษร หรือเถรตรงตามคำพูด “Quand tu traverseras la rue, tu arriveras toujours de l’autre coté. Réfléchis à ça.!” ที่แปลได้ว่า “เมื่อเอ็งจะข้ามถนน เอ็งจะถึงจากอีกฟากเสมอ ลองคิดเรื่องนี้ดูนะ” การแปลแบบแปร่งแปลกผิดไปกลับชวนคิดไม่น้อย รวนตรรกะแต่น่าขบคิดไปต่างๆ นานาว่า

หากการข้ามถนนคือการเปลี่ยนแปลง เรามักลิงโลดที่เปลี่ยนสำเร็จ โดยลืมไปว่าเปลี่ยนมาจากอะไร 

สัมฤทธิผลจากการกระทำหนึ่งมักพาเลยข้ามจุดที่เป็นมา 

ฝั่งที่มีความหมาย หาใช่ฝั่งที่เรามาถึง แต่คือฝั่งที่เราจากมา

ทั้ง 2 ฟากฝั่งพึ่งพิงต่อกัน การจะถึงอีกด้านคือต้องพึ่งอีกฝั่ง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการหมุดตัวคงเดิม

ณ ปัจจุบันที่เรามาถึง นับรวมเหตุจากอดีตที่ผ่านเลยไป

Nostalgia ของจุดเริ่มต้นที่จะข้าม เหมือนการยังคงขายแผ่นเสียง ในขณะที่โลกหมุนด้วยเครื่องเล่นในมือ

ฝั่งของอดีตยังคงตามติดความนึกคิดของเรามาถึงในปัจจุบัน

แล้วถ้าเราไม่ข้ามล่ะ เราจะติดอยู่กับอะไร ปัจจุบันที่เป็นอดีตติดฝุ่น หรืออดีตที่ปลอมแปลงเป็นปัจจุบัน

และหากเราเดินกลางถนนที่ไม่มีทางเท้า 2 ฝั่ง ไม่มีทางให้จากมา และไม่มีทางให้ไปถึง ทำได้อย่างเดียวหรือหลายอย่างคือ เดินหน้า ถอยหลัง นิ่งอยู่กับที่ หรือทำอะไรเหล่านั้นไปมา มีถนนที่ข้ามไม่ได้

ตลบกลับคำแนะนำของผู้เฒ่าอีกรอบว่า เราจะจากจากฝั่งที่จะถึง (เสมอ?)

*

NOVEMBRE กราฟิกโนเวลผลงานของศิลปินสเปน เซบาสเตีย คาโบต (Sebastià Cabot) โฟกัสเรื่องราวไปยังประพันธกรหนุ่มที่เขียนอะไรไม่ออก กุสชอบฟังแจ๊ซ ดูหนังเก่า มีเพื่อนชื่อมาริโอที่เปิดร้านเสื้อผ้ามือสอง มีแคลร์ร่วมแชร์เช่าห้องในอะพาร์ตเมนต์เดียวกันก่อนจะมีใจต่อกัน มีลูซีเป็นเพื่อนของแคลร์ แม้จะไปมาหาสู่ต่อกัน สังสรรค์ร่วมกัน ท้ายที่สุดต่างมีชะตาและวิถีชีวิตไปคนละทาง ไม่อาจ ‘รักกันแบบนี้ตลอดไป’

แต่ละคนข้ามถนนคนละเส้น ถึงฝั่งคนละด้าน

ภาพถ่าย 

จบตอนที่ 2 ด้วยฉากแต่งแฟนซีไปงานฮาโลวีน ทิ้งแมวไว้ที่พัก ก่อนจะออกไป กิ๊กของลูซีช่วยถ่ายภาพเพื่อนทั้งสี่ไว้เป็นที่ระลึก 

