‘กางเกงแมวโคราช’ อาจฟังดูเหมือนของที่ทำขึ้นเล่นๆ แต่กลับไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เมื่อกางเกงลายแมวสีเทาหรือแมวสีสวาด สัตว์ประจำจังหวัดนครราชสีมา ถูกออกแบบให้ร่วมสมัยและใส่ง่าย จนกลายเป็นไวรัลที่คนต่อคิวซื้อกันยาวเหยียดที่ลานย่าโม
จากเดิมที่เป็นเพียงโจทย์ประกวดออกแบบลาย KORAT Monogram ของหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ในปี 2566 เพื่อต่อยอดอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างแมวโคราช ปราสาทหินพิมาย และประตูชุมพล วันนี้ผลงานที่ได้ไม่เพียงพิมพ์ลงบนกางเกงขายาวราคาจับต้องได้ (199 บาท) แต่ยังต่อยอดสู่เสื้อ หมวก และกระเป๋า กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้จริง
เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ครั้งนี้มาจาก โจ-จิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ นักธุรกิจรุ่นใหม่และอดีตประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนให้ ‘กางเกงแมวโคราช’ ไม่ใช่แค่แฟชั่นที่ทำชั่วคราว แต่เป็นการทดลองที่ทำให้เห็นว่า ถ้าออกแบบให้เข้ากับชีวิตประจำวันมากพอ ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่นก็พร้อมจะถูกหยิบมาใส่ได้ทุกวัน
จากลายประกวดสู่ไวรัลกางเกงแมวโคราช
โจเล่าว่า ตอนที่ยังเป็นประธานกลุ่ม YEC เขาเริ่มคิดถึงการสร้างแบรนด์เมืองโคราช และพบว่ายังไม่เคยมีการทำอย่างจริงจังมาก่อน จึงชวนหน่วยงานในจังหวัดมาช่วยกันประชาสัมพันธ์ ผ่านการประกวดออกแบบลาย KORAT Monogram ผลที่ได้คือ ‘ลายแมวโคราช’ ที่โดดเด่นและกลายเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของเมือง
แนวคิดหลักคือการเปิดกว้างให้คนโคราชมีส่วนร่วมในการออกแบบอัตลักษณ์ มีการประชาสัมพันธ์และรวบรวมแบบลายอัตลักษณ์จากคนในเมืองเป็นจำนวนมากถึง 100 กว่าแบบ และมีการโหวตเลือกลายที่คนในเมืองอยากใช้ ผลคือได้ลายแมวโคราชที่เราเห็นกันในปัจจุบัน เป้าหมายไม่ใช่แค่การประกวด แต่เป็นการสร้างสิ่งที่สามารถไปต่อได้
“ถ้าเราไม่เอาลายที่ชนะมาทำต่อ ทุกอย่างก็จะเหมือนการประกวดทั่วๆ ไป” โจบอก นั่นทำให้เกิดกางเกงแมวโคราช ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน ‘มามูย่า’ และได้รับความสนใจมหาศาล จากที่ตั้งใจขายเพียง 300 ตัว กลับขยายไปถึง 3 หมื่นตัว และจนถึงวันนี้ขายไปแล้วมากกว่า 5 แสนตัว
โจมองว่า กระแสของกางเกงแมวโคราชไม่ได้เกิดจากงบโฆษณาใหญ่โต แต่เกิดจากการแพร่กระจายผ่านโซเชียลฯ คอนเทนต์ และไอเทมต่างๆ ที่ผู้คนหยิบไปเล่าต่อกัน จนกลายเป็นไวรัลที่ทำให้ทั้งเมืองถูกพูดถึง
กระแสของกางเกงแมวโคราชไม่ได้อยู่แค่ในออฟไลน์ แต่ยังแรงไปสู่โลกออนไลน์ อย่างเกม Free Fire เกมแนวแบตเทิลระดับโลกจาก Garana ที่มีผู้เล่นกว่า 160 ประเทศ โดยกางเกงแมวโคราชกลายเป็นไอเทมยอดนิยมในเกม โจเล่าต่อว่า “การที่อัตลักษณ์ของโคราชได้เข้าไปอยู่ในเกม ทำให้เมืองเป็นที่รู้จักกว้างขึ้น และทำให้ของดีโคราชถูกมองเห็นในระดับสากล”
ไม่เพียงแต่โลกออนไลน์เท่านั้น แต่กระแสยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนโคราชมากขึ้น โดยเฉพาะเขาใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่หลายคนเลือกให้เป็นจุดหมาย Workcation เพราะได้ทั้งธรรมชาติสีเขียว ที่พักคุณภาพ และอินเทอร์เน็ตพร้อมทำงาน เรียกได้ว่า กางเกงแมวโคราชไม่ใช่แค่สินค้าที่ดัง แต่ยังช่วยพาเมืองทั้งเมืองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
