พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ที่เคย ‘เกือบ’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เลือกเขียนบันทึกลงใน The Almost Prime Minister หนังสือของเขา เพื่อเป็นบทสรุปเส้นทางทางการเมือง หลังถูกเกมของรัฐพันลึกเขี่ยให้ออกจากการเมืองเป็นเวลา 10 ปี จากข้อหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

สำหรับพิธา แรกเริ่มเขาเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองอย่างเป็นทางการกับพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะ สส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 4 รับผิดชอบดูแลเรื่องการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ หล่อเลี้ยงกว่า 60 ล้านชีวิต

หากยังจำกันได้ ในการอภิปรายในเวทีแถลงนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พิธาอภิปรายฉายภาพปัญหาของเกษตรกรด้วยวลี ‘กระดุม 5 เม็ด’ จนได้รับคำชื่นชม และตอนนั้นเองนับเป็นโมเมนต์แรกๆ ที่แสงสปอตไลต์ทางการเมืองเริ่มส่องมาถึงตัวเขา

ในปี 2563 มรสุมทางการเมืองระลอกแรกซัดถล่ม ‘พรรคอนาคตใหม่’ สังหารชีวิตทางการเมืองหลาย สส.ดาวเด่นทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช, กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ และอีกหลายคนอีกมากมาย

ทว่าดาวที่ชื่อว่า ‘พิธา’ ยังอยู่รอดดี พร้อมแบกรับภารกิจอันหนักอึ้งกับการกอบกู้อุดมการณ์สีส้มให้ยังเดินหน้าต่อไปในฐานะ ‘พรรคก้าวไกล’ เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ที่มีชื่อของเขาเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ’

แม้เป็นที่รู้กันว่าในห้วงเวลานั้นเกิดปรากฏการณ์ ‘ส้มฟีเวอร์’ พาชัยชนะการเลือกตั้งมาให้กับพรรคก้าวไกล สร้างความหวังในหมู่ประชาชนที่เบื่อหน่ายกับระบอบประยุทธ์ที่กุมอำนาจรัฐมากว่า 8 ปี

ทว่าเกมทางการเมืองไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อรัฐพันลึกของไทยเดินหน้าจักรกลบดขยี้ชัยชนะของสีส้ม ด้วยเกมโหวตเลือกนายกฯ ที่ต้องพึ่งเสียง สว.จากการแต่งตั้งของกลุ่มอำนาจเก่า ขจัดเส้นทางสู่ ‘ไทยคู่ฟ้า’ ของพิธาได้สำเร็จ

และซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น รัฐพันลึกยังเดินเกม ‘ตัดสิทธิทางการเมือง’ พิธาและกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล พร้อมกับการแปะป้ายว่า เป็นกลุ่มคนที่มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง

จนท้ายที่สุด ดาวที่ชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ต้องยุติการส่องแสงไปเป็นเวลา 10 ปี

อย่างไรก็ตามหลายๆ ครั้งที่เขามีโอกาสได้อภิปรายหรือแสดงวิสัยทัศน์ ภาพจำของหลายคนคงหนีไม่พ้นว่า เขาเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการใช้ภาษาเปรียบเปรยต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ‘กระดุม 5 เม็ด’ ‘กงล้อแห่งเวลา’ หรือ ‘มีเราไม่มีลุง’

จึงเป็นที่มาของวันนี้ที่ The Momentum มีโอกาสสุดพิเศษพูดคุยกับเขาคนนี้อีกครั้ง หลังจากที่หายหน้าหายตาไปจากการเมืองไทยครบ 1 ปีเต็ม กับการกลับมาพร้อมหนังสือคู่ใจเล่มใหม่อย่าง The Almost Prime Minister ในสัมภาษณ์ Close Up เทปพิเศษ Life through Quotes – สำรวจเส้นทางชีวิตทางการเมืองของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผ่าน ‘ประโยค’ อันโด่งดังของเขา