เป็นภาพถ่ายที่มีความหมายไม่น้อย หนึ่ง คือเป็นภาพถ่ายมัลติคัลเลอร์ภาพเดียวของทั้งเรื่องที่คุมโทนสีเดียวในแต่ละเหตุการณ์ สอง คือภาพส่งท้ายความชื่นมื่นของทุกคนก่อนที่จะเปิดตอนที่ 3 ซึ่งตามด้วยดราม่าของแต่ละคนในภาพ สาม คือภาพในวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมหรือวันฮาโลวีน และช่วงหนึ่งแคลร์ก็ทักขึ้นมาว่า จะเข้า NOVEMBRE แล้ว เหมือนเอ่ยชื่อนิยายภาพออกมา และสี่ ภาพถ่ายดังกล่าวใส่กรอบตั้งข้างคอมพิวเตอร์ของกุสที่หยิบมาดูยามเริ่มเขียนอะไรออกมา 2-3 ประโยค แต่ถึงตอนนี้ ภาพไม่ลงสีสันอีกแล้ว เป็นโทนขาวเทาดำของตอนนั้น 

ภาพความหลังที่ออกจะหมาดๆ 

ภาพที่ชวนถวิลหา อาลัยอาวรณ์กับ Instants ที่ ‘ผ่านมา แล้วก็จากไป’

จึงเป็น Instants ในความหมายของการถ่ายภาพและภาพถ่าย 

ในวันที่อาจเรียกอย่างหยาบว่า ‘วันผีหลอก’ ตัวละครต่างแต่งตัวหลอกตาในบทที่ตนไม่ได้เล่นไม่ได้เป็น กุสเป็นซูเปอร์แมน มาริโอเป็นพิงค์แพนเตอร์ ลูซีเป็นแม่มด แคลร์เป็นชาร์ลี แชปลิน หรือว่าทุกปมอยู่ในภาพถ่ายใบนั้น 

ใน Instants ที่อาจหลงทักไปว่า ยืนยงตราบนานเท่านานแบบเดียวกับภาพถ่ายที่มักบอกว่า เป็นการ Immortalize ‘ชั่วขณะ’ เหล่านั้น? 

ซึ่งมันก็ชั่วขณะสมชื่อ 

พิงค์แพนเตอร์: มาริโอตัวโตใส่ชุดการ์ตูนพิงค์แพนเตอร์ตัวผอม เดินแจกใบปลิวเป็นงานหาเงินก่อนจะเปิดร้านเสื้อผ้าเก่า มาริโอเป็นตัวตลกทั้งในคราบการ์ตูนและสัดส่วนน้ำหนักที่ไม่สอดรับกัน จนลุงเจ้าของร้านแผ่นเสียงแซวแกมประชดว่า เป็นพิงค์กอริลลาเสียมากกว่า จึงน่าแปลกที่มาริโอกลับมาสวมชุดสำหรับงานแจกใบปลิวที่เป็น ‘งานเxี้ยๆ’ แทนที่จะเลือกชุดที่มีให้เลือกในร้านของตนมาสวมใส่ ราวกับมาริโอติดอยู่กับอะไรบางอย่างบางเรื่องที่ค้างคาในใจจนไม่อาจถอดชุดเก่า ไม่อาจลอกคราบออกมา 

ตอนที่ 3 เปิดมาที่ความทรงจำของมาริโอย้อนไปสมัยเรียนหนังสือและซ้อมละคร Caligula ของกามูส์ (Albert Camus) มาริโอเหม่อจมในภาพความหลังและออกจากภวังค์มาพบว่า ช่องเก็บเงินที่ร้านว่างพร่อง รายได้ไม่ดี ในเวลาต่อมามาริโอจึงสารภาพกับกุสว่า สมัยซ้อมละครนั้น ตนอยากเล่นบทที่กุสเล่น อยากให้มีคนปรบมือแสดงความยินดี กุสเดาไม่ออกว่าทำไมมาเล่าตอนโต มาริโอเองก็ไม่รู้ บอกแค่ว่าคิดถึงสมัยนั้น อารมณ์โหยหาของมาริโอจึงอาจมาจากภาวะปัจจุบันที่ไม่บรรเจิด กิจการร้านไปได้ไม่ค่อยสวย แม่ก็ป่วย จะไปมีอะไรกับลูซีในห้องน้ำคืนคอนเสิร์ตก็ไม่ลุล่วงสมประสงค์ อะไรบางอย่างที่ทำให้มาริโอติดอยู่ด้วย จนเมื่อจนทางออก ไม่รู้จะข้ามถนนยังไงดี มาริโอเลยเลือกกรีดตัวตายในห้องน้ำที่บ้าน

