มีหลักการข้อหนึ่งในศาสนาเชน/ ไชนะ (Jainism) คือ ‘อเนกานตวาทะ’ (Anekantavada) หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า many-sidedness/ non-absolutism ซึ่งนับเป็นอภิปรัชญาแบบไชนะเลยทีเดียว
หลักการข้อนี้ว่าด้วย ‘ความจริง’ นั้นมิอาจอธิบายได้ด้วยภาษาอย่างครบถ้วน หากแต่สามารถรับรู้ สัมผัส และเข้าถึงได้ ท่านศาสดามหาวีระยกตัวอย่างเอาไว้ว่า “เราสามารถลิ้มรสอร่อยได้ หากแต่เรามิอาจอธิบายความอร่อยเช่นว่านั้นให้ผู้อื่นรับรสได้เสมือนกัน” ฉะนั้นความพยายามใดๆ ที่จะแสดงประสบการณ์นั้น จึงถือว่าถูกต้องหรือ “ถูกต้องในบางแง่มุม” แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงหรืออาจเป็นเพียงแค่มุมมองหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์
ดูเหมือนว่าพุทธศาสนาจะรับแนวคิดนี้มาด้วย ก่อนจะบันทึกเอาไว้ใน สมัญญะผละสูตระ (Samannaphalasutra) แต่พุทธศาสนามีท่าทีปฏิเสธบางบริบทในหลักการข้างต้นของศาสนาไชนะ ผ่านการมองไปยังบางคำถามว่า ‘ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเห็นที่ผิด’ และดังนั้นจึง ‘ไร้ค่า’
อย่างไรก็ตาม ศาสดามหาวีระมองว่า หลักการอเนกานตวาทะนั้นมีไปเพื่อให้สาวกทั้งหลายยอมรับว่า ‘สิ่งนั้นใช่’ และ ‘สิ่งนั้นไม่ใช่’ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไข (Syadvada) และข้อจำกัด (Nayavada) เพื่อการแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงอันสัมบูรณ์
แล้วเราได้อะไรจากมุมมองนี้ของศาสนาไชนะ สำหรับผม การมองไปยังมุมมองที่มากมายหลากหลายนั้นสร้างภูมิคุ้มกันทางวิชาการให้เรา โดยการไม่ด่วนตัดสินว่า ‘สิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง’ หากยังมิได้ตรวจสอบเงื่อนไขและข้อจำกัดแห่งความเป็นไปได้ ซึ่งสำหรับผมในฐานะนักเรียนโบราณคดี ‘เงื่อนไขและข้อจำกัด’ ต้องวางอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์อันจับต้องได้และไม่ตั้งอยู่บนความเห็นที่ผิดหรือขัดแย้งกับหลักฐาน อันจะทำให้ความเห็นนั้นตกไป
‘ภารตภิวัฒน์’ และการมาถึงของวัฒนธรรมอินเดีย
ในงานเขียนก่อนหน้าว่าด้วยพระคเณศ ผมพูดถึงข้อคิดเห็นของนักวิชาการบางกลุ่มที่มองว่า พระคเณศอาจเป็นอิทธิพลที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่งให้ทางอินเดีย อย่างไรก็ดีดังที่สรุปไว้คร่าวๆ ในข้อเขียนที่แล้ว หลักฐานทางโบราณคดีพูดกับเราว่า การนับถือเทพเจ้าช้างนั้นน่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายพื้นที่ ทั้งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉะนั้นการจะเหมารวมไปว่า อินเดียส่งอิทธิพลทางวัฒนธรรมทุกอย่างให้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ก็ดูจะใช่ที
เอกสารอินเดียโบราณจำนวนมาก โดยเฉพาะเอกสารเนื่องด้วยพุทธศาสนาระบุถึง กลุ่มพ่อค้าจำนวนมากเดินทางมาทำการค้าขายกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะทรัพย์ในดินจำพวกแร่มีค่าต่างๆ เช่น ทองคำ ทำให้เอกสารอินเดียนิยมเรียกภูมิภาคของเราว่า ‘สุวรรณภูมิ’ (แผ่นดินทอง) และ ‘สุวรรณทวีป’ (หมู่เกาะทอง) การศึกษาทางโบราณคดีที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร โดยทีมนักโบราณคดี นำโดย เบเรนิซ เบลลินา ไพรซ์ (Bérénice Bellina-Pryce) ระบุว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของช่างชาวอินเดียตั้งแต่ราว 2,500-2,400 ปีที่แล้ว การตั้งถิ่นฐานในครั้งนั้นนำไปสู่การแลกรับวัฒนธรรมกันระหว่างพื้นที่ทั้งสอง และเกิดการถ่ายทอดความรู้ วิธีการ รวมไปถึงมุมมองทางศาสนา โดยเฉพาะพุทธและพราหมณ์