1

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 ในเวทีอภิปรายนโยบายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ นายกฯ ณ เวลานั้น พิธาในฐานะ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 4 ของพรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นอภิปรายฉายภาพปัญหาของเกษตรกรไทยด้วยโจทย์ ‘กระดุม 5 เม็ด’ ซึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ‘ปัญหาที่ดิน’ ที่ทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารได้

จากการอภิปรายครั้งนั้นทำให้ อดีต สส.อนาคตใหม่ได้รับคำชื่นชมทั้งจากประชาชน พรรคฝ่ายค้านร่วมกัน ตลอดจน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เอ่ยปากชมพิธา นอกจากนั้นซูเปอร์โพลเคยเคยสำรวจ เปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนต่อการแถลงนโยบายรัฐบาลวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2562 พบว่าพิธาเป็นนักการเมืองที่ได้รับความพึงพอใจมาเป็นอันดับที่ 1 ของการสำรวจครั้งนั้น

พิธาบอกว่า ไม่ได้คิดเลยว่าการอภิปรายครั้งนั้นจะทำให้ตนเองกลายเป็นดาวสภาฯ อีกทั้งการอภิปรายในครั้งนั้นไม่ใช่การอภิปรายปัญหาเกษตรเป็นครั้งแรก เพราะเป็นธรรมเนียมของสภาฯ ที่เมื่อเปิดประชุม สส.ก็จะโชว์พลังด้วยการอภิปรายปัญหานี้ด้วยเช่นเดียวกัน

“เรารู้อยู่แล้วว่า เรื่องของเกษตรกรรมไม่ได้เป็นความผิดของเกษตรกร เพราะราคาควบคุมไม่ได้ ต้นทุนก็ควบคุมไม่ได้ มันมีบริบทรอบปัญหา ตอนนั้นผมเลยคิดถึง ‘กระดุม’ ว่าถ้าเราติดผิด มันก็จะผิดไปตลอด” 

พิธากล่าวต่อว่า ในการอภิปรายครั้งนั้นขอยกเครดิตให้กับเกษตรกรจังหวัดสกลนคร เพราะตอนที่ได้ไปลงพื้นที่เพื่อพบปะกับชาวนา ตนเจอกับชาวนาทั้ง 2 ฝั่ง ได้แก่ ฝั่งที่สามารถทำเกษตรออร์แกนิกและส่งออกเองได้ ขณะที่อีกกลุ่มเป็นเกษตรกรกลุ่มที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ทำให้เข้าสู่ระบบธนาคารไม่ได้

“เกษตรกรกลุ่มที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เขาจะกู้ธนาคารไม่ได้ แล้วเขายังต้องเสียค่าที่ ตรงนี้มันทำให้เขาเริ่มด้วย ‘ติดลบ’ ขณะที่อีกฝั่งพอมีที่ดินของตัวเอง ก็สามารถเอาอันนี้เข้าเข้าสู่ธนาคารแล้วก็หมุนออกมาเป็นเงินได้ พอเขามีเงินทุนหมุนเวียนเขาก็จะเหมือนกับเข้าสู่ระบบทุนนิยมได้” พิธากล่าว

อดีต สส.อนาคตใหม่ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า การอภิปรายครั้งนั้นเป็นการอภิปรายในสภาฯ ชั่วคราวที่อาคารสำนักงาน TOT มีเสียงดังรบกวนมาก ทำให้รู้สึกว่าในวันนั้นไม่ค่อยมีสมาธิมากเท่าไร โดยรวมเนื้อหาที่อภิปรายรู้สึกพอใจ แต่การสื่อสารยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เมื่อถามว่าการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในวันนี้ควรเป็นอย่างไร พิธาให้คำตอบว่า วันนี้เกษตรกรเปรียบเสมือนนิวเคลียสที่อยู่กลางเซลล์ กล่าวคือปัจจัยการผลิตที่แวดล้อมกระดุม 5 เม็ดไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง ในมุมของรัฐบาลตนมองว่าควรใช้โอกาสในการเจรจาภาษีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ​ ให้นำเข้าเทคโนโลยีการเกษตรมาเสริมประสิทธิภาพของเกษตรกรไทย

