‘ตะกอนเงาลบเลือน’

ด้วยความที่ไม่รู้และไม่เห็นว่าชื่อนิทรรศการ Remnants of Fading Shadows เป็นภาษาไทยว่าอย่างไร เลยถือวิสาสะแปลดังข้างต้น

มีให้เลือกตั้งแต่ ตะกอน ธุลี เถ้า เศษซาก ซาก สุดท้ายลงเอยเมื่อตกตะกอนที่ ‘ตะกอน’

อยากยกให้ว่า สำหรับศิลปิน น่าจะเป็น ‘ผลึก’ มากกว่า ‘ตะกอน’ เพราะผลงานผลิต ‘ผลึก’ หรือตกผลึกทางความคิด ไม่ใช่สารตกค้างเป็นพิษ แต่กรองกลิ่นจนแววใสเป็นผลึก

งาน ‘ตะกอนเงาลบเลือน’ จะเลือนจาก Politics ไปเป็น Poetic ละเมียดละไมมากกว่าวาทกรรมการเมือง?

*

น้อยครั้งที่ห้องโถงทางเข้าที่เคยเป็นท้องพระโรงนั้นจะชวนน่าอภิรมย์

มาครั้งนี้ จอวิดีโอวางอยู่ที่ผนังในสุด นั่งฟังมองจากอีกฝั่งห่างออกมา สลัวในภายใน เหมือนดูหนังกลางแปลงที่ฉายอินดอร์ และน่ารื่นรมย์เพราะนั่งตามลำพัง กรอบการชมสุดบรรเจิด จอในสุดขนาบด้วยเสาท้องพระโรงเก่า 2 ต้น ต้นซ้ายพันผ้า ต้นขวาเปลือยเปล่า จอเปลี่ยนภาพไปมา สลับมุมต่างถิ่นดินแดน พลันเปลี่ยนเป็นภาพภายในท้องพระโรง พลอยพาสะดุ้งโหยง เหมือนในเข้าใน ซ้อนพื้นที่ซ้อนสายตา

เสียงพากย์ภาพบอกเล่าประวัติศาสตร์ ชนชั้น ความทรงจำ ซากเศษ อะไรทำนองนี้ ไม่ปะติดปะต่อ รอให้ผู้ชมจัดการด้วยตนเอง เลยจำอะไรไม่ครบถ้วน เหลือเพียงเศษความทรงจำที่เป็น ‘ตะกอน’ แหว่งๆ 

ความว่า

แสงสลัวภายในเรียบนิ่ง ถูกคั่นขัดเป็นครั้งคราวด้วยประตูทางเข้าที่ผลักเปิดออกมา สีส้มแดงเหมือนปรากฏบนจอ จับไม่ถูกว่ามาจากในภาพหรือแทรกจากภายนอก

จังหวะเป็นจังหวะจากในนอกสลับขับเคี่ยวกันเรื่อยๆ 

ภาพนิ่งบนจอ คำพากย์หรือบอกเล่า จำได้บางภาพ บางคำ เป็นส่วน เป็นเสี้ยว

คือภาพระย้าที่แวร์ซายส์ โถงทางเดินสองข้างมีประติมากรรมนิ่งเงียบ ประติมากรรมฝรั่งเศสหน้าตรงมีนกเกาะมีเสียงฉอเลาะเล่าโน่นนี่ ภาพสวยเมื่อน้ำเจ้าพระยาบรรจบน้ำฟ้าจากปารีส จอมืดได้ยินแต่เสียง

เคยนึกว่า หากลองหลับตาฟังจะเป็นอย่างไร

เสียงนก เสียงกลางคืน เสียงสงครามวัฒนธรรมการเมือง

หากลองอุดหู มองแต่ภาพ Purely Visual ก็จะอีกแบบ แบบไหนล่ะ

แบบที่ไม่ Poetically Political หรือ Politically Poetic กระมัง

*

จากโถงทางเข้า ลงห้องใต้ดิน (?)