เลือดมาริโอไม่แดง ฉากตอนนั้นคุมโทนขาวเทาฟ้า

 มาริโอรอดตายมาได้ ค่อยๆ ฟื้นตัว ไม่มีคำอธิบายอะไรออกมาจากปากตัวละครสักคน ปมของความกลัดกลุ้มเป็นเรื่องที่ต้องอ่านเอาจากภาพ ปมเรื่องเพศวิถีที่ไม่ออกมาเป็นคำ ไร้คำเฉลย แค่เผยออกมาเป็นรูป ตอนหนึ่งเมื่อว้าวุ่นใจ มาริโอเดินเตร็ดเตร่มาหยุดหน้าร้านขายชุดชั้นในชายหญิง ภาพกลับตีกรอบให้เห็นว่า โฟกัสของมาริโอคือแผ่นโฆษณาชุดชั้นในชาย และในตอนท้ายเมื่อเรื่องร้ายผ่านไป มาริโอมางานเปิดตัวหนังสือของกุส ในภาพประมวลฉากนั้นจะเห็นกุสก้มตัวทักทายลูกชายของลูซีที่ยืนคุยอยู่กับมาริโอหน้าตาเกลี้ยงเกลา โดยคำพูดของมาริโอเป็นเพียงเส้นขยึกขยือ ชายหนุ่มแปลกหน้ายืนพิงไหล่มาริโอ คือภาพสุดท้ายที่ลูซีและมาริโอปรากฏตัว ภาพดังกล่าวเซ็นลงท้ายให้เห็นเพศวิถีที่แท้ของพิงค์แพนเตอร์

สิงห์ชมพูจึงไม่อาจเสร็จกับลูซีในคืนวันคอนเสิร์ต 

ชุดพิงค์แพนเตอร์อาจทำให้มาริโอเป็นตัวตลก แต่มาริโอเลือกจะสวมมันแม้แต่วันฮาโลวีน ก็แหม ชมพูหวานสะโอดสะอง (แม้มาริโอจะไม่ออกสาวก็เถอะ) 

การติดพันกับเรื่องเดิม เสื้อผ้าเก่า ความหลังเก่า อาจเพราะอะไรทั้งหลายเป็นสิ่งค้างคา ยังไม่ได้ชำระ จวบจนออกจากโรงพยาบาล จวบจนบอกกับกุสว่าชำระหนี้ร้านได้แล้ว จากนั้นจึงเห็นมาริโอควงหนุ่มมางานกุสราวกับปลดเปลื้องจากสรรพสิ่ง 

มาริโอสะสางเพศวิถีของตน ชุดสิงห์ชมพูทั้งปกปิดและแนะเป็นนัยว่ากอริลลาตัวโตมีวิถีเรื่องเพศแบบอื่น 

 

แม่มด: หากยกเว้นเพื่อนชายลูซีที่เป็นคนถ่ายภาพและแต่งเป็นมัมมี่แล้ว ลูซีเป็นเพียงคนเดียวที่แต่งตัวเข้าธีมงาน คือแต่งทำนองสยองขวัญเป็นชุดแม่มด ในขณะที่เพื่อนอีกสามในภาพไม่มีอะไรชวนขนลุก  

ลูซีแต่งแฟนตาซีตามบรรยากาศ ตรงขนบ ตรงข้ามกับพฤติกรรมทางเพศที่ออกนอกเกณฑ์ อิสระกว่าแคลร์ บางคราวก็ไม่แคร์สายตาหรือคำของคนอื่น เช่นฉากที่หันไปสวนกลับลูกค้าที่เรียกให้มาบริการเมื่อลูซีนั่งคุยกับแคลร์ “ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่”  