พิธาฉายภาพให้ฟังว่า บริษัทที่มีความเข้มแข็งเรื่องเครื่องจักรการเกษตรส่วนใหญ่อยู่ในรัฐสมรภูมิ (Swing State) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

“การเกษตรของสหรัฐฯ เป็นการเกษตรแปลงใหญ่ (เกษตรกรรวมเป็นกลุ่มกัน) มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งบริษัทเหล่านั้นบริจาคให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาใน The Trump Victory Committee เยอะ

“เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเลือกขอไปนำเทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ หรือว่าเครื่องจักรการเกษตรที่ปรับใช้กับเกษตรกรไทยได้ เพื่อที่จะทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ ผลิตได้ดีมากขึ้น ต้นทุนถูกลง แถมคนที่เป็นเจ้าของบริษัทพวกนี้อยู่ในรัฐ Swing State เป็นคนที่บริจาคให้ทรัมป์เยอะ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเลือกตั้งกลางเทอม (Midterm Election) ที่ใกล้จะถึงนี้

“ผมก็เลยคิดว่าเช่นนี้น่าจะเป็นการ ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว’ เราไม่เสีย เราได้พัฒนามากขึ้น และสหรัฐฯ เองก็ได้ขายของ ที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จริงๆ” พิธากล่าว

2

“ผมขออวยพรผ่านไปยังผู้มีอำนาจทุกท่านที่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาไว้ได้ ผมขออวยพรให้ท่านมีอายุยืนเพียงพอที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี เห็นความต้องการของท่านถูกบดขยี้ด้วย ‘กงล้อของเวลา’ ที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และได้มีโอกาสรับรู้กับตาตัวเองว่า ผู้คนและยุคสมัยจะตราหน้าพวกท่านว่าอย่างไรในประวัติศาสตร์ของชาติเรา”

ข้างต้นคือหนึ่งในวาทกรรมของพิธาที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากเวทีอภิปรายต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564

“ผมคิดว่า วันนั้นจะพูดว่าอะไรกับการอภิปรายครั้งนั้นที่ริมน้ำอาคารรัฐสภา ในหัวของผมมันเริ่มด้วยคำว่า ‘วงจรอุบาทว์’ ด้วยความที่ประเทศเรามีรัฐประหารมากกว่า 10 กว่าครั้ง พรรคการเมืองโดนยุบแล้วยุบอีก วัฏจักรของอำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน ผสมกับความกลัวการเปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป จนทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันวนไปวนมา

“มันเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีนักการเมืองพรรคการเมืองคนไหนรอด ไม่มีพรรคการเมืองคนไหนมีสมาธิในการที่จะแก้ไขบ้านเมือง เพราะต้องแก้เกมการเมืองตลอดเวลา นั่นคือจุดเริ่มต้นของประโยคนั้น เวลาผมเขียนหรือคิดอะไรจะเป็นภาษาอังกฤษก่อน ก็คือ Vicious Cycle เราจะทำอย่างไรให้คำนี้มันออกมา” พิธาเล่าถึงที่มาของคำพูดในวันนั้น

อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวต่อไปว่า ในเรื่องนี้ขอยกเครดิตให้กับผู้ช่วย สส.คนหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่า อัพ เขาช่วยขยายความคำว่า ‘Viciuos Cycle’ ให้ออกมาเป็นคำว่า ‘กงล้อของเวลา’ ที่วันหนึ่งเมื่อรัฐพันลึกใช้วัฏจักรอำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน สักวันมันจะกลับมาทำร้ายอีกฝ่ายเสียเอง

พิธายังบอกด้วยว่า ‘กงล้อของเวลา’ ที่จะบดขยี้อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนนั้นขึ้นอยู่กับตัวของ ‘ประชาชน’ เองด้วย ซึ่งก็คือการแสดงออกผ่านเวทีการเลือกตั้ง เพราะเป็นเพียงเวทีเดียวที่ยังเหลืออยู่ของประชาชน