เจอนกแก้วเจ๊าะแจ๊ะกับช้างเผือก

มันไม่พูดกันตลอดจนชวนหนวกหู โผล่มาตอนท้ายๆ บอกเล่าชนชั้น (อีกแล้ว) การพลัดถิ่น (ก็อีก)

แปลกดี นกพูดไทยเสียงหญิง ช้างชายพูดฝรั่ง

ซูมนกแก้วบางช่วง คลับคล้ายมันจะมองมามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ยิ่งซูมยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนไม่ใช่สัตว์ ตามองตา พลันทุรังนึกไปว่าคนสวมชุดนก 

คิดไปถึงปราชญ์แดร์ริดา (Jacques Derrida) ที่เล่าเรื่องกำลังเปลือยแล้วพลันแมวมาเห็น แมวมอง ปราชญ์อาวุโสบอก ‘อับอาย’ และ ‘อับอายที่ได้อับอาย’ ต่อด้วยบทปรัชญายาวเหยียดเรื่องสัตว์ (แอบมีนกแก้ว ลิง และช้าง โผล่มานิดหนึ่งด้วยแน่ะ) 

ปราชญ์บอก เหล่าผู้รู้มักเอ่ยเรื่องการเห็นสัตว์ ทว่าไม่ค่อยมีใครบอกว่าถูกสัตว์เห็นหรือมอง หมายถึงเห็นแต่ไม่เห็นว่าถูกเห็น 

ไม่ต้องเป็นปราชญ์ก็จะเห็นว่านกแก้วตัวนั้นมองมา ไม่ใช่นกจริง เป็นนกในจอที่เบ้อเริ่มอยู่ ซ้ำซูมยิ่งขยายนกเป็นสัตว์มหึมาแสนประหลาด แล้วเราผู้ชมจะขัดเขินไปทำไมนะกับการนกมอง ในเมื่อเราไม่ได้เล่นบทชีเปลือยเดินชมนกชมไม้ในหอศิลป์ ในห้องดิมแสงที่ไร้คนไร้ผู้ชมอื่นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ และนกนั่นก็ไม่ใช่นกจริง

หรืออันที่จริงการเดินชมคือเปลือยตนต่อหน้าผลงาน ไม่ใช่ผลงานที่เปิดโปงโป๊ต่อหน้าเราผู้ชม สัตว์มันไม่ได้เปลือยเพราะมันไม่รู้ว่าเปลือยคืออะไร หมายถึงมันเปลือยอยู่แล้วโดยธรรมชาติ นั่นคือแดร์ริดาย้ำ ลองโยกโอนมาที่นกในจอ ผลงานก็ไม่ได้เปลือยเนื่องจากมันเปิดเปลือยตามธรรมชาติของวิดีโอ เราต่างหากที่เป็นชีเปลือยโดยไม่รู้ตัวว่าเปลือยทั้งๆ ที่สวมเครื่องแต่งกาย วิดีโอนกกำลังจับจ้องเรา   

พลายเผือกก็ซูมผิวซูมหนังซูมขนตอนต้น โคลงเคลงร่างเต็มในลำดับถัดมา

เอาสัตว์ปีกเผชิญสัตว์ใหญ่

เอาสัตว์เลี้ยงเผชิญสัตว์ที่ไม่มีสิทธิเลี้ยง

เหมือน 2 วาระ 2 ระดับห่างเหินแบบเดียวกับการแยกจอ

นกน้อย (แต่ซูมจนใหญ่) ผลัดพูดกับสัตว์ใหญ่ สัตว์สงวน

จินตนาการอีกแบบ แบบที่การพากย์หรือเนื้อความจดจารในกล่องเสียงเป็นอย่างอื่น

คือนกจะเอ่ย ‘ตะกอน’ อื่นอะไรได้อีก ช้างจะพูด ‘ตะกอน’ อะไรอื่นอีกได้นอกจากภาษาการเมือง

*

ขึ้นชั้นบน ไต่เต้าระดับมาเจอ 2 นางผู้เฝ้านิทรรศการ

เลยถาม “นี่ไม้เท้าอะไร” นางหนึ่งตอบเจื้อยแจ้วยิ่งกว่านก อีกนางยืนยิ้มรับ ปล่อยเพื่อนสาธยาย

ไม้เท้าตั้งเป็นระยะบนพื้น เงาทอดครึ้มมาเป็นเพื่อน ผนังมีขนนก(แก้ว?) วางเป็นรูปดวงตา

ช้างไม่ยอมขึ้นมาจากข้างล่างหรืออย่างไร

วิดีโออีกจอเล่าเรื่องป้า พ่อแม่ เชื้อสาย ถิ่นกำเนิด การพลัดถิ่น

ชอบเวลาที่วิดีโอเงียบคำ ทั้งจอในท้องพระโรงตอนที่มีแต่เสียง ทั้งจอตอนนี้ในช่วงที่เห็นแต่ภาพลิง 1 ตัว นาง(?)นั่งตามลำพังอยู่มุมขวา ข้างผนังหิน จับปาก เกาคาง แคะเล็บ ดูดนิ้ว ดูสำราญบานตะไท สักพัก หลังจากล้วงแคะแกะเกา ก็ล้มตัวลงเอกเขนก สบายเฉิบ