เปรียบเทียบกับเพื่อนอีก 3 คนแล้ว ลูซีแทบจะเป็นตัวประกอบของเรื่องราวทั้งหมด แต่ละคนจะมีฉากชีวิตแยกออกมาไม่เกี่ยวกับเพื่อนคนอื่น แคลร์กับกุสกับพ่อและแม่ มาริโอกับร้านกับแม่หรือตามลำพัง กุสตามลำพังหรือกับแคลร์ กับลุงเจ้าของร้านกับทุกคน แต่ลูซีไม่มีฉากชีวิตของตน ปรากฏออกมาประกบกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งเสมอ ยกเว้นฉากเดียวคือฉากที่ลูซีตรวจพบว่าตนตั้งท้อง

ประเด็นของลูซีแม่มดคือ ประเด็นของความเป็นหญิงและความเป็นแม่ จะจัดการอย่างไรเมื่อท้องโดยไม่ตั้งใจจะท้อง ตรงนี้พาลูซีมาถึงทางเลือกระหว่างบทแม่มดใจร้ายหรือเฟมินิสต์แบบเข้ม และบทบาทของมารดากับเด็กในท้อง เมื่อพยายามจะบอกกุสให้รู้ ลูซีก็ร้องไห้กล้ำกลืนฝืนทน ไม่บอกออกมา จะส่งข้อความบอกแคลร์ก็ไม่กล้า 

สุดท้ายเมื่อแคลร์ออกไปจากชีวิตกุสและกุสก็หมกตัวไม่ออกไปไหน ลูซีกลับมาเยี่ยมและสารภาพเรื่องตั้งท้อง ลูซียอมรับบทของแม่เลี้ยงเดี่ยว ตัดสินใจเก็บเด็กไว้ กุสถามถึงพ่อเด็ก ลูซีบอกว่าเธอ “ไม่ได้ต้องการผู้ชาย” และบอกกุสแกมแซมหยอกล้อว่า “พวกคุณมันประเภทไม่ได้เรื่อง ดูตัวเองสิ” 

ลูซีจึงออกจะเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่แม่มดใจร้ายตามภาพลักษณ์ทั่วไป ไม่ลงคำสาปแช่งให้ไปผุดไปเกิด แต่ให้กำเนิดแบบหญิงและแบบแม่โดยพร้อมรับผิดชอบด้วยตนเอง ปัญหาของลูซีออกจะสาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่ากรณีความสัมพันธ์ระหว่างกุสกับแคลร์ ปมของลูซีคล้ายกับปมของมาริโอ เพราะเกี่ยวกับตน เรื่องภายในตน เรื่องตนและอีกคนในตอนที่ต้องตัดสิน ต่างยอมรับผู้อื่นให้ปรากฏ ยอมรับชมพูสิงห์ ยอมรับสิ่งที่ไม่คาดฝัน รับที่จะเป็นเควียร์และเป็นแม่คน 

ตัวละครต่างมีทางออกและหาทางออกนั้นด้วยตนเอง ลูซีไม่ใช่นางฟ้าพร้อมพรประเสริฐช่วยให้ใครรอด เป็นเพียงแม่มดพร้อมมนต์ที่เผย เผยให้เห็นความคับข้องขุ่นเคืองทางเพศของมาริโอ รับฟังและแนะนำแคลร์ แค่นี้จึงเข้มข้นพอจนไม่ต้องขอฉากเดี่ยวตามลำพัง 

แม่มดล่องหนพร้อมมนตร์แบบเควียร์แสนเควียร์

ชาร์ลี แชปลิน: แคลร์แต่งข้ามเพศ แต่ตนไม่เป็นเพศอื่น แปลงตัวผิดแผกเพศ อีกยังไม่ตรงสถานการณ์ เพราะลูซีทักว่าให้แต่งน่ากลัวกันมา มองโดยรวมทุกคนก็ผิดเทศกาลหมด ไม่มีใครน่าแสยง กระทั่งแม่มดลูซีก็ดูบันเทิง 