“เวทีการเลือกตั้งเป็นเวทีสุดท้ายที่เขายัง ‘ไม่สามารถเอาชนะ’ พวกเราได้ คราวนี้ถ้าเกิดประชาชนบอกว่า เบื่อการเมืองแล้ว ไม่มีความหวังกับการเมือง เลือกใครก็ออกมาเหมือนกัน เขาจะสามารถจิ้มเลือกคนได้หมด กงล้อแห่งเวลาก็คงจะหมุนแบบนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าเราไม่ลุกขึ้นมาหยุดมัน”

พิธายกตัวอย่างให้เห็นภาพการยุติวงจรอุบาทว์อย่าง ‘ประเทศเกาหลีใต้’ ที่เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ยุน ซอกยอล (Yoon Suk-yeol) อดีตผู้นำเกาหลีใต้ ประกาศกฎอัยการศึก แต่ปรากฏว่าประชาชนชาวเกาหลีใต้ไม่ยอมจำนน จนการเลือกตั้งครั้งใหม่มีประชาชนออกมาเลือกตั้งสูงถึง 81% จากปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 70%

“เราเคยทำกันสำเร็จตอนก้าวไกล มันไม่ใช่แค่ผมชนะ เราทำสำเร็จเพราะทำให้คนทั่วประเทศและคนไทยที่อยู่ทั่วโลกตื่นตัวกับการเมืองไทยและมาใช้สิทธิกัน 76% แต่หากการเลือกตั้งครั้งหน้าเหลืออยู่ 60% ก็จบ เพราะถ้าคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย มันจะสามารถควบคุมได้

“ผมคิดว่า ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน ถ้าเราสะสมชัยชนะเล็กๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผลักเส้นจนถึงระดับหนึ่งที่ทำให้วัฏจักรอำนาจของการปกครองประเทศนี้ยึดโยงกับประชาชนแค่นั้นก็พอแล้ว” พิธาระบุ

3

ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ที่ผ่านมา แม้ในช่วงแรกของการหาเสียง กระแสของพรรคเพื่อไทยจะมาด้วยความร้อนแรงของการเปิดตัว แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย พร้อมประกาศจะคว้าชัยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์เหมือนที่พรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย เคยทำได้ในอดีต

แต่ทว่าการหาเสียงในช่วงท้ายของการหาเสียง เริ่มมีคำถามในประเด็น ‘การจับขั้วรัฐบาล’ ถูกโยนเข้ามาเป็นหนึ่งในโจทย์ของการเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นตัวเลือกของประชาชน ทางฝั่งพรรคเพื่อไทยระบุแบบกว้างๆ ว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้” แต่ขณะที่พรรคก้าวไกลโดยพิธาเลือกที่จะประกาศแบบชัดเจนบนเวทีหาเสียงที่สามย่านมิตรทาวน์ว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” จนทำให้ท้ายที่สุดผลการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับที่ 1 ขณะที่พรรคเพื่อไทยมาเป็นอันดับที่ 2

“สิ่งที่เข้ามาในหัวผมตอนนี้คือ นับลุงไม่ครบ ปกติผมเรียกเขาอาไง ผมไม่ได้เรียกเขาว่าลุง ก็เลยนับไม่ครบ ผมเรียกคุณอาทักษิณ ไม่ได้เรียกคุณลุงทักษิณ” พิธากล่าวพร้อมหัวเราะอ่อนๆ

เดิมทีพิธาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะใช้โควตดังกล่าวในเวทีการหาเสียง โดยพิธาเล่าว่า อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในตอนเช้าก่อนหาเสียงเลือกตั้ง แล้วปรากฏอยู่ในพาดหัวว่า ‘มีลุงไม่มีเรา’ ซึ่งตนไม่คิดว่าจะใช้ เพราะมันอันตรายเกินไป หากมีคนมานำคำพูดดังกล่าวไป ‘บิดสาร’ ว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจคนรุ่นใหญ่ แต่ที่ใช้ในตอนนั้นเพราะว่า ตนไม่มีสคริปต์หาเสียงอะไรอยู่ในหัวอีกต่อไป ระหว่างปราศรัยก็คิดอะไรไปเรื่อยจนกระทั่งคำนี้เข้ามาในหัว

