“ออกกำลังกายง่ายนิดเดียว แค่วิดพื้น แค่เริ่มวิ่งก็ได้ออกกำลังแล้ว”
“ทำไมไม่ออกกำลังกายล่ะ ทำไมเลือกไปกินชาบู กินหมาล่าแทน”
เชื่อเถอะว่า หลายๆ ออฟฟิศจะมีเสียงเตือนอย่างนี้จากใครสักคนเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ออกกำลังกายสักที อาจเป็นได้ด้วยการวิ่งเหยาะๆ เป็นได้ด้วยการเข้าฟิตเนส เข้าคลาสเต้นซุมบ้า เป็นได้ด้วยการทำพิลาทิส แต่คุณก็เริ่มไม่ได้สักที ด้วยภาระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานรูทีนที่แสนเหนื่อยหนัก ใช้สมองจนเกินเหตุ เป็นได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน การเดินทางก็เหนื่อยแย่แล้ว
จริงอยู่ ออกกำลังกาย ออกเมื่อไร ออกตอนไหนก็เริ่มได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การออกกำลังกายก็ถือเป็น Privilege สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ โดยเฉพาะคนเมือง กล่าวคือ คุณต้องมี ‘ต้นทุน’ หลายๆ อย่าง รายได้ระดับหนึ่ง มีที่พักอาศัยที่ ‘ดี’ ในระดับหนึ่ง ที่อยู่คุณต้องเดินทางง่าย ไม่ไกลจากออฟฟิศ
ฉะนั้น การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องง่ายแบบลุกไปใส่รองเท้าวิ่งแล้ววิ่งได้เลย และเป็นเรื่องสำหรับคนที่มี ‘ต้นทุน’ บางประการตุนไว้อยู่แล้ว Work Tips สัปดาห์นี้จะมาเล่าให้ฟังว่า ทำไมการเริ่มออกกำลังกายถึงได้ยากเย็นนัก
1. โครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้อกับการออกกำลังกาย
หากใครเคยไปหลายประเทศที่เจริญแล้ว เป็นต้นว่า ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ สวีเดน ญี่ปุ่น จะพบว่า ชีวิตประจำวันเอื้อให้เกิดการออกกำลังกายมาก ประเทศเหล่านี้มีทางจักรยานที่ดี มีฟุตบาทที่กว้างพอให้คุณวิ่งออกกำลังกายหน้าบ้านได้ สำทับจากอากาศในฤดูร้อน ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วงที่ดีอยู่แล้ว พอให้คุณวิ่งเหยาะๆ ได้ทั้งวัน
ตัดกลับมาที่ประเทศไทย ผังเมืองไม่เคยจัดไว้ให้คนออกกำลังกาย ใช้กิจกรรมทางกายใดๆ ฟุตบาทยังเต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอย มีมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาขับ ใครจะไปวิ่งซิตี้รันได้ ทางจักรยานไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีถนนเส้นไหนในกรุงเทพฯ ที่ขี่จักรยานได้จริงโดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ว่ากันที่สวนสาธารณะให้คนออกกำลังกายบ้าง… ในกรุงเทพฯ ชั้นใน ซึ่งมีประชากรรวมกันหลายล้านคน มีสวนสาธารณะที่ใช้งานได้จริงเพียงไม่กี่แห่ง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นบรรดานักวิ่ง วิ่งวนๆ ไป ไม่สวนเบญจกิติ ก็สวนรถไฟ สวนจตุจักร เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ ที่จอดรถสวนเบญจกิติเกือบเต็มตั้งแต่ 6 โมงเช้า และช่วงพีกของสวนรถไฟ ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็น เลนวิ่งก็แทบไม่พอ
ทั้งหมดต่างจากในต่างประเทศที่คุณมีสวนสาธารณะ มีทางวิ่งให้วิ่งหน้าบ้าน ไม่ต้องลากตัวเองไปที่สวน ขณะเดียวกัน คุณจะเลือกออกกำลังกายนิดหน่อยด้วยการขี่จักรยานไปทำงาน เส้นทางก็เอื้อ ว่ากันว่าอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ มีทางจักรยานยาวกว่า 767 กิโลเมตร ขณะที่บริสเบน ออสเตรเลีย มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า 44% ของเมือง คุณมีตัวเลือกมากมายที่จะสร้างสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อสวนไม่มี ทางจักรยานไม่มี ทางวิ่งไม่ดี ก็ทำให้ต้องเลือกออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น วิธีอื่นที่มี ‘ต้นทุน’ สูงกว่า
2. การออกกำลังกายมีต้นทุนสูง
เมื่อเมืองไม่ดี ไม่ได้ถูกออกแบบให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมทางกาย ก็ต้องตามมาด้วยตัวเลือกอื่น แต่แน่นอน สิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่าย เป็นสมาชิกฟิตเนสอาจตามมาด้วยค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,500-2,000 บาท คลาสโยคะ ยิมมวย ก็มีราคาไม่แพ้กัน หนำซ้ำคุณยังต้องใช้เวลาเดินทางฝ่ารถติดจากออฟฟิศใจกลางเมืองเพื่อไปเล่นฟิตเนส เสียค่าเดินทางอีกเป็นร้อย หากอยากมีสุขภาพที่ดี
