ปีนี้มีภาพข่าวแชร์กันแพร่หลายในโลกออนไลน์ว่า แม่น้ำคงคาบริเวณเมืองพาราณาสีขึ้นสูงมาก (เมื่อเทียบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา) มองขึ้นไปทางต้นน้ำในรัฐแถบชายเขาหิมาลัย (อุตรขัณฑ์/ หิมาจัลประเทศ) หลายพื้นที่เกิดดินถล่ม 

ชาวบ้านแถวต้นน้ำคงคาก็เช่นกัน โดนน้ำท่วมหนักแบบน้ำหลาก แต่พอดูเข้าไปลึกขึ้นก็น่าตกใจว่า ชาวเมืองก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร อาจเพราะเขาชินกับอะไรแบบนี้ไปแล้ว หรือเพราะคงคามีท่าทีแบบนี้อยู่เสมอ คือ ‘เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง’ และคงคาก็ยังคงโอบอุ้มหล่อเลี้ยงเมืองรอบอาณาบริเวณของตนโดยดีเสมอมา 

ประเด็นตรงนี้คือภาพสะท้อนของธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมา และผมพูดหลายครั้งว่า ศาสนาโบราณหลายศาสนามีความเห็นตรงกันว่า ธรรมชาติที่รู้จักมีภาวะทางอารมณ์ของตน จริงๆ ก็คือมีความหนหวยนั่นแหละ แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่า (สำหรับผม) คือ ‘เพศหญิง’ มักเป็นภาพแทนของภาวะหล่อเลี้ยงแล้วผันแปรนั้น 

ภาวะกระจกสะท้อน

ในอินเดีย แม้ว่าเทพเจ้าทั้งหลายล้วนแต่แสดงภาวะต่างๆ ที่ซับซ้อน แต่เมื่อเรามองไปที่ประติมานวิทยาของเจ้าแม่จะพบว่า พลังธรรมชาติถูกยึดโยงเข้าไว้อย่างแน่นเหนียว เจ้าแม่คงคามีภาพลักษณ์สวยงาม ทรงวาสตราภรณ์ขาวสะอาด มีพระพักต์เมตตา แต่ในขณะเดียวกันพระนางทรง ‘มกร’ (จระเข้) สัตว์ประหลาดแห่งสายน้ำที่ดุร้าย สิ่งนี้สะท้อนถึงความดุดันของสายน้ำคงคาในฤดูน้ำหลากที่พระนางควบคุมอยู่ 

ย้อนอดีตกลับไปไกลมากๆ เมื่อราวหมื่นกว่าปีก่อน เราพบหลักฐานภาพลายเส้นบนฝาผนังถ้ำภีมะเบตกา (Bhimabetaka) เป็นรูปบุคคลที่มีสายน้ำไหลออกจากหน้าอกทั้ง 2 ข้าง นักวิชาการอธิบายไว้คร่าวๆ ใน 2 นัยว่า ภาพนี้สะท้อนรูปหญิงวัยเจริญพันธุ์หรือเจ้าแม่โบราณ ผู้หล่อเลี้ยงโลกด้วยน้ำนมของตน

หลักฐานทางโบราณคดีอีกกลุ่ม ซึ่งครั้นจะเลี่ยงก็ดูจะข้ามอะไรๆ ไป คือ ‘ตราประทับจากลุ่มแม่น้ำสินธุ’ ซึ่งแสดงภาพเจ้าแม่ (?) ในลักษณะที่มีภาวะหลากหลาย บ้างแสดงภาพเจ้าแม่มีต้นไม้ออกจากอวัยวะเพศ บ้างก็แสดงภาพเจ้าแม่ต่อสู้กับสัตว์ร้าย เรายังไม่สามารถบอกไว้ว่า เจ้าแม่เหล่านี้เป็นองค์เดียวกัน เป็นอวตาร หรือมีความสัมพันธ์ต่อกันไหม แต่จากหลักฐานเราไม่พบภาวะคู่แบบนี้กับเทพเจ้าผู้ชาย (?) ในตราประทับร่วมสมัย