ทว่านักวิชาการรุ่นบุกเบิกส่วนมาก โดยเฉพาะช่วงอาณานิคม ให้ความเห็นโดยรวมๆ ว่า แนวคิดที่ชาวอินเดียนำมาให้นั้นนำไปสู่การก่อตัวของรัฐแรกเริ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟูนัน เจนละ และทวารวดี ซึ่งมีรากฐานสำคัญตั้งอยู่บนการเมืองการปกครองแบบอินเดีย เพราะเป็นวัฒนธรรมที่เจริญกว่า ประดุจสายน้ำย่อมไหลจากที่สูงไปยังที่ต่ำ วัฒนธรรมก็เฉกเช่นนั้น กระบวนการนี้ถูกนิยามไว้ว่า Indianization หรือภารตภิวัตน์ พูดให้ง่ายขึ้นได้ว่า ‘การทำให้เป็นอินเดีย’ แนวคิดนี้เป็นที่นิยมมาก แม้ในปัจจุบัน นักวิชาการบางคนก็ยังรับเอาคำนี้มาใช้ หากแต่ปรับแต่งเครื่องเคราของกรอบคิดเสียบางส่วน
กระนั้นในอีกด้านหนึ่ง นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีรุ่นหลังยุคอาณานิคมเสนออีกแนวทางที่เรียกว่า Localization หรือ ‘การทำให้เป็นท้องถิ่น’ ซึ่งไม่ปฏิเสธว่า วัฒนธรรมอินเดีย โดยเฉพาะพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู มีอิทธิพลอย่างสูงต่อวัฒนธรรมของรัฐแรกเริ่ม แต่หลักฐานทางโบราณคดีดังที่อาจารย์เบเรนิซและอีกหลายๆ ท่าน เช่น ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ผาสุข อินทราวุธ ก็ชี้ให้เห็นว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนการเข้ามาของวัฒนธรรมอินเดีย มีการอยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน และสังคมมีความซับซ้อนมากแล้ว
ตัวอย่างสำคัญ เช่น แหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ซึ่งนักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกผู้หญิง พร้อมเครื่องอุทิศเป็นสร้อยลูกปัดเปลือกหอยกว่าแสนเม็ด สะท้อนถึงความสามารถทางเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมแล้ว ฉะนั้นการมาของช่างอินเดียจึงเป็นเสมือนการมาแนะนำ และเพิ่มเติมความสามารถที่คนท้องที่มีอยู่เดิมเท่านั้น
ขอกลับมาที่เขาสามแก้วอีกครั้ง การขุดค้นทางโบราณคดีพบวัตถุดิบทำลูกปัดแก้วเป็นจำนวนมาก เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีแล้วพบว่า ตรงกับลูกปัดจำนวนมากที่ขุดพบในอินเดีย สิ่งนี้สะท้อนว่า อินเดียนำวิธีการมาให้ แล้วเอาสิ่งของจากบ้านเรากลับไป ซึ่งอาจจะรวมถึงกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมรด้วยก็เป็นได้ เพราะเราพบข้อมูลทางชาติพันธุ์วรรณาของกลุ่มคนที่พูดภาษาเหมือนกับภาษาเขมรในเอเชียใต้ด้วย
ดังนั้นการแลกรับกันทางวัฒนธรรมนี้ก็เสมือนกับสิ่งที่ศาสดามหาวีระกล่าวและยกมาในข้างต้น กล่าวคือการมองว่าอินเดียอยู่ในฐานะผู้ให้เพียงฝ่ายเดียว ถือเป็นมุมมองที่ขัดต่อเงื่อนไขและข้อจำกัด ได้แก่ หลักฐานทางโบราณคดีที่ชี้ให้เห็นถึงความเจริญของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนอินเดีย และการรับเอาสินค้าบางอย่างจากภูมิภาคของเราไปยังอินเดีย
ในทางเดียวกัน หลักฐานทางโบราณคดีที่ผ่านกระบวนขุดค้น กำหนดอายุ และการศึกษาที่ช่างตวงวัดได้ก็ยืนยันว่า ศาสนาที่เกิดในอินเดีย (โดยเฉพาะศาสนาพุทธและพราหมณ์) เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดพื้นฐานบางประการของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริง ข้อนี้ไม่มีอะไรจะหักล้างได้เช่นกัน จนกว่าจะหาหลักฐานอื่นๆ มาหักล้างกันเอง
ยกตัวอย่างในกรณีของพุทธศาสนา เราไม่พบหลักฐานของพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือคิดง่ายๆ คือ พ.ศ. 1000 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาของรัฐแรกเริ่มในภูมิภาคของเรา