มีอะไรเข้ากันระหว่างชุดตัวตลกกับบุคลิกของแคลร์ แทบจะไม่มี แคลร์ไม่มีปัญหาเรื่องเพศวิถีของตน ไม่เกิดประเด็นเรื่องความเป็นแม่ แต่กลับเป็นเรื่องวัตถุเสียมากกว่า แคลร์ฝืดเคืองในยามไม่มีงาน ต้องพึ่งพาแม่ที่ปฏิบัติกับแคลร์ราวกับเด็กอ่อน สั่งอาหารแทน ซักเสื้อผ้าให้ หากจะมีอะไรติดขัดในเรื่องราวของแคลร์ก็คงเป็นเรื่องแม่ที่แคลร์บ่นให้กุสฟังและบอกให้พ่อรู้ 

ประเด็นความขัดสนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตจนคุกคามให้ขบคิด เมื่อขาดดราม่าซีเรียส ตัวละครแคลร์พลอยจะไม่มีสีสัน ขาดบุคลิก เทียบไม่ได้กับกรณีมาริโอและลูซี แต่การเป็นคู่รักของกุสและต้องแยกกันท้ายที่สุด คือขับให้เห็นบุคลิกความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจน กุสออกจะเก็บตัว ไม่ชอบงานสังสรรค์ ตรงข้ามกับแคลร์ที่ออกไปเผชิญโลกภายนอก เจอผู้คน ไปปาร์ตี้ ไปงานเปิดนิทรรศการ และเมื่อชวนกุสไปปาร์ตี้ต่อที่บ้านศิลปินแล้วกุสกลับอึดอัด แคลร์บ่นออกมาว่า “ทำไมถึงไม่อยากทำอะไรสนุกๆ บ้างนะ” หรือกุสซีเรียสเกินไป หรือเป็นเพราะว่าแคลร์เล่นและเล่นตลกมากไป แคลร์ซึ่งออกไปเจอผู้คนพบปะพูดคุยเฮฮา สะท้อนให้เห็นว่า กุสเบื่อหน่ายกับคนมากหน้าหลากหลายไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าชายแต่งแฟนตาซีชุดประดาน้ำคือศิลปิน กุสเข้าไม่ถึงผู้อื่น ได้แต่ดำดิ่งกับตน 

คำถามของแคลร์ริมทะเลในฉากย้อนหลังท้ายเรื่องว่า “คุณว่าเราจะจะรักกันแบบนี้ตลอดไปไหม” เป็นคำถามที่เหมือนจะใสซื่อ เพราะว่าเมื่อดูพฤติกรรมโดยรวมแล้ว นั่นคือแคลร์กำลังแสดงความเคลือบแคลงใจออกมา ที่ออกจะใสซื่อกลับคือคำตอบของกุส “ผมเชื่อว่างั้น” 

ความเฉื่อยของกุสก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความกระตือรือร้นของแคลร์ แม้ว่าแคลร์จะขาดบุคลิกจำเพาะแหวกแนว อาจเพราะแคลร์เป็นตัวละครแบบทั่วไป แบบคนทั่วไป แบบผู้หญิงทั่วไป สามัญปกติ ผู้หญิงที่แวดล้อมไปด้วยผู้อื่น ผู้หญิงที่ขัดเกลาผ่านกระบวนการทางสังคม และยังเป็นผู้ให้จังหวะและให้ชื่อกับพล็อตเรื่อง เนื่องจากแคลร์เป็นทั้งผู้เอ่ยชื่อเรื่องออกมาในวันฮาโลวีน และเมื่อเปิดบทที่ 3 แคลร์บ่นว่ากุสไม่ยอมซ่อมเครื่องซักผ้าเสียที กุสสัญญาจะทำ

แคลร์: “คุณก็พูดแบบนี้มาปีหนึ่งแล้ว” เวลาผ่านไปกุสคงไม่กระเตื้อง 

กับกุส แคลร์ชาร์ลีไม่สนุก ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ขยับไปหน้า พอขอให้กุสพูดคุยปัญหา กุสกลับปฏิเสธ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ช่วยอะไรไม่ได้แล้วเมื่อฝ่ายชายจมปลักกับโลกของตน แคลร์เหมือนจะได้คิดยามที่พ่อพูดเรื่องแม่จอมเจ้ากี้เจ้าการน่ารำคาญชวนโมโหว่า “ในวัยนั้น แม่ไม่เปลี่ยนแล้วละ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่กู่ไม่กลับเลยนะ” ภาพ 2 ช่องตัดมาไร้คำพูดแต่ทำให้เห็นสีหน้าแคลร์เหมือนนึกไปถึงเรื่องอื่น เรื่องอะไรหากไม่ใช่เรื่องผู้ชายของตน 