นอกจากนั้นในหมู่บ้านหนึ่งในรัฐคุชราตมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบกันมาว่า ห้ามทำไร่ไถนาในเขตหมู่บ้าน ต้องออกไปทำนอกเขต เพราะชาวบ้านเชื่อว่า พวกตนอาศัยอยู่บนร่างกายของเจ้าแม่ชื่อ ‘เรณุกา’ (Renuka) ซึ่งรูปเคารพของเจ้าแม่มีแต่หัว เพราะส่วนลำตัวของนางคือ หมู่บ้าน หากทำไร่หรือไถนาจะทำให้เจ้าแม่รำคาญและเกิดความเดือดร้อนต่อชาวบ้าน ผมว่า ขนบชาวบ้านแบบนี้สะท้อนภาวะที่ผมเรียกเล่นๆ ว่า ‘ภาวะกระจกสะท้อน’

ภาพลายเส้นจากถ้ำภีมะเบตกา (ที่มา: เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว, 2558)

ภาวะ ‘หงุดหงิด’ และ ‘ใจดี’ เป็นกระจกสะท้อนกันเองถึงธรรมชาติที่โหดร้าย แต่ก็ใจดี ภาพลักษณ์ทั้งสองจะขาดกันไม่ได้ โดยฝ่ายชายเราเห็นภาพนี้อยู่บ้างในการปราบอสูรต่างๆ แต่ภาพแทนหนึ่งที่ขาดไปมักจะเป็นภาพแทนธรรมชาติ ซึ่งต่างไปจากเจ้าแม่ที่ยึดโยงตนเองกับภาพนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา เราไม่ค่อยเห็นคำอธิบายของเทวตำนานพระศิวะหรือพระนารายณ์พูดถึงเรื่องๆ นี้

อสูรที่พระองค์เข้าฟาดฟันด้วยมักจะเป็นตัวแทนของภาวะทางความคิดบางประการ ความอหังการ ความโลภ หรือความโง่เขลา ภาวะกระจกของฝ่ายเจ้าพ่อจึงมักสะท้อนการต่อสู้เชิงจิตวิญญาณของความรู้ (วิชชา) กับความไม่รู้ (อวิชชา) เสียมากกว่า

แนวคิดแบบนี้จริงๆ ฝังรากอยู่ในโครงสร้างทางอภิปรัญชาฮินดูอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยที่เราเรียกกันแบบลำลองว่า ‘สมัยปรัญชา 6 สำนัก’ เพราะมีสำนักคิดหนึ่งเสนอว่า โลกประกอบด้วยพลัง 2 ฝ่าย คือ ปุรุษะ (ภาวะตื่นรู้ซึ่งมักจะอยู่นิ่ง) และปรกฤติ (พลังฝ่ายสร้างซึ่งมักจะเคลื่อนไหว) ภาวะตื่นรู้ที่ว่านี้คือผู้เฝ้ามองการสร้าง เป็นภาวะนิ่ง แท้ ไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นสำนักๆ นี้จึงอธิบายว่า หากจะถึงการหลุดพ้น (โมกษะ) เราจะต้องมีความรู้อันถูกต้องเพื่อยากภาวะแท้ (ปุรุษะ) กับตัวสร้าง (ปรกฤติ) ที่สร้างโลกวัตถุนี้ขึ้นมาขังเราไว้ 

การเรียกภาวะตื่นรู้ว่า ‘ปุรุษะ’ มอบภาพลักษณ์แบบขั้วตรงข้ามให้กับเรา เพราะคำๆ นี้ตรงกับการเรียก ‘เพศชาย’ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่การต่อสู้ของฝ่ายชายคือ การต่อสู้ในลำดับจิตวิญญาณ ส่วนปรกฤตินั้นถูกแทนด้วย ‘เพศหญิง’ เพราะ อย่างที่พูดถึงข้างต้นว่า ความรับรู้เกี่ยวกับเจ้าแม่นั้นผูกมัดชัดเจนอยู่กับพลังธรรมชาติ ผู้ให้กำเนิด ผู้สร้าง ฉะนั้นเลยเหมือนการขีดเส้นแบ่งลางๆ ในประวัติศาสตร์ทางความคิดอินเดียว่า ผู้ชายคือความคิด ผู้หญิงคือธรรมชาติ 

