สีสันของ Pride Month ยังคงเจิดจรัสอย่างต่อเนื่อง กับเดือนมิถุนายน เดือนแห่งความหลากหลาย หากพูดถึงเดือนนี้ หลายคนอาจนึกถึงความหลากหลายทางเพศเป็นหลัก แต่รู้หรือไม่ว่า จุดประสงค์ของ Pride Month นั้นต้องการผลักดันความเท่าเทียมทุกรูปแบบให้แก่กลุ่มคนที่ถูกปัดให้เป็น ‘คนชายขอบ’ และ ‘คนพิการ’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ขนุน-กมลชนก สมบูรณ์ หรือ Kanoon1leg หญิงสาวพิการหัวใจแกร่ง ผู้เป็นที่รู้จักจากวิดีโอ TikTok สุดไวรัลกว่า 9.1 ล้านวิว ที่เพื่อนถ่ายคลิปหลังจากเธอออกจากโรงพยาบาล พร้อมกับสูญเสียขาข้างขวาไปตลอดกาล ทว่าไม่มีใครคิดว่า เธอกลับฟื้นฟูจิตใจตัวเอง เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสดใส หันมารักตัวเองยิ่งขึ้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แม้จะผ่านคลื่นชีวิตลูกใหญ่ไปได้ไม่นาน
แม้เธอจะสูญเสียขาไปแล้ว แต่ก็ยังทำสวยและมีความมั่นใจเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ทั้งการแต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ จนเพื่อนรอบข้างก็ตกใจไปตามๆ กัน ขนุนจึงเป็นแรงบันดาลให้กับคนที่ผ่านประสบการณ์สูญเสีย แต่ยังสู้ต่อและรักตัวเองอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนสามารถงดงามและภูมิใจในความเป็นตัวเองได้
วันนี้ The Momentum ได้โอกาสพูดคุยกับขนุนถึงชีวิตและเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันความเท่าเทียมภายใต้แคมเปญของแสนสิริอย่าง Just Don’t Judge เพราะความเท่าเทียมเริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่างการหยุดตัดสินกัน
อุบัติเหตุที่พรากขาขวาไปตลอดชีวิต อดีตที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
เมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 หลายคนอาจเคยเห็นข่าวระเบียงคาเฟ่ถล่มไม่มากก็น้อย ซึ่งขนุนคือหญิงสาวในข่าวนั้น
เหตุการณ์อันน่าสลดเกิดขึ้น เมื่อขนุนเข้าไปยืนถ่ายภาพในระเบียงปูนเปลือยจากคาเฟ่หนึ่งในย่านบางแสนขณะไปเที่ยวทะเล ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดคิดที่แผ่นปูนพังถล่มลงมาทับ เป็นผลให้เธอต้องเสียขาข้างขวา เพื่อรักษาชีวิตของตนเอาไว้ และนั่นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
จากขาที่เคยมี ตอนนี้เสียไปข้างหนึ่ง ช่วงเวลาที่คาดไม่ถึงที่สุดในชีวิต
“เรารู้สึกว่าไม่มีใครอยากเป็นคนพิการ หากเลือกเกิดได้ก็คงไม่อยากเป็น แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราเกิดอุบัติเหตุมาแล้วเป็นแบบนี้ ไม่สามารถปรับความคิดของคนอื่นได้เลยว่า ความเท่าเทียมเป็นยังไง”
ขนุนตอบและพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงความคิดของคนในสังคมที่มักตัดสินเธอ ยามเห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากคนทั่วไป
“เพราะทุกคนต่างเกิดมาคนละแบบ เลี้ยงดูคนละแบบ เราต้องปรับมายด์เซตตัวเองว่า ‘โอเค ไม่เป็นไร’ เราปรับที่ตัวเองก็ได้ คนอื่นมองก็แค่สงสัย สงสัยก็แค่ตอบ เราเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง เปลี่ยนที่เรา เบาที่สุด”