Causes Perdues กู่ไม่กลับ 

ตลกไม่ออก ไม่รู้จะขันขำอย่างไร เป็นคำเตือนที่พาดพิงอีกคนโดยที่พ่อก็ไม่รู้  

ราวกับพ่อจูงมือแคลร์ให้ข้ามถนนเพื่อ ‘ถึงอีกฟาก’ 

ฝั่งฟากที่จะทิ้งค้างกุสเอาไว้ในคราบฮีโร่ที่ไม่บิน 

ซูเปอร์แมน: จึงออกจะย้อนแย้ง Irony อยู่ไม่น้อยที่กุสซูเปอร์แมนกลับไม่ชอบร่อนผจญภัยไปไหน ไม่ได้ออกไปกอบกู้โลก พบผู้คน ผู้คนแวดล้อมลดทอนเหลือไม่กี่คนและแมว 1 ตัว ซูเปอร์แมนจึงร่อนไม่เป็น พักริมทะเลกับชาร์ลีเหมือนหน้าปกและยกสุดท้ายตอนจบเรื่อง 

หากยกเว้นให้ว่า การหมกเก็บตัวกับเพลงเก่าหนังเก่า การไม่ชอบสุงสิงสังสรรค์เป็นหมู่เหล่า การทำตัวสันโดษ เหล่านี้คือพฤติกรรมที่เลือก หรือคือรสนิยมส่วนตน ปัญหาหลักของกุสจะเหลือหรือมีแค่ 2 เรื่อง เขียนหนังสือไม่ออกและคงความสัมพันธ์กับแคลร์ไว้อย่างยืนยง และเป็น 2 ประเด็นของปัจเจกบุคคลที่ทิ้งผู้อ่านไว้ในความไม่รู้ไม่อาจตัดสิน

ประการหนึ่ง กุสพยายามเขียนเรื่องอะไร แนวไหน เนื้อเรื่องไม่เฉลยและแม้กุสจะพิมพ์บางประโยคเตือนสติท้ายเรื่องว่าสรรพสิ่ง ‘ผ่านมา แล้วก็จากไป’ แม้กุสจะตีพิมพ์หนังสือออกมาในท้ายที่สุดของฉากเปิดตัว แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอะไร และทำอย่างไรเพราะอะไรจึงได้ตีพิมพ์จนได้ เนื้อเรื่องคั่นประเด็นการนึกอะไรไม่ออกหน้าคอมพิวเตอร์ แต่คั่นอย่างประปรายราวกับมลายสลายกลืนไปกับเรื่องอื่น ปะปนไปในห้วงชีวิตของกุสแทบไม่รู้ตัว คงไม่ใช่ Metafiction แบบที่ให้ผู้อ่านตีความว่า เรื่องที่กุสเขียนคือเรื่องที่เราท่านกำลังอ่าน ตรงกันข้าม คือเรื่องที่เราไม่มีวันรู้ ละเอาไว้ อีกทั้งการเขียนออกมาได้ในท้ายที่สุด ก็ไม่ได้หมายความอีกว่ากุสเปลี่ยนไปจากเดิม 

เครื่องซักผ้าที่ซื้อมาอาจแนะแค่ว่า กุสยังคงอารมณ์โหยหาแคลร์ ซึ่งเท่ากับว่ายังรักในอดีตที่เหมือนจะยืนยง 

