ในยุคที่เทคโนโลยีและการสื่อสารถูกพัฒนาให้ล้ำหน้า ช่วยให้มนุษย์สะดวกสบายและเชื่อมต่อกันได้ง่ายมากขึ้นกว่าอดีต ทว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นสั่นคลอนหลายอุตสาหกรรมให้ต้องเร่งปรับตัวเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นก็จะล้มหายตายจากโลกใบนี้
เช่นเดียวกันกับ ‘การศึกษา’ ที่สมัยนี้นักเรียนทั่วโลกสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้เพียง ‘คลิก’ เดียวจากโลกอินเทอร์เน็ต ตลอดจนการใช้เพื่อนคู่หูรู้ใจคนใหม่อย่าง AI (Artificial Intelligence) มาคอยตอบข้อสงสัยหรือเสริมความรู้ที่ตนเองต้องการ
ด้านศูนย์กลางการเรียนรู้ชั้นสูงอย่าง ‘มหาวิทยาลัย’ ต้องเร่งมือปรับเปลี่ยนให้ทันกับพฤติกรรมของผู้เรียนด้วย เหมือนกับที่ ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University) บอกว่า มหาวิทยาลัยไม่เพียงแต่ต้องปรับปรุงหลักสูตรเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ให้กับนักศึกษา
ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม พอๆ กับทักษะทางเทคนิคและวิชาชีพอีกด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการและนักวิจัยในอนาคตจะต้องมีจิตสำนึกต่อสังคม ความผาสุกของเพื่อนร่วมโลกและธรรมชาติ
นั่นจึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญกับ 2 มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนอย่าง Tsinghua University และ Peking University
โดยภราดา ดร.ศิริชัยเปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ Tsinghua University จะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและระบบผลิตบัณฑิตร่วม ครอบคลุมสาขาที่มีความสำคัญในอนาคต เช่น โลจิสติกส์อัจฉริยะ วิทยาการข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และระบบเมืองอัจฉริยะ
นอกจากนั้นความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึงการแลกเปลี่ยนคณาจารย์ การสร้างห้องปฏิบัติการร่วมกัน และการวิจัยเชิงลึกเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ และสร้างบัณฑิตที่มีวิสัยทัศน์และศักยภาพระดับสากล
“เราเชื่อว่า การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีเช่นนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญในการเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลและเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้” อธิการบดีกล่าว
ขณะที่ความร่วมมือกับ Peking University จะจัดตั้งโครงการ ‘Arts and Technology Development Project’ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตสุวรรณภูมิ เน้นการเชื่อมโยงศิลปะและเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาส ตลอดจนการพัฒนาชนบทและทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน
อธิการบดีระบุว่า โครงการดังกล่าวมีความมุ่งหวังจะเป็นสะพานเชื่อมศิลปะและเทคโนโลยี ภายใต้การสนับสนุนของ UNESCO Chair on Creativity and Sustainable Development in Rural Areas ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มขึ้นในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อปี 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อผสานอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เข้ากับรากฐานทางวัฒนธรรม เพื่อให้การพัฒนาชนบทให้ยั่งยืน
โดยรายละเอียดย่อยของโครงการจะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การฝึกอบรมร่วม เวิร์กช็อประดับนานาชาติ การแลกเปลี่ยนนักวิจัย และโครงการศึกษาภาคสนามในชุมชนชนบท นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเชิงสร้างสรรค์และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ศิลปะ วัฒนธรรม และสินค้าของไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น
“การพัฒนามหาวิทยาลัยไม่ได้แยกขาดจากการบริการชุมชน เราต้องการให้งานวิจัยและนวัตกรรมของเรามีส่วนแก้ไขปัญหาจริงในสังคม ความร่วมมือกับ UNESCO Chair จะช่วยให้เรามีเวทีระดับโลกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสามารถประยุกต์ใช้กับบริบทไทยได้ เช่น การพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่างด้านศิลปะ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หรือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่น” ภราดา ดร.ศิริชัยกล่าว
ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นความคาดหวังและความปรารถนาของฝ่ายบริหารและบุคลากร ที่ต้องการผลักดันให้มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลสีเขียว ที่ผสมผสานเทคโนโลยี ศิลปะ และสนับสนุนผู้ประกอบการได้อย่างกลมกลืน
“เราต้องการสร้างผู้เรียนที่มีคุณธรรม มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นนักวิชาการและนักปฏิบัติ และรับผิดชอบต่อสังคม วิสัยทัศน์นี้สอดคล้องกับพันธกิจใหม่ของเราที่เน้นการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกหลักสูตร ทุกแผนงาน และทุกโครงการ สร้างพันธมิตรกับสถาบันชั้นนำทั่วโลก และสนับสนุนสตาร์ทอัปและโครงการเพื่อสังคม” อธิการบดีทิ้งท้าย
Tags: ผู้ประกอบการ, การเรียนรู้, หลักสูตร, ABAC, ความร่วมมือ, มหาวิทยาลัยชิงหัว, มหาวิทยาลัยปักกิ่ง, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, การศึกษา, เอแบค, Branded Content