ในขณะเดียวกัน หากพูดบนพื้นฐานที่ว่าด้วยอายุของหลักฐาน คือจากค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ของหลักฐานที่พบในอินเดีย จะพบว่า มีอายุย้อนกลับไปได้ถึงราวพุทธศตวรรษที่ 1 หรือเก่ากว่าที่พบในภูมิภาคเรากว่า 900 ปี (หลักฐานที่ว่านั้น ขุดพบภายในส่วนลุมพินี, สถูปปิปราห์วา และสถูปไวษาลี 1)
ตัวอย่างหนึ่งของการเข้าประสานกันระหว่างพุทธศาสนาและคนท้องถิ่นในที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง คือ จารึกวัดโพธิ์ (ร้าง) จังหวัดนครปฐม จากอายุของตัวอักษรที่กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ตัวจารึกระบุถึง ‘โต้ง’ หรือ ‘โทง’ หมอผีในวัฒนธรรมมอญ 2 คน ได้สร้างพุทธสถานพร้อมกับพระพุทธรูป ข้อความนี้ชัดแจ้งเป็นเชิงประจักษ์ว่า พุทธศาสนาถูกโอบอุ้มโดยกลุ่มความเชื่อดั้งเดิมที่ (น่าจะ) มีอยู่มาก่อนการมาถึงของศาสนาแห่งพระสุคต
การสอบทานหลักฐานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ทั้งยังเป็นสิ่งดีเสียด้วยซ้ำในการเติมแง่มุมและมุมมองให้แก่เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้วนับพันๆ ปี กระนั้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ผิดยิ่งส่งผลให้ข้อเสนอหนึ่งๆ นั้นตกไป การยืนกระต่ายขาเดียวบนสมมติฐานที่พิสูจน์ไม่ได้จึงไม่เข้าตามหลักการทางอภิปรัญชาของศาสดาทั้งสอง
หากแต่ข้อทฤษฎีใดยืนยันโดยท้าทายได้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า สิ่งนั้นมีมูลเหตุแห่งความเป็นไปได้ (และเป็นไปไม่ได้ด้วย) ที่รอให้ตรวจสอบ เหมือนที่ปัจจุบันนักวิชาการชั้นแนวหน้าของโลก ที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลับตาข้างหนึ่งในกระบวนการภารตภิวัฒน์ และในขณะเดียวกันก็อ้าแขนกอดรับความเป็นท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้กรอบที่บางลงเรื่องๆ ของวัฒนธรรมอินเดีย
ที่มาข้อมูล
กรมศิลปากร. (2504). ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2 จารึก ทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้. พระนคร: กรม ศิลปากร.
ผาสุข อินทราวุธ (2548). สุวรรณภูมิ: จากหลักฐานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร.
Bellina-Pryce, Bérénice; Silapanth, Praon (2006). “Weaving cultural identities on trans-Asiatic networks: Upper Thai-Malay Peninsula–an early socio-political landscape”. Bulletin de l’École française d’Extrême-Orient. 93: 257–293.
Kulke, Hermann, and Rothermund, Dietmar. (2004). A History of India. London: Psychology Press.
Mabbett, I.W. (1977). “The “Indianization” of Southeast Asia: Reflections on the Historical Sources.” Journal of Southeast Asia Studies 8, 1: 1-14. Majumdar, R.C. (1979). India and South East Asia. Delhi: B.R. Publishing Corp.
Pryce, Thomas Oliver; Bellina-Pryce, Bérénice; Bennett, Anna T. N. (2006). “The development of metal technologies in the Upper Thai-Malay Peninsula: initial interpretation of the archaeometallurgical evidence from Khao Sam Kaeo”. Bulletin de l’École française d’Extrême-Orient. 93: 295–315.
Tags: Indianiceation, Indianization, ภารตภิวัฒน์, อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ท้องถิ่น, localization