“มองหน้ายายให้ดี จำไว้ นี่คือสีหน้าสิ้นหวัง ถ้ายายทำหน้าแบบนี้อีกเมื่อไร ถึงตอนนั้นหนูจะต้องตาย แล้วยายก็ต้องตายด้วย ถ้าหนูกอดใคร ยายก็จะกอดหนู ถ้าหนูเอามีดไปกรีดใคร ยายจะกรีดหนูด้วย แล้วถ้าหนูฆ่าใคร ยายก็จะฆ่าหนู นี่คือกฎระหว่างยายกับหนู เข้าใจหรือยัง”
ได้ฟังดังนั้น คี กายอง ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นไซโคพาธก็ไม่ใช้ความรุนแรงกับสัตว์หรือใครในชีวิตของเธออีกเลย เพียงไม่กี่วันหลังจากออกฉาย เนื้อหาจากซีรีส์ Genie, Make a Wish ก็เป็นที่พูดถึงในแง่ดี เนื่องจากเรื่องราวในวัยเด็กของนางเอกนั้น เขียนขึ้นด้วยเป้าหมายลดการตีตรากลุ่มผู้มีบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder: ASPD) หรือไซโคพาธ (Psychopath) ที่ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับคนทั่วไป

ที่มา: Genie, Make a Wish (2025)
ในความเป็นจริง ทั้งผู้มีความผิดปกติทางบุคลิกกลุ่มไซโคพาธและกลุ่มโซซิโอพาธ (Sociopath) หลายคน เติบโตมาใช้ชีวิตที่ปกติธรรมดายิ่งกว่ากายองเสียอีก เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้แค่เรียนรู้สีหน้าและอารมณ์อันซับซ้อน เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเท่านั้น แต่เพื่อลอกเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้น และเข้าสังคมให้ได้อย่างแนบเนียนที่สุดด้วย
เราเรียกผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวว่า Masking ซึ่งนอกจากจะพบได้ในผู้มีบุคลิกภาพผิดปกติแล้ว ยังเป็นทักษะที่ผู้มีภาวะออทิสติก ผู้มีภาวะสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตกลุ่มอื่นๆ ต่างก็จำเป็นต้องเรียนรู้เช่นกัน
‘หน้ากากจิตปกติ’
ที่มา: Mosby
เมื่อไรก็ตามที่ได้ยินคำว่า ไซโคพาธ เรามักนึกถึงสารพัดตัวละครในหนังซึ่งมีนิสัยก้าวร้าว เลือดเย็น เปี่ยมไปด้วยเจตนาที่จะทำร้ายผู้อื่นเพียงเพื่อสนองความบันเทิงส่วนตน แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยภาวะไซโคพาธนั้น ห่างไกลจากสถานการณ์น่าตื่นเต้นและดราม่าเร้าอารมณ์อย่างในหนัง เพราะโดยมากมักมุ่งเน้นไปที่เกณฑ์การชี้วัดและความถูกต้องในการนำคำว่าไซโคพาธ ไปนิยามบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ไซโคพาธ (Psychopathy) คือบุคลิกภาพรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเด่นคือขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่รู้จักสำนึกผิดชอบ มีรูปแบบพฤติกรรมต่อต้านสังคมอย่างต่อเนื่อง ชื่นชอบความเสี่ยง ไม่ยับยั้งชั่งใจ และมองโลกโดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทว่าลักษณะทุกประการที่ว่ามานี้มักถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสน่ห์คารม
พวกเขาอาจขาด Empathy ในความหมายที่คนทั่วไปใช้กันติดปากคือ ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ แต่เป็น Empathy ตามนิยามทางจิตเวช ก็นับว่าพวกเขาไม่ได้ขาด ‘ทักษะการเข้าถึงใจคน’ ไปโดยสิ้นเชิง เพราะยังสามารถเข้าถึงใจคนอื่นผ่านมุมมองความคิด (Cognitive Empathy) ด้วยการใช้หลักเหตุผล แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่เก่งเอาเสียเลย คือการเข้าถึงใจคนลึกถึงระดับอารมณ์ (Affective Empathy)
อารมณ์ที่พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งมีเพียงอารมณ์พื้นฐานอย่างโกรธ พึงพอใจ เบื่อ หรือกังวล แต่หากไม่ใช่กับอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างสิ้นหวัง ละอายใจ ภาคภูมิใจ รู้สึกผิด เป็นห่วงเป็นใย ฯลฯ แม้คนปกติจะสามารถเข้าใจได้เองจากการสั่งสมประสบการณ์ ต่างจากผู้มีบุคลิกแบบไซโคพาธ ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้และจดจำเครื่องมือทำความเข้าใจผู้อื่น ในรูปสีหน้า ท่าทาง รูปแบบคำพูดตอบกลับ สัญญาณทางสังคม (Social Cue) ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ชาวไซโคพาธที่ขาดโอกาสหรือขาดความสามารถที่จะเรียนรู้ทักษะการทำเข้าใจอารมณ์ผู้อื่นเชิงอารมณ์ และฝึกทักษะยับยั้งแรงกระตุ้นชั่ววูบ อาจมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมละเมิดบรรทัดฐานทางศีลธรรม หรือข้ามเส้นกฎหมายมากกว่าคนอื่น แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป ปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น พื้นเพครอบครัว ประวัติการใช้สารเสพติด สภาพเศรษฐกิจสังคม และภาวะจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วย ต่างมีบทบาทสำคัญและสามารถส่งอิทธิพลต่อผลลัพธ์ได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