คือช่วงไร้คำ มีเพียงภาพ นาง/ นาย/ เควียร์วานรนั่นพาเพลินตา

คงไม่ต้องให้เสียงลิง เรื่องเล่าเดียวของมันคือลิงๆ ดำคล้ำเป็น Fading Shadow

*

ลืมไปว่าในจอนั้น นอกจากลิงยังมีหยากไย่ใยแมงมุมคลุมคร่อมยอดหญ้ายอดไม้ แล้วค่อยๆ เอียงกระเท่เร่ล่มล้มหายไป

จะเรียกว่าความทรงจำได้อยู่อีกหรือ ในเมื่อมาเป็นสะเก็ด เป็นท่อน เป็นตะกอน มีความหลงลืมกำกับความทรงจำ เนื่องจากเรามักจำให้พูดเรื่องที่เราจำได้ ต้องจำ จำให้ขึ้นใจ นั่นสินะ เราจะพูดเรื่องที่เราลืมได้ไง หากเราลืมมันไปแล้ว หากเอ่ยถึงก็เท่ากับจำไหม ก็บางทีบางรายละเอียดมันเฟดออก จำได้เพียงโครง หรือคงเป็นเช่นนี้กับการลืม คือควบคู่มากับการจำ

ไม่เห็นแมงมุม หรือจะมีแต่ดันลืม

ความสงสัยรวมอยู่ในการลืมหรือเปล่า อาจแค่เศษตะกอน

*

ในวิดีโอจอลิงสำราญตัวนั้น สะดุดกับคำพากย์ไทยว่า ‘ความจริง’ แต่คำแปลอังกฤษให้อ่านว่า Reality สะดุดตั้งแต่คำโปรยนิทรรศการก่อนแล้วที่ว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจจะของความจริง’

สัจจะของความจริง = Truth of the Truth คืออะไร คือยิ่งกว่าเมตาฟิสิกส์?

บางทีความหมายซ้ำซ้อนสับสนอาจมีนัยถึงความเป็นจริงของสัตว์ (นก ช้าง ลิง ฯลฯ) ที่มนุษย์เข้าไม่ถึง หรือในภาษาจิตวิเคราะห์คือ The Real หรือสภาวะจริงที่เลยพ้นการนิยามหรือถอดแบบสัญลักษณ์ แม้แต่การพากย์สัตว์ ทำให้สัตว์พูด เป็นได้ก็เพียงขับเน้น The Real ที่หลุดรอดไปจากความเป็นจริง

ทุกการเปลี่ยนผ่านมุมมองจากคนสู่สิ่งที่ไม่ใช่คน มักเลี่ยงได้ยากว่าความจริงของคน ความเป็นจริงของคน แปดเปื้อนทั้ง Truth และ Reality ของสรรพสิ่งที่ไม่ใช่คน วิญญาณคน วิณญาณตน มักปนไปกับเสียงสัตว์ที่ปนเปื้อนไปด้วยคำคน

หรือว่า ‘สัจจะของความจริง’ คือระคนปนเปไปกับความเป็นจริงของคนที่สาละวนอลหม่านกับชีวิตตน ชีวิตการเมือง ชีวิตสังคม จนแปลงเสียงสัตว์เป็นโทนคน แปรแปลแปลงสำนวน ‘สัตว์สังคม’ ตามตัวอักษร

*

พื้นที่ต่อจากงานจัดวางไม้เท้าและจอลิง มากมายไปด้วยนก จนกลายเป็น ‘โซนนก’ ที่สามารถแยกเป็นนิทรรศการต่างหาก เพราะเมื่อ ‘ตะกอน’ จับกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้น มันจะผนึกเป็น ‘เงา’ ทึบที่เลือนความรู้สึกความทรงจำ ลบทั้งการเมือง เลือนทั้งความละเมียด

เมื่อนกแก้วช่างพูด ช้างช่างคิด ช่วงจังหวะที่จอว่างไร้คำเลยกลายเป็นความพิเศษนอกเหนือวาระอื่นใดที่แทรกเข้ามา

Fact Box

นิทรรศการ Remnants of Fading Shadows โดย วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร จัดแสดงที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ วันที่ 19 มิถุนายน-31 สิงหาคม 2568

Tags: ,