อีกประการ แม้จะอนุมานได้ว่ากุสกับแคลร์ไม่อาจลงเอยเนื่องจากมีขั้วสังคมคนละแบบ ฝ่ายชายหมกมุ่นกับตน ตีวงล้อมการคบค้าสมาคมไว้แคบ ฝ่ายหญิงเปิดออกสู่โลก เจอหน้าพบตาประชาชี ทว่านั่นก็เป็นด้านเดียวของสาเหตุทั้งหมด จะสังเกตว่าใน 2 ฉากที่ทั้งคู่จะมีอะไรกัน ฉากหนึ่งกุสเริ่มก่อน อีกฉากเป็นแคลร์ที่เข้าหา แต่ทั้ง 2 ตอนกลับไม่สมประสงค์เนื่องจากแคลร์ปัดปฏิเสธ หรือว่าการที่คู่ชีวิตไปไม่รอดสืบเนื่องมาจากความคับข้องติดขัดทางเพศที่เป็นปัญหาของกุส Sexual Frustration ดูเหมือนจะลากกุสเข้าคลินิกจิตวิเคราะห์ บางทีก็ไม่จำเป็นต้องลงเอยเช่นนั้น 

เป็นไปได้ไหมว่า เรื่องเขียนและเรื่องรักเป็นเรื่องเดียวกัน กุสเขียนอะไรไม่ออก ไม่พูดไม่จาเมื่อแคลร์ขอให้พูด หากเขียนคือก้าวขยับเริ่มต้นอักษรคำประโยค รักก็ต้องมีขับเคลื่อนไปต่อ และเปลี่ยนแปลง 

เป็นไปได้ไหมว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงแลกด้วยการสูญเสีย กุสเขียนเมื่อแคลร์จากไป แต่ใช่ว่าเมื่อเขียนไม่ออกแล้วจะทำให้แคลร์คงอยู่ 

‘กู่ไม่กลับ’ อาจหมายความธรรมดาว่า ต้องคงตนไว้ในแบบที่ตนเป็น พร้อมความหมกมุ่นความชอบไม่ชอบความสันโดษ และอะไรต่างๆ นานา หรือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นอัตบุคคลที่ไม่อาจปะปนไปในมวลรวม 

ซูเปอร์แมนเลยไม่ร่อน ต้องเดินตามลำพัง ฟังเพลงเก่า ดูหนังเก่า จับภาพถ่ายเก่าขึ้นมาดูว่า ‘พฤศจิกายน’ ตอนนั้นมันผ่านไปแล้ว 

*

โดยปกติแล้ว ภาพถ่ายมักทำให้ความเป็นอื่นแสดงตน เราในภาพไม่ใช่เรา โดยเราอาจบอกปฏิเสธไม่ยอมรับ หรือภาพมันผิดเพี้ยนไปจากที่เราเป็น เราคือคนอื่นอยู่เสมอเมื่อแปลงเป็นภาพถ่าย แล้วยิ่งสวมเครื่องแต่งกายแปลกตาพิสดาร เครื่องแต่งกายยิ่งย้ำในสิ่งที่เราไม่เป็น ต่างเป็นตัวละครสวมชุดแฟนตาซีที่ไม่อาจบอกถึงความปรารถนาความฝันใดๆ ในกรอบภาพคืออีกพื้นที่และเวลา เวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว เวลาของความสุขหรรษาครื้นเครงปนอารมณ์รัก เมื่อข้ามฝั่งมาอีกด้านนอกกรอบ ความอาลัยอาวรณ์ ผูกพัน เสียดาย โหยหา คือร่องรอยของการจากมา

เราอาจข้ามถนนกลับไปวนมาได้ แต่หากจะลงกรอบอดีตเดิมนั้น คงต้องเลือกว่าจะสวมชุดแฟนตาซีชุดใด

อ้างอิง:

***ส่วนหนึ่งของบทความขนาดยาว โดยอิงกับบทแปลภาษาฝรั่งเศสจากต้นฉบับภาษาสเปน Sebastià Cabot, NOVEMBRE, traduit de l’espagnol par Kalina Atencio-Salaun, Oeuf, 2018.

Fact Box

NOVEMBRE, เซบาสเตีย คาโบต (Sebastià Cabot) เขียน, จำนวน 180 หน้า, ราคา 20 ยูโร, ปัจจุบันยังไม่มีแปลภาษาไทย

Tags: , , , , , ,