จิตแพทย์คนแรกที่ใช้เริ่มคำว่าไซโคพาธ ตามความหมายที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันคือ จูเลียส โคค (Julius Koch) ผู้ศึกษาภาวะผิดปกติทางบุคลิกภาพในเยอรมนีช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่บุคคลที่ทำให้คำนี้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือ ดร.เฮอร์วีย์ เอ็ม. เคล็กลีย์ (Hervey M. Cleckley) ผู้บุกเบิกการศึกษาวิจัยภาวะไซโคพาธอย่างลึกซึ้ง โดยแยกความผิดปกติลักษณะนี้ขาดออกมาจากภาวะวิกลจริต (Psychosis) หรืออาการของโรคประสาท (Neurosis) เนื่องจากชาวไซโคพาธมักไม่มีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน มีแค่ความผิดปกติทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมเท่านั้น
ภายหลังหนังสือ The Mask of Sanity ของเขา กลายมาเป็นงานเขียนด้านจิตเวชศาสตร์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญของหนังสือคือ ผู้มีภาวะไซโคพาธนั้นสามารถปรับตัว แสดงพฤติกรรมให้ดูปกติ และใช้ชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้อย่างแนบเนียน แม้จะมีภาวะผิดปกติทางจิตใจที่ซ่อนอยู่ แนวคิดและงานวิจัยของเขาค่อยๆ ไปทลายภาพจำเดิมในความคิดของคนยุคก่อนศตวรรษที่ 20 ที่ว่า ผู้ป่วยมักจะต้องแสดงท่าทางเหมือนเสียสติหรือ ‘เป็นบ้า’ ออกมาให้เห็น
ไม่เพียงเท่านั้น เคล็กลีย์ยังเขียนถึงไซโคพาธกลุ่มที่ประสบความสำเร็จ (Successful Psychopath) ด้วย ไม่ใช่แค่สำเร็จในแง่ความก้าวหน้าของชีวิต แต่หมายถึงความสำเร็จในการยับยั้งตนเอง ไม่ให้แสดงพฤติกรรมต่อต้านสังคม ใช้ความรุนแรง หรือก่ออาชญากรรม
จากการวิเคราะห์วิจัยของเขา ยุคหลังจึงเริ่มมีการตีความและคาดเดาว่า บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อาจเข้าข่ายไซโคพาธ เช่น ชัก เยเกอร์ (Chuck Yeager) นักบินคนแรกที่สามารถทำลายกำแพงเสียงได้จนได้รับการขนานนามเป็นวีรบุรุษยุคสงครามโลก อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของตัวละครมาเวอริคในภาพยนตร์ Top Gun (2022)

ที่มา: Casino Royale (2006)
หรือกระทั่งตัวละครฝ่ายธรรมะในวรรณกรรมอย่าง เชอร์ล็อก โฮมส์ และเจมส์ บอนด์ ก็มีลักษณะที่เข้าเค้าไซโคพาธกลุ่มสติปัญญาสูง (High Functioning) ตามตำราเช่นกัน
แม้ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัยและแม่นยำกว่ามาแทนที่องค์ความรู้ของเคล็กลีย์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคู่มือการวินิจฉัยและสถิติความผิดปกติทางจิต (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders: DSM), เช็กลิสต์ไซโคพาธของ โรเบิร์ต แฮร์ (Hare Psychopathy Checklist-Revised: PCL-R) หรือแบบทดสอบอื่นๆ อีกมากมาย แต่กรณีศึกษาที่เขาบันทึกไว้ก็ยังถือเป็นรากฐานสำคัญในการวินิจฉัยบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมกลุ่มไซโคพาธ
ที่สำคัญคืองานเขียนชิ้นนี้ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นเส้นแบ่ง ‘ความปกติ’ ชัดขึ้นและหันมาตั้งคำถามกับมัน เพราะในทางหนึ่ง Masking ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้มีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติเท่านั้น แต่เป็นกลไกทางสังคมที่มนุษย์ทุกคนต่างใช้ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบ บทบาท และความคาดหวังรอบตัว เพียงแต่คนทั่วไปอาจทำสิ่งนี้ได้โดยธรรมชาติ จึงไม่ถูกรับรู้ว่า เป็นวิธีหนึ่งในการรับมือกับอาการทางจิต และสิ่งที่อยู่ในใจเราเท่านั้นเอง
อ้างอิง
Cleckley, H. (1941). The Mask of Sanity: An Attempt to Clarify Some Issues About the So-Called Psychopathic Personality. Mosby.
Meloy, J. R. (15 June 2022). Psychopathy and the mask of sanity. Psychology Today. https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-mysteries-love/202206/psychopathy-and-the-mask-sanity
Psychology Today. Masking. https://www.psychologytoday.com/us/basics/masking
Tags: Mental Health, Masking, Psychopath, Sociopath, Autism, ADHD, เข้าสังคม, Knowledge and Wisdom, Wisdom