พิธากล่าวต่อว่า หลังจากนั้นก็กลายเป็น ‘Accidental Winning Quote’ ขึ้นมา ซึ่งตอนหลังก็ต้องมาทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจคนรุ่นใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุหรือศูนย์ชราภาพ จนทำให้พรรคก้าวไกลสามารถชนะการเลือกตั้งที่จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีปัญหาสังคมผู้สูงอายุรุนแรงที่สุดในประเทศได้

“เราต้องเป็นพรรครุ่นใหม่ที่ใส่ใจคนรุ่นใหญ่ ให้เขาเข้าใจว่า ‘ลุง’ ไม่ได้หมายถึงคนที่เป็นลุง แต่มันหมายถึงลุง 3 ป. พูดง่ายๆ คือไม่เอารัฐประหาร ขอเป็นประชาธิปไตย ยึดโยงกับประชาชนมากกว่า”

เมื่อถามต่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ดูว่าจะ ‘ไม่มีลุง’ อีกต่อไปแล้ว พรรคประชาชนจะใช้เรื่องใดเพื่อหาเสียงและนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง พิธามองว่า “ก็คงเหมือนเดิม” แต่ต้องเพิ่มการแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับ เพราะบริบทของปี 2562 มาจนถึงปัจจุบันมีหลายเรื่องที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับ เศรษฐกิจแย่มากขึ้น สังคมแตกแยกมากขึ้น ปัญหายาเสพติด รวมไปถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ล้วนแล้วแต่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนแย่ลง

“คราวนี้มันต้องทำให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วของพรรคที่โดนปฏิเสธไม่ให้ปฏิบัติมา 2 ครั้ง ใช้วิธีการหาเสียงที่โน้มน้าวว่า สิ่งที่เราจะทำคือสิ่งที่ถูกต้องและเราจะทำครบมากกว่า ในลักษณะที่เรารู้ว่าเราต้องแก้กฎหมายแบบใด เราต้องเอางบประมาณมาจากไหน มีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร

“ทั้ง Financial, Legal, Strategy และ Operation มันต้องมาในแพ็กเกจเดียวกัน เพราะว่ามันก็คงบอกไม่ได้หรอกว่าประชาชนจะเลือกด้วยความรู้สึก หรือเลือกด้วยจุดยืน แต่ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าเรามีความสามารถในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้” พิธากล่าว

4

“ขอใช้โอกาสนี้ในการอำลาท่านประธานฯ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ ผมคิดว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ประชาชนชนะมาแล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง แม้ว่าผมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ขอให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนต่อไป”

ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่อาคารรัฐสภามีการเลือกนายกฯ คนที่ 30 เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งวันนั้นเป็นวันเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พิธา ‘ยุติปฏิบัติหน้าที่’ สส.ชั่วคราว จากกรณีการถือครองหุ้น iTV โดยคำพูดที่พิธาได้กล่าวต่อประธานสภาฯ ในวันนั้น สาระสำคัญอยู่ที่คำว่า ‘…จนกว่าเราจะพบกันใหม่’ โดยพิธากล่าวเสริมว่า วันนั้นเป็นวันที่เลือกนายกฯ เป็นครั้งที่ 2 มีการสกัดตนทั้งจากฝ่ายนิติบัญญัติที่บอกว่า ไม่สามารถโหวตพิธาเป็นนายกฯ อีกได้ เนื่องจากเป็นญัตติซ้ำ ก่อนที่ช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงจะมีคำสั่งจากศาลฯ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

“ก่อนเข้าสู่การขานเลือกนายกฯ ผมมีแค่โอกาสครั้งเดียว สิ่งที่รู้สึกว่า ถ้าผมมีโอกาสมากกว่านั้นอาจจะเปลี่ยนคำว่า Almost (Prime Minister) เป็น Already (Prime Minister) ก็ได้ เพราะว่าเราก็มีแผนในการเดินเกมต่อให้ได้เสียงครบมา สภาสูงเราเห็นแล้วว่า 45 คนที่สัญญาแล้วไม่ได้มา และเราจะไปโน้มน้าวเขาอีกรอบหนึ่งทำให้เขามา

“ตอนนั้นผมมั่นใจในข้อเท็จจริงของผมมาก หลังจากนั้น 6 เดือนผมก็ได้กลับเข้าสภาฯ ก็เลยทำให้ผมรู้ว่าโดนรังแกแบบไหน” พิธาสาธยาย

ขณะที่ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล รวมถึงตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคจากข้อหาล้มล้างการปกครอง พิธาระบุว่า ยังจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี ในเรื่องส่วนตัวไม่มีอะไรที่ค้างคาใจแล้ว เพราะพิสูจน์ตัวเองในฐานะหัวหน้าพรรคได้แล้วในเกมที่ถูกออกแบบมาให้แพ้

“แต่ถ้าเป็นเรื่องภาพกว้างใหญ่ รู้สึกเป็นห่วงบ้านเมือง เพราะว่าพรรคก้าวไกลเป็นอีกพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ถ้าถามว่าส่วนตัวไม่เสียใจเหรอ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม แต่มันเป็นเรื่องที่ผมโดนเหมือนอย่างที่ทุกคนในเกมนี้เคยโดน เลยเป็นห่วงที่เกม ไม่ได้เป็นห่วงที่ผู้เล่นสักเท่าไร

“ผมได้กลับไปที่ Harvard University ที่จบมา 14 กว่าปีที่แล้ว ได้เอาสิ่งที่เราเรียนรู้จากในหนังสือเรียนมาใช้จริงกับแคมเปญก้าวไกล มาเป็นนักการเมืองจนชนะแล้ว คราวนี้ผมก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยกลับมาเป็นตำราให้นักเรียนรุ่นใหม่ นักการเมืองรุ่นใหม่ที่อยู่ที่นั่น พยายามจะเป็นโคชแทน เพราะว่าเขาบังคับให้เรานั่งลง เขาห้ามเราเล่น แต่เราก็เป็นโคชที่หาผู้เล่นใหม่ๆ เข้าการเมืองไทยเยอะๆ

“มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีพาวเวอร์แบงก์ตลอดเวลา มีความหวังตลอดเวลาที่เจอคนไทยเก่งๆ ทั่วโลก ถ้าเขาไม่อนุญาตให้เราปรับโครงสร้างประเทศให้มันตอบโจทย์กับศตวรรษที่ 21 เราก็อาจจะต้องใช้วิธีเอาเลือดใหม่เข้าการเมืองไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) หน้าเก่า

“เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่เข้าการเมืองไทยเยอะๆ อย่าไปคิดว่าการเมืองสกปรกหรืออันตรายอะไร ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นที่ที่เขาผูกขาดว่าเป็นที่ของนักการเมืองอาชีพอย่างเดียว”

เมื่อถามกลับไปว่า หากพิธามีโอกาสกลับมาเล่นการเมือง ปณิธานการเมืองของเขาจะเป็นอย่างไร อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลยิ้มก่อนให้คำตอบว่า “ไทยเท่าเทียมกัน-เท่าทันโลก” พร้อมอธิบายว่า ไม่ว่าคนจะมีรวย ยาก ดี มี จน หรือว่าอาชีพอะไร รหัสไปรษณีย์ไหน ตนอยากให้การเข้าถึงของคำว่าโอกาสเท่าเทียมกัน คือมันไม่ได้หมายความว่า จะให้รายได้เท่ากันเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยโอกาสของการศึกษา หรือโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะมีความใกล้เคียงกัน เพื่อให้ต้นทุนชีวิตมันมีเท่ากัน

ขณะเดียวกันพิธายังกล่าวต่อว่า ไม่ได้หมายความว่าตนต้องการสังคมนิยม แต่ยังผมต้องการให้ประเทศไทยเท่าทันโลก ต้องการให้ศักยภาพการแข่งขันของทุนไทยไม่แพ้ Samsung หรือ TSMC บริษัทผลิตชิปเซตของไต้หวัน

“ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ว่า ดูแลแรงงานของเราให้ดี กระจายอำนาจ กระจายถ้าเราเศรษฐกิจให้ดี อย่างน้อยเมื่อมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเข้ามา ปัญหามันจะไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างเดียว ในขณะเดียวกันก็ดูแล SMEs ไปด้วย ทำให้ผลผลิตของแรงงานดีขึ้นไปด้วย คนที่เป็นทุนใหญ่เมื่อมองกลับมาก็จะรู้สึกดี เพราะว่ากลายเป็นว่าเรามีตลาด มีความต้องการในประเทศมากขึ้น ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกอย่างเดียว

“แต่ถ้าเกิดแรงงานมีการ Reskill Upskill ตลอดเวลา มันก็ทำให้บริษัทหรือกลุ่มทุนเข้มแข็งมากขึ้นตามไปด้วย กลายเป็น Inclusive Growth ที่ได้ทั้งการดูแลประชาชน และประชาชนเหล่านั้นก็เป็นประโยชน์ให้กับภาคเศรษฐกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลฉายภาพ

5

1 ปีหลังจากที่การเมืองไทยไร้ชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อย่างที่รู้กันว่าเขาได้เดินทางออกไปยังต่างประเทศเพื่อเผยแพร่เรื่องราวการเมืองไทย ตลอดจนเป็น ‘โคช’ ให้กับนักเรียน-นักศึกษารุ่นใหม่อย่างเกริ่นไปข้างต้น ก่อนที่พิธาจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งในฐานะ ‘นักเขียน’ กับหนังสือเล่มใหม่ของเขาอย่าง The Almost Prime Minister หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวทางการเมืองของเขา

“การเขียน Political Memoirs เป็นความทรงจำส่วนตัวที่อ้างอิงมาจากข้อแท้จริงในมุมที่เราเห็น มันมีแต่ผมรู้อยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นเวลาเราเขียน Political Memoirs มันจึงมีความส่วนตัวสูงมาก

“แต่ในขณะเดียวกันผมเขียนเล่มนี้มาให้คนที่อ่านสามารถเชื่อมโยงตัวเองในช่วงเวลาตั้งแต่ยุบสภาฯ จนถึงยุบพรรค เช่น ในช่วง 14 พฤษภาคม 2566 พวกคุณทำอะไรกันอยู่ อะไรคือเรื่องราวของตัวเอง คืออ่านเสร็จแล้วไม่ใช่แค่เข้าใจผมมากขึ้นอย่างเดียว แต่นึกถึงตัวเองด้วย” พิธาเล่าเบื้องหลังการเขียนหนังสือ

และข้างต้นนั้นจึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดพิธาถึงเลือกใส่ประโยค “แม้เส้นทางของผมจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ไม่มีกุหลาบสักกลีบเดียวและยังสั้นแสนสั้น แต่คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเชื่อมโยงไปหามหาสมุทร” ลงในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา

“หากให้นิยาม 1 ปีที่หายไปพิธาจะนิยามว่าอย่างไร” ผู้เขียนเลือกคำถามนี้เป็นคำถามสุดท้าย

อดีตว่าที่นายกฯ คนที่ 30 ของประเทศคนนี้ตอบแบบทันทีทันใดว่า “สดชื่นครับ ได้เดินทางเยอะ แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ๆ เจอคนเก่งๆ เยอะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แล้วผมก็รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วพอสมควร ตอนนี้ครบ 1 ปีที่ยุบพรรคแล้ว เพราะฉะนั้นถ้า 1 ปีผ่านไปเร็วอีก 9 ปีก็คงไม่ได้นานขนาดนั้นแล้ว”

Tags: , , , , , , ,