ข้อสำคัญคือ ‘รายได้’ ในเมืองใหญ่ของหลายคนหมดไปกับทั้งค่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง ค่าอาหารในชีวิตประจำวัน และโตไม่ทัน ไม่ทันสำหรับการมีเงินเก็บออม และหากวางแผนมีครอบครัว มีพ่อแม่ต้องดูแล ต้องใช้หนี้แทนพ่อแม่ หรืออยาก ‘ฮีล’ ตัวเองด้วยการไปเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวต่างประเทศ คุณจะเหลือเงินไว้สำหรับการออกกำลังกายน้อยมาก หรือแทบไม่เหลือเลย การออกกำลังกายจึงเป็น ‘สิทธิพิเศษ’ ในประเทศนี้ สำหรับคนที่เหลือเงินมากพอ และมีแพสชันต้องการออกกำลังกายอย่างแรงกล้า แต่ถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้ หลายคนเลือกเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นแทนดีกว่า
3. จากผังเมืองถึงปัญหา ‘โครงสร้าง’
เคยคำนวณไหมว่า หากอยู่ชานเมืองจะเข้ามาทำงานไข่แดงใจกลางกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาเท่าไร 45-60 นาทีเป็นอย่างน้อย ต่อการเดินทางขาหนึ่ง นั่นหมายความว่า ชีวิตคุณต้องตื่นเช้า เบียดตัวเองเข้าไปในรถไฟฟ้า-รถเมล์ เพื่อจะสแกนนิ้วให้ทันเวลางาน รู้ตัวอีกที กว่าจะเลิกงานก็ฟ้าเกือบมืด แล้วมันจะเหลือเวลา เหลือเรี่ยวแรงที่ไหนให้ไปออกกำลังกายอีก
ส่วนสำคัญเลยคือ การออกแบบผังเมืองให้อาคารสำนักงาน ทั้งรัฐ-เอกชน ไปกระจุกกันในพื้นที่กลางเมือง โดยไม่มีระบบขนส่งมวลชน ระบบขนส่งสาธารณะที่ดี ‘ถนน’ ยังเป็นช่องทางหลักในการเดินทาง แต่การจราจรก็ย่ำแย่เหลือเกิน ถนนไม่พอพาคนเข้าไปสู่ใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกัน ก็ไม่มีงานที่ดีในเขตชานเมือง ไม่มีงานที่ดีในต่างจังหวัด ทำให้คนเมืองต้องใช้ชีวิตเดินทางวันๆ หนึ่ง 2-3 ชั่วโมง บางคนทำงาน 6 วัน นั่นแปลว่าพวกเขามีเวลาพักผ่อนเพียง 1 วัน และใช้ 1 วันนั้นในการซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ดูแลพ่อแม่ หรือใช้ชีวิตแบบอื่น นอกจากเรื่องงาน
4. ออกกำลังกาย อาจไม่ได้เริ่มที่ตนเอง แต่อาจเริ่มต้นโดย ‘รัฐ’
ทุกวันนี้ ภาษีเหล้า-บุหรี่ถูกหักส่วนหนึ่งเพื่อเป็นงบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่ภารกิจ สสส.ในการส่งเสริมให้เกิดการออกกำลังกายนั้นไม่ชัดเท่าไร มีแต่การจัดอีเวนต์ การสนับสนุนลานกีฬาชุมชน
แต่ความจริงมีวิธีอื่นๆ ที่รัฐสามารถช่วยให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นได้ เป็นต้นว่า ลดค่าใช้จ่ายในระบบขนส่งสาธารณะ เพิ่มพื้นที่สวนที่ใช้งานได้จริง (ไม่ใช่เหมือนสวน 15 นาทีของกรุงเทพมหานครบางที่) หรือออกนโยบาย Incentive ให้องค์กรต้องจัดหาฟิตเนส จัดหาเครื่องออกกำลังกาย จัดหาคลาสออกกำลังกายให้พนักงาน เรื่อยไปจนถึงการใช้เครื่อง Tracker นับก้าวเดิน เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการลดหย่อนภาษี ได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ช่วงปลายปี หากออกกำลังกาย มีจำนวนก้าวเดินถึงเป้า แบบที่สิงคโปร์ทำ
เพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศนี้ ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลออกค่าใช้จ่าย หากประชาชนสุขภาพแข็งแรง มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ประเภทเบาหวาน ความดัน ไต หัวใจ ลดลง ค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพก็จะประหยัดมากขึ้น เหลือเงินให้ทำอย่างอื่นมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เคยมีนโยบายแบบนี้ เพราะไม่เซ็กซี่เท่ากับการแจกเงินหรือการอุดหนุนสินค้าเกษตร
อย่างไรก็ตามที่เล่ามาทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องฟรี แต่ล้วนมี ‘ต้นทุน’ และความยากลำบาก ในการพาตัวเองให้ถึงจุดที่ ‘สุขภาพดี’ และเริ่มออกกำลังกายจริงจัง
Tags: ทำงาน, เมือง, การทำงาน, ออกกำลังกาย, Work Tips