เกิดและตายในนามทุรคา

ตำนานสำคัญเลยก็คือ การต่อสู้ของเจ้าแม่ทุรคากับมหิษาสูร (ปีศาจควาย) ดูเผินๆ เจ้าแม่ก็สู้กับความโง่เขลาเหมือนกันเทพฝ่ายชายอื่นๆ แต่บริบทแห่งช่วงเวลากลับบอกว่า เจ้าแม่สู้กับอสูรตนนี้ในช่วงฤดูหนาว ฉะนั้นเจ้าแม่จึงไม่ได้สู้กับควายในฐานะที่เป็นตัวแทนของความโง่เขลา แต่กลับเป็นควายสีดำสัญลักษณ์แห่งท้องฟ้าและม่านหมอกฤดูหนาว การต่อสู้ครั้งนั้นเจ้าแม่แสดงภาวะหลากหลายทั้งใจดีและดุดัน จนสุดท้ายพระนางก็ปราบอสูรตนนี้ลงได้ (ลองย้อนอ่านได้นะครับ ผมเคยเขียนไว้แล้วในเรื่องนวราตรี

นอกจากนั้นตามคัมภีร์เทวีภควตัม (Devi Bhagavatam) ระบุว่า ครั้งหนึ่งพระเทวีทรงรับคำวิงวอนของเหล่ามุนีที่ถูกรังแกโดยอสูรชื่อทุรคัม อสูรตนนี้นำความแห้งแล้งมาสู่แผ่นดิน มุนีต่างๆ จึงมิอาจหาผลหมากรากไม้มากินได้ ด้วยคำวิงวอนของมุนี และความเมตตาพระเทวี จึงมีน้ำพระเนตรหลั่งปรากฏเป็นเทวีชื่อ ศากัมภรี (Shakambhri) พระนางปรากฏขึ้นพร้อมดวงพระเนตรมากมายที่ทอดพระเนตรเห็นความลำบากของมนุษย์ ทรงหลั่งน้ำพระเนตรท่วมแผ่นดินคืนความสมบูรณ์แก่โลก ก่อนจะแปลงเป็นนางทุรคาไปปราบอสูรตนนั้น แล้วประทานผลไม้แก่เหล่ามุนีผู้วิงวอน 

เจ้าแม่ทุรคาประทานผลไม้แก่เหล่ามุนีผู้วิงวอน

ตัวอย่างทางเทวตำนานทั้งสองย้ำว่า การต่อสู้ของเจ้าแม่ผูกอยู่กับเรื่องราวธรรมชาติ แต่สุดท้ายวิธีคิดทางปรัญชาแบบสำนักคิดที่แทบจะพูดได้ว่าเป็น Male dominated นั้นเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับแนวทางการบูชาเจ้าแม่นำไปสู้การเกิดขึ้นของลัทธิตันตระและศากตะในราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้พระนางทุรคาซึ่งชื่อแปลว่า ‘ไกล’ หรือ ‘เข้าถึงได้ยาก’ จึงเปรียบได้กับ ‘โมกษะ’ ซึ่งก็เป็นสิ่งเข้าถึงยากเช่นกัน 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กระนั้นเทวตำนานยังคงสะท้อนภาวะดั้งเดิมควบคู่ไปด้วย พระนางเป็นทั้งผู้มอบผลไม้ให้เราได้กินและเติบโต ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นโมกษะ ความปรารถนาที่มนุษย์มุ่งไปหลังความตาย

เราจึงเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในอ้อมกอดของพระนาง เสมือนคงคาที่เดี๋ยวขึ้นไหลเชี่ยวทำลายบ้านเรือน และเดี๋ยวก็ลงทิ้งตะกอนแม่น้ำอันอุดมสบูรณ์เอาไว้ให้กับเราทุกคน 

ที่มาข้อมูล

Tiwari, J.N. (1985). Goddess cults in ancient India: with special reference to the first seven centuries A.D. Delhi: Sundeep Prakashan.

Pattanaik, Devdutt. (2007). Devi, the Mother-Goddess: an introduction. Mumbai: Vakils, Feffer and Simons.

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (2559). เทวี: เทวสตรีในอินเดีย ใน พลังหญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน. พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

Tags: , , , ,