บทบาทการเป็นประธาน YEC
โจเล่าถึงบทบาทในช่วงที่ขึ้นมาเป็นประธาน YEC ว่า สิ่งแรกที่ให้ความสำคัญคือ การพัฒนาคนและการพัฒนาธุรกิจของตัวเอง เพราะเขาเชื่อว่าถ้าธุรกิจแข็งแรง ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนเมืองได้จริง “ถ้าเราไม่เก่ง ไม่พัฒนา ทีมก็ไม่สามารถดึงความรู้และศักยภาพที่แท้จริงมาช่วยเมืองได้ ทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน”
ในทางปฏิบัติ เราชวนเพื่อนๆ นักธุรกิจมานั่งคุยกันตรงๆ ว่า ธุรกิจใครกำลังเจอปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน บัญชี หรือการสร้างแบรนด์ แล้วหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำแบบตรงจุด เป้าหมายไม่ใช่แค่จัดงานให้เมืองได้ประโยชน์ แต่ต้องทำให้ผู้ประกอบการที่ร่วมด้วยก็ได้ประโยชน์กลับไปเช่นกัน
“นโยบายของผมง่ายมาก คือถ้าใครเข้ามาในเมือง ไม่ว่าจะมาทำงานหรือมาเรียนรู้ ทุกคนควรได้โอกาสเรียนรู้จากคนเก่งๆ ไปพร้อมกัน เพื่อที่ทั้งตัวเราและบ้านเมืองจะได้เติบโตไปด้วยกัน” โจสรุปถึงหลักคิดที่ยึดถือมาตลอด
จากหลายสิ่งที่ทำมาเห็นการเปลี่ยนแปลงของโคราชอย่างไร
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงของโคราชตลอดหลายปีที่ผ่านมา โจเล่าว่า พ่อเป็นคนชลบุรี ส่วนแม่เป็นคนโคราช วัยเด็กจึงเติบโตที่ชลบุรีและได้เห็นความเจริญของเมืองนั้นชัดเจน เมื่อเทียบกับโคราชในตอนนั้นถือว่าแตกต่างกันมาก ทำให้เขายังไม่รู้ว่าจะกลับมาโคราชเพื่อทำอะไร จนกระทั่งแม่ชวนให้ลองกลับมาและสำรวจพื้นที่ดู ประกอบกับอาชีพที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ที่ดิน ทำให้มีโอกาสได้ลงพื้นที่หลายแห่ง และค่อยๆ เริ่มอินกับเมืองนี้มากขึ้น อยากเห็นโคราชพัฒนาไปข้างหน้า
“ช่วงแรกผมเป็นคนนอก มองเมืองนี้แล้วก็คิดว่าเจริญอยู่แล้วนะ โครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างถูกวางไว้เหมาะสม แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมเห็นรายละเอียดที่เปลี่ยนไป” โจเล่าว่า หนึ่งในสิ่งที่เห็นชัดคือเรื่องรถไฟความเร็วสูง ถึงแม้ยังไม่เกิดขึ้นทันที แต่เมื่อมีจริงจะทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาโคราชเหลือแค่ครึ่งชั่วโมง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่ไปเขาใหญ่สามารถแวะเข้าเมืองได้สะดวก จากที่เดิมโคราชแทบไม่มีอะไรดึงดูดแข่งกับเมืองอื่นมากนัก อีกทั้งจากการทำงานด้านเกษตร เขายิ่งมองเห็นว่า ทำเลและพื้นที่ของโคราชมีศักยภาพ เหมาะกับการต่อยอดในหลายด้าน
“หลายคนถามว่า ทำไมอินกับการพัฒนาเมืองขนาดนี้ จริงๆ ผมไม่เคยมองว่ามันจะต้องไปถึงขั้นการเมืองหรือคิดจะไปเป็น สส. สำหรับผม ชีวิตคือสิ่งสำคัญ การได้ลงมือทำอะไรเพื่อเมือง มันเหมือนเป็นการเก็บแต้มชีวิตของผม”
ที่ผ่านมา โจเคยทำงานทั้งในกระทรวง องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเอกชน จึงพอเข้าใจว่า การจะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงหรือเกิดการพัฒนาได้ ต้องอาศัยทั้งวิธีคิดและการลงมือทำที่จริงจัง นั่นจึงกลายเป็นทั้งธุรกิจและบทบาทที่เขาเลือกเดิน เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการสังคม แม้จะฟังดูใหญ่ แต่สำหรับโจแล้ว นี่คือสิ่งที่ใช่และเป็นสิ่งที่อยากทำจริงๆ