เธอพูดอย่างสบายๆ พร้อมพลังบวกและเสียงหัวเราะ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าที่ผ่านมาเธอต่อสู้และฝึกจิตใจตนเองให้เข้มแข็งขนาดไหน กว่าจะเป็นหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มงดงามเช่นนี้
แล้วเคยถูกตัดสินหรือถูกตีกรอบจากการเป็น ‘คนพิการ’ บ้างหรือเปล่า
“เคยโดนแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะเราไม่เหมือนคนอื่น เราไม่มีขา ไม่มีอะไรเหมือนเดิม แน่นอนว่าคนจะมองว่าเราแปลกกว่าคนอื่น
“ตอนนี้ไม่สมควรมีการตีกรอบแล้ว เพราะทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะคนไหน เพศอะไร หรือเรียนจบอะไรมา ทุกคนมีความเป็นคนเหมือนกัน มีความสามารถเหมือนกัน คิดว่าปัจจุบันคงไม่มีแล้ว เพราะเราค่อนข้างที่จะเก่งกว่าคนอื่น”
นอกจากเสียขาไปแล้ว คิดว่าเราเสียอะไรไปอีก
“เสียทุกๆ อย่าง”
นั่นคือสิ่งที่ขนุนตอบ เธอเล่าว่า ตนเองเสียทั้งลักษณะในการใช้ชีวิต ไม่ได้วิ่ง ได้กระโดดแบบคนอื่น แต่เธอก็ยังพูดด้วยกำลังใจที่ดี
“เราเสียทั้งการใช้ชีวิตแบบคนอื่นเขา ไม่ได้วิ่ง ไม่ได้กระโดด ตอนนี้เราอยากกระโดด กระโดดขึ้นเตียงบ้าง วิ่งเร็วๆ เหมือนเพื่อนบ้าง เพราะมันคือสิ่งที่หนูเคยทำได้มาตลอด มันก็ค่อนข้างทำใจยาก แต่ก็พยายามดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
เมื่อสายตาของผู้คนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เจ็บปวดเพราะถูกตัดสินและเลือกปฏิบัติ
สังคมเรามักอยู่กันอย่างตัดสินคนที่ภายนอก บางครั้งสิ่งที่คนพิการต้องการมากที่สุดไม่ใช่ความสงสาร แต่คือ ‘ความเท่าเทียม’ ที่ทำให้พวกเขามีสิทธิและการปฏิบัติให้เท่ากับคนอื่น แต่เรื่องที่แย่ไปกว่านั้นคือ การเลือกปฏิบัติที่น้อยกว่าคนทั่วไป ซึ่งไม่ควรเกิดกับใครก็ตามที่แตกต่างไปจากตนเอง
ขนุนเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกแย่จากคนในสังคม ทั้งจากอาชีพบริการและคนรอบข้าง
“สำหรับหนู เรื่องสายตาถือว่าปกติอยู่แล้ว เพราะคนมองมาก็คงสงสัยว่า ทำไมถึงไม่มีขา ทำไมถึงใส่ขาเทียม ซึ่งมันก็สงสัยกันได้ ก็เลยไม่ค่อยซีเรียสเท่าไร แต่ส่วนใหญ่ที่เจอมาก็คือ ความคิดของคน
“เหมือนเราไปใช้บริการคนขับแท็กซี ซึ่งมันก็ค่อนข้าง (แย่) นิดหน่อย เขาเป็นคนเจเนอเรชันแก่แล้ว ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน เจอมาล่าสุดก็คือ มองร่างกายหนูแล้วส่ายหน้า ทำเหมือนไม่พอใจ แล้วพูดกับเราว่า ‘ระยะทางแค่นี้ ทำไมไม่เดินมา’ ‘เงินแค่นี้ สแกนไม่ได้หรอก’ เราก็คิดว่าก็ 2 กิโลฯ เราเดินไปไม่ได้ มันไม่ตอบโจทย์กับขาของเรา
“แล้วก็จะมีคนบอกว่า คนพิการต้องพิมพ์งานอยู่หน้าจอ ใช้ขาไม่ได้ เป็นได้แค่คนพิมพ์เอกสาร แต่จริงๆ แล้ว เราทำได้เยอะเลย
“หรือเป็นคนพิการจะต้องหาผู้ชายเลี้ยงนะ ทำงานเองไม่ได้หรอก ซึ่งหนูก็บอกไปว่า หนูทำได้หลายอย่างเลยนะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเลี้ยง เราเลี้ยงดูแลตัวเองได้ ต่อให้เราจะไม่ใช่คนพิการ เป็นผู้หญิง หรืออะไรก็ตาม เราก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ ดูแลตัวเองให้เป็น หนูพยายามเปลี่ยนความคิดเหล่านั้น แล้วเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งคิดว่าพวกเขาคงจะทำได้ในอนาคต”
‘สวัสดิการคนพิการ’ สัญญะแห่งความเหลื่อมล้ำของกลุ่มคนชายขอบ
ขนุนพูดถึงสวัสดิการคนพิการที่เธอรู้สึกว่า เป็นปัญหาหลายประการ ซึ่งเธอเริ่มที่ปัญหาการเดินทาง เรื่องเงินเดือน และการช่วยเหลือทางด้านอุปกรณ์จากภาครัฐ
“ถ้าเรามองเข้าไป สวัสดิการที่เห็นแน่ๆ เลยคือ การเดินทาง จะเห็นเลยว่า ทางขึ้นหรือฟุตบาทที่ให้สำหรับวีลแชร์ชันเหมือนขึ้นภูเขาเลย อันนี้ทำให้คนพิการจริงเปล่าเนี่ย หรือว่าจะให้ซ้อมขึ้นเขา น่าจะล้มหรือเจ็บมากกว่าเดิมอีก”
ขนุนพูดในเชิงขำขัน แต่ในสารนั้นมีความเป็นจริงที่ตลกร้ายซ่อนอยู่ เรื่องทางเท้าสำหรับผู้พิการถือเป็นปัญหาด้านสิทธิการเข้าถึงมาเป็นเวลานานแล้ว หลายคนอาจจะไม่คิดถึงหรือมองผ่านไป แต่ทั้งพื้นผิวที่ขรุขระจนรถเข็นไม่สามารถไปต่อได้ การไม่มีทางลาดหรือชันเกินไปสำหรับวีลแชร์ หรือการนำทางสำหรับผู้พิการทางสายตาที่ไม่เอื้ออำนวย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สร้างความลำบากให้แก่คนพิการในชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเธอพูดถึงสวัสดิการอื่นๆ อีกว่า
“สวัสดิการอันที่ 2 ที่ต้องปรับแก้คือ เงินเดือนของคนพิการ 800 บาท สำหรับคนอื่นอาจจะเยอะ แต่ถ้ามันเพิ่มได้มากกว่านี้ หรือเพิ่มความเท่าเทียมให้มากกว่านี้ มันก็จะน่าอยู่มากขึ้น
“และสำหรับคนพิการที่ต้องได้ขาเทียมแบบนี้ ขาเทียมที่รัฐบาลหามาให้ควรจะมีคุณภาพหรือจัดให้เข้าถึงได้กับทุกคนมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ต่างจังหวัดหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม คนควรเข้าถึงสวัสดิการได้ง่าย เพราะตอนนี้มันก็มี แต่ยังไม่มากพอ อาจจะยังขาดไปเยอะ”
แล้วในตัวแทนของคนที่ร่างกายสมบูรณ์มาก่อน จนต้องมาเจอเรื่องสูญเสีย อยากบอกอะไรกับคนที่เจอแบบเราบ้าง
“ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรหรือร้ายแรงแค่ไหน หนูคิดว่าคนเราผ่านมันได้เสมอ และถ้าคนเรามีความคิดที่เท่าเทียมกัน คิดเหมือนๆ กัน เรื่องแบบนี้มันจะยิ่งผ่านไปได้ง่ายมากๆ เลย
“คนรอบข้างสำคัญมาก และที่สำคัญมากกว่าคือ ‘ตัวเรา’ มายด์เซตของเราต้องดีพอที่จะฮีลใจตัวเองได้ การให้ค่าตัวเองและคิดว่าตัวเองเก่งมากพอ มันจะข้ามทุกอย่างไปได้อย่างแน่นอน”
สุดท้ายนี้ มองว่าสังคมไทยจะหยุดการตีกรอบและตัดสินได้อย่างไร
“เริ่มต้นง่ายๆ คือ การเห็นความเท่าเทียมกันของทุกคน ทุกคนมีความเป็นคนเหมือนกันหมด ทุกคนทำงานได้ หาเงินได้ ทำทุกอย่างได้
“หนูคิดว่า ถ้าทุกคนมีความคิดแบบนี้ มันจะหยุดการตีกรอบ แล้วยิ่งเจเนอเรชันนี้ รุ่นถัดมาเรื่อยๆ จะเห็นคุณค่าของความเท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ศาสนา ความพิการ หรืออะไรก็ตาม หนูว่ามันค่อนข้างพัฒนาไปไกลมากๆ แล้ว คิดว่าระยะหลังๆ มานี้อาจเป็นไปได้ที่ทุกคนเท่าเทียม และไม่ตีกรอบกัน”
ความเท่าเทียมที่ขนุนอยากให้เกิดขึ้นที่สุดคือ ไม่ว่าใครจะเป็นเพศอะไร ทำอาชีพอะไรก็ตาม หรือจะเป็นคนพิการ ทุกคนย่อมเป็นมนุษย์ และต่อให้ใครจะขาดตกบกพร่องอะไรไป ทุกคนก็ยังมีความเป็นคนเท่ากัน มีสมอง มีร่างกาย และจิตใจเหมือนกัน เพราะสำหรับเธอแล้ว ความเท่าเทียมสามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเล็กๆ แบบนี้ ที่ทุกคนเห็นคุณค่าว่า ‘คนเราเท่ากัน’ จริงๆ
Tags: Just Don’t Judge, กมลชนก สมบูรณ์, Sansiri, Pride Month, ขนุน กมลชนก, Kanoon1leg