โคราช เมืองที่มีความสมบูรณ์ในแบบของตัวเอง
โคราชยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่โจมองว่า การโฟกัสแค่สิ่งที่ขาดไม่ได้ช่วยให้เมืองเติบโต
“ถ้าเราเอาแต่โฟกัสสิ่งที่ไม่มี เราก็จะเผลอเอาไปเทียบกับกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ แล้วสุดท้ายก็ถอดใจ แต่ถ้ามองกลับมา เรามีภูมิศาสตร์ที่ดี มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ มีอากาศดี และมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่น่าสนใจ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นจุดแข็ง และสามารถต่อยอดไปสู่เรื่อง Wellness ได้”
โจเล่าว่า ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังวางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมมากขึ้น เพื่อให้การเดินทางมาโคราชเป็นเรื่องง่าย เช่น การจัดระบบรถรับส่งจากสนามบิน ลงดอนเมืองแล้วสามารถตรงมาที่เขาใหญ่หรือในเมืองโคราชได้ทันที ไปจนถึงมาตรฐานโรงแรมและคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่แม้จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ผู้เข้าพักก็ยังสามารถเชื่อมต่อออนไลน์ได้อย่างราบรื่น และยังมีแพ็กเกจพักผ่อนระยะยาวร่วมกับโรงแรมในพื้นที่ ราคาจับต้องได้ กระตุ้นให้ผู้มาเยือนอยู่ต่อเนื่องนานขึ้นและสัมผัสวิถีโคราชอย่างเต็มที่
ล่าสุดเขาใหญ่ได้รับการจัดอันดับจาก Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว ให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชนบทยอดนิยมในเอเชีย โดยมองให้เฉพาะพื้นที่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาและเนินเขา ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในหมู่นักเดินทางที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นและความงดงามของธรรมชาติ
อีกทั้งโจสังเกตว่า “ปัจจุบันมีคนรุ่นใหม่กลับมาทำธุรกิจในโคราชมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในกลุ่ม YEC ก็มีสมาชิกกว่า 400 คน ครอบคลุมแทบทุกประเภทธุรกิจ ถือว่าเป็นตัวเลขที่ใหญ่เมื่อเทียบกับหลายเมือง การที่ผู้คนเริ่มเห็นว่า โคราชกำลังเจริญขึ้น มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้หลายคนตัดสินใจกลับบ้านมาลงทุนและสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่นี่
“ในเชิงเศรษฐกิจ โคราชยังมีโอกาสอีกเยอะเลย ตอนนี้เหมือนอยู่ในช่วงเก็บแรง เก็บตัว พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ แบบเงียบๆ เพื่อรอวันยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งถ้าทำต่อเนื่องแบบนี้ ศักยภาพของเมืองจะยิ่งชัดเจน และโอกาสเติบโตก็มีมากแน่นอน”
และถ้าพูดถึงเสน่ห์ของโคราชในมุมมองของโจ คำตอบชัดเจนคือ ‘คน’
“ชาวโคราชมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา อาหาร และวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างอีสานกับภาคกลาง ความกลมกลืนนี้เองที่ทำให้โคราชกลายเป็นเมืองที่เปิดกว้าง สามารถเป็นอะไรก็ได้ และยังสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่ในเมืองนี้อย่างชัดเจน”
การรักษาความเป็นท้องถิ่นและต่อยอดสู่สากล
โจบอกว่า การพัฒนาโคราชให้ก้าวทันโลก ไม่จำเป็นต้องทิ้งรากเหง้า สิ่งสำคัญคือการรักษาตัวตนเอาไว้
“คนไทยมีความเหนียวแน่นในความเป็นตัวเอง และนั่นคือจุดแข็ง ถ้าเราพยายามเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อตอบรับคนอื่น วันนั้นเราจะไม่มีเสน่ห์อีกต่อไป ความเป็นโคราช ความเป็นไทย หรือแม้แต่วัฒนธรรมก็จะเลือนหาย
“เขาเชื่อว่าการพัฒนาไม่จำเป็นต้องลดทอนวัฒนธรรม แต่คือการรักษาเอกลักษณ์ไปพร้อมกับการต่อยอด ผมบอกทีมงานเสมอว่า อย่าลืมความเป็นตัวเอง เพราะนักท่องเที่ยวเลือกมาหาเราเพราะเราเป็นเรา ถ้าเราพยายามเปลี่ยนจนหมด มันก็จะไม่เหลือเสน่ห์ใดๆ ให้ค้นหาอีกต่อไป”
นอกจากนี้โจยังเล่าถึง ‘สูตร 333’ ที่ใช้เป็นแนวคิดในการพัฒนาเมือง เริ่มจากการเลือกสิ่งที่จะเล่าออกไป โคราชเลือกขายอัตลักษณ์ของตัวเอง จากนั้นคือการผสมความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และคนกลางให้ทำงานอย่างรู้บทบาท เหมือนทีมฟุตบอลที่แต่ละตำแหน่งช่วยกันขับเคลื่อน และสุดท้ายคือการมองทุกความสำเร็จหรือล้มเหลวว่าเป็นเพียงชั่วคราว สำเร็จก็ดีใจได้แต่ไม่ควรยึดติด ล้มเหลวก็เสียใจได้แต่ต้องไม่จมอยู่นาน เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่พาเราไปต่อ
‘เจ้าเมื่อย’ ตัวแทนความคิดสร้างสรรค์ของเมือง
จากกางเกงแมวโคราช ต่อยอดสู่โปรเจกต์ใหม่ที่ผสานศิลปะกับความเชื่อในรูปแบบอาร์ตทอย ‘เจ้าเมื่อย’ แมวโคราชที่ออกแบบให้กลายเป็นมาสคอตแทนภาพจำของเมือง
เจ้าเมื่อยมีคาแรกเตอร์ชัดเจน ใบหน้าดูเหมือนเหนื่อยล้า ตาลอย ปากยิ้มอ่อน เหมือนจะบอกว่าการเป็นแมวที่ใครๆ ต่างมาขอพรนั้นก็ช่างเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ซึ่งการดีไซน์นี้เกิดจากความตั้งใจของคุณโจที่อยากผสมผสานความน่ารักเข้ากับโลกของความเชื่อ
ไม่เพียงแทนโคราช แต่เจ้าเมื่อยยังถูกสร้างขึ้นอีก 4 แบบ แทน 4 ภูมิภาคของไทย แต่ละตัวมีสีสัน ดอกไม้มงคล และเครื่องราง เฉพาะที่สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น เจ้าเมื่อยสีสวาดแห่งโคราช ประดับดอกสาธรและฐานอนุสาวรีย์ย่าโม หรือเจ้าเมื่อยแมววิเชียรมาศตัวแทนภาคกลาง ที่มาพร้อมดอกบัวหลวงและฐานวัดอรุณฯ
ความพิเศษอยู่ที่ภายในกล่องยังบรรจุ ‘แผ่นทองคำปลุกเสก’ เสริมความศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ครอบครอง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างความศรัทธากับการสะสมงานศิลป์อย่างมีชั้นเชิง
ท้ายที่สุดผมมองว่า สิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนอื่นสามารถเลียนแบบได้ อยากให้มีคนเลียนแบบในสิ่งที่ดีๆ เมื่อมีคนเริ่มทำแล้ว มันจะเริ่มสนุกและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ มันเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด
“สิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจที่สุดไม่ใช่การที่ใครมองว่าผมเป็นฮีโร่ แต่เป็นการได้เห็นเด็กๆ บอกว่า กางเกงแมวโคราชเป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าที่จะฝัน สิ่งเล็กๆ อย่างกางเกง 1 ตัว สามารถกลายเป็นพื้นที่ให้พวกเขามองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ และนี่แหละคือพลังของซอฟต์พาวเวอร์ที่แท้จริง ไม่ใช่พลังของผมคนเดียว แต่เป็นพลังของแบรนด์เล็กๆ จากโคราชที่สามารถเล่าเรื่องตัวเองให้โลกฟังได้”
Tags: Korat Monogram, กางเกงแมว, Korat, คนโคราช, กางเกงแมวโคราช, อีสาน, โคราช